เกี่ยวกับเรา
BAM ประกอบธุรกิจด้านการบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ โดยมีส่วนช่วยเหลือลูกหนี้และแก้ไขปัญหาสถาบันการเงิน เพิ่มเติม
ทรัพย์
อื่นๆ
ติดต่อเรา
0-2630-0700
0-2266-3377
99 ถนนสุรศักดิ์ แขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพฯ 10500
หน้าหลัก > บทความเศรษฐกิจ > บทความวิเคราะห์รายงานทางเศรษฐกิจ(ประจำเดือนมีนาคม 2566)
ข้อมูลเดือนมกราคม 2566 จากตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน จะเห็นว่าดัชนีราคาผู้บริโภคมีค่าเพิ่มขึ้น เพราะราคาน้ำมันมีการปรับตัวขึ้นเล็กน้อย ในขณะที่ราคาสินค้าจำพวกอาหารสดค่อนข้างทรงตัว จึงส่งผลทำให้ ราคามีทิศทางที่ปรับตัวสูงขึ้นมาในเดือนนี้ ส่วนภาคการผลิตยังมีการขยายตัวขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการมีการผลิตตามคำสั่งซื้อที่เข้ามามากขึ้นในช่วงต้นปี จึงทำให้ในเดือนนี้การผลิตสินค้ามีการปรับตัวสูงขึ้นมา ในขณะเดียวกันดุลการค้าปรับตัวลดลงและมีทิศทางที่เป็นลบ ท่ามกลางแนวโน้มเศรษฐกิจโลกยังมีความแปรปรวนอยู่ แต่ยังไม่น่าเป็นห่วงมากเท่าไรนัก ทั้งนี้ต้องมีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด อย่างไรก็ตามภาวะการเงินยังทรงตัวไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลง โดยปริมาณเงินฝากมีค่าลดลงแต่เงินให้สินเชื่อมีค่าเพิ่มขึ้น เนื่องจากการลงทุนอื่นๆ เริ่มมีผลตอบแทนที่ดีขึ้น จึงส่งผลให้การออมเงินมีการหดตัวลงมา ในขณะที่การปล่อยสินเชื่อมีค่ามากขึ้น เนื่องจากธนาคารเริ่มทยอยปล่อยสินเชื่อออกมาบ้าง ทำให้ในเดือนนี้จึงมีค่าขยายตัวขึ้นมาได้ แต่ก็ยังต้องมีความระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่เป็นไปอย่างช้าๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาหนี้เสียตามมาอีกด้วย
ตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน
เดือน / รายละเอียด |
ตุลาคม 65 |
พฤศจิกายน 65 |
ธันวาคม 65 |
มกราคม 66 |
ดัชนีราคาผู้บริโภค |
108.06 |
107.92 |
107.86 |
108.18 |
ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม |
94.21 |
96.92 |
93.58 |
99.91 |
อัตราการใช้กำลังการผลิต |
60.07 |
61.34 |
59.56 |
62.31 |
ดุลการค้า |
1,465.55 |
541.74 |
962.70 |
-2,670.02 |
ดุลบัญชีเดินสะพัด |
562.49 |
-445.22 |
1,102.01 |
-2,002.26 |
เงินฝาก |
17,061.89 |
17,162.93 |
17,117.21 |
n.a. |
เงินให้สินเชื่อ |
18,174.83 |
18,253.21 |
18,329.76 |
n.a. |
ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย
หมายเหตุ ดัชนีราคาผู้บริโภค มีปีฐานคือ 2562 เงินฝาก/เงินให้สินเชื่อ มีหน่วยเป็น พันล้านบาท
อัตราการใช้กำลังการผลิต มีหน่วยเป็น ร้อยละ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม มีปีฐานคือ 2559
ดุดุลการค้า ดุลบัญชีเดินสะพัด มีหน่วยเป็น ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา
ปี |
จำนวน (ยูนิต) |
การเติบโต (%) |
ณ ม.ค. 65 |
6,589 |
-1.26% |
ณ ม.ค. 66 |
4,287 |
-34.94% |
ที่มา : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
- ประเภทที่อยู่อาศัยที่มีการจดทะเบียน ณ ม.ค. 66 เรียงตามลำดับมีรายละเอียดดังนี้
ประเภท |
จำนวน (ยูนิต) |
สัดส่วน (%) |
บ้านเดี่ยว |
2,625 |
61.23 |
ทาวน์เฮ้าส์ |
569 |
13.27 |
อาคารชุด |
521 |
12.15 |
บ้านแฝด |
348 |
8.12 |
อาคารพาณิชย์ |
224 |
5.23 |
รวม |
4,287 |
100.00 |
ที่มา : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
ปี |
จำนวน (ยูนิต) |
การเติบโต (%) |
ณ ม.ค. 65 |
9,000 |
-8.19% |
ณ ม.ค. 66 |
9,955 |
10.61% |
ที่มา : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
- ประเภทที่อยู่อาศัยที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ ณ ม.ค. 66 เรียงตามลำดับมีรายละเอียดดังนี้
ประเภท |
จำนวน (ยูนิต) |
สัดส่วน (%) |
อาคารชุด |
4,454 |
44.74 |
ทาวน์เฮ้าส์ |
2,872 |
28.85 |
บ้านเดี่ยว |
1,717 |
17.25 |
อาคารพาณิชย์ |
478 |
4.80 |
บ้านแฝด |
434 |
4.36 |
รวม |
9,955 |
100.00 |
ที่มา : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
ปี 66 |
อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 6 ธนาคาร |
อัตราดอกเบี้ย นโยบาย ธปท. |
มกราคม |
6.47 |
1.50 |
ที่มา : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
หมายเหตุ : 6 ธนาคาร ประกอบด้วย ธ.อาคารสงเคราะห์, ธ.กสิกรไทย, ธ.กรุงเทพ, ธ.กรุงศรีอยุธยา,
ธ.กรุงไทย และ ธ.ไทยพาณิชย์
สรุปภาพรวมภาวะอสังหาริมทรัพย์เดือนมกรคม 2566
ภาพรวมของอุปทานมีการปรับตัวลดลง 34.94% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจมีแนวโน้มค่อยๆ ฟื้นตัว แต่ยังมีความผันผวนอยู่ค่อนข้างมาก จึงทำให้ผู้ประกอบการยังไม่เร่งการพัฒนาโครงการออกมาเท่าไรนัก ทั้งนี้ยังติดตามสถานการณ์ต่างๆ อย่างใกล้ชิด ส่งผลให้อุปทานในตลาดมีทิศทางที่หดตัวลงมา ในขณะเดียวกันทางด้านอุปสงค์ก็มีทิศทางที่ขยายตัวขึ้นมาได้ที่ 10.61% เพราะผู้บริโภคมีรายได้ที่ดีขึ้นท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวขึ้นมา ทั้งนี้ที่อยู่อาศัยประเภทอาคารชุดยังมียอดการโอนกรรมสิทธิ์มากที่สุด รองลงมาคือ ทาวน์เฮ้าส์ และบ้านเดี่ยว ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่อยู่อาศัยและอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยมีการปรับตัวสูงขึ้นที่ 6.47% และ 1.50% ตามลำดับ
วิเคราะห์ Altasia ทางออกของภาคผลิตและโอกาสเศรษฐกิจไทย*
ที่มาของภาพ : https://i.ytimg.com/vi/mQmURCfoQtE/hqdefault.jpg
หากพิจารณาปัจจัยเสี่ยงต่อภาคการผลิตโลกในทศวรรษที่ผ่านมา หนึ่งในปัจจัยหลักเห็นจะเป็นจีน ที่เผชิญปัจจัยเสี่ยงนานัปการ ทั้งสงครามเย็น วิกฤต Covid-19 และทั้งนโยบายรัฐบาล สงครามเย็นที่ทำให้สินค้าที่ส่งออกจากจีนถูกตั้งกำแพงภาษี วิกฤต Covid-19 ที่ทำให้ภาคการผลิตและห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) มีปัญหา และนโยบายรัฐบาลที่เข้มงวดขึ้นผ่านแนวคิด Common prosperity (ที่เน้นการเจริญเติบโตอย่างเท่าเทียม และจำกัดธุรกิจที่เติบโตเร็วเกินไปอย่างภาคอสังหาริมทรัพย์และภาคเทคโนโลยี) และ Dual Circulation (เน้นผลิตในประเทศและลดการนำเข้า) นอกจากนั้นในส่วนของปัจจัยพื้นฐานของจีนเอง ก็เริ่มลดความน่าสนใจในการลงทุนลง โดยเฉพาะจากต้นทุนการผลิตโดยเฉพาะค่าแรงที่พุ่งสูงขึ้นระหว่างปี 2005 ถึง 2022 ค่าจ้างขั้นต่ำในภาคการผลิตเพิ่มขึ้นรุนแรง จากประมาณ 0.5 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง เป็น 8.3 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง
ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ทั้งผู้ประกอบการต่างชาติและผู้ประกอบการชาวจีนเอง เริ่มพิจารณาย้ายฐานการผลิตออกจากจีน แต่ก็ยากเพราะระบบห่วงโซ่การผลิตในจีนค่อนข้างจะสมบูรณ์ในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าที่จีนเป็นแกนหลัก โดยการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และส่วนประกอบจากจีนมีมูลค่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2021 จากยอดรวมทั่วโลกที่ 3.3 ล้านล้านดอลลาร์ อย่างไรก็ตามภายใต้แรงกดดันทางการค้าและการเมือง บริษัทต่างชาติหรือแม้แต่บริษัทจีนเองเริ่มตัดสินใจถอนการลงทุนออกจากจีนมากยิ่งขึ้นระหว่างปี 2020 ถึง 2022 จำนวนบริษัทญี่ปุ่นที่ดำเนินกิจการในจีนลดลงจากประมาณ 13,600 เป็น 12,700 ตามข้อมูลของสำนักวิจัย Teikoku Databank ขณะที่เมื่อปลายเดือน ม.ค. ที่ผ่านมา มีรายงานว่า Sony มีแผนที่จะย้ายการผลิตกล้องที่จำหน่ายในญี่ปุ่นและตะวันตกจากจีนมาที่ประเทศไทย ขณะที่ Samsung ได้ลดจำนวนพนักงานชาวจีนลงกว่า 2 ใน 3 นับตั้งแต่จุดสูงสุดในปี 2013 ส่วน Dell ตั้งเป้าที่จะเลิกใช้ชิปที่ผลิตในจีนภายในปี 2024
เมื่อย้ายออกจากจีน ผู้ผลิตเหล่านี้จะย้ายฐานการผลิตไปที่ใด คำตอบคือ ไม่มีประเทศหนึ่งเดียวประเทศใดที่จะทดแทนจีนโดยสิ้นเชิง แต่เป็นการรวมตัวกันของหลายประเทศที่นิตยสาร The Economist เรียกว่า "ห่วงโซ่อุปทานทางเลือกของเอเชีย" หรือ Alternate Asia หรือเรียกสั้น ๆ ว่า Altasia (อัลเทเชีย) ซึ่งสามารถไล่เลียงไปได้ตั้งแต่จากฮอกไกโดทางตอนเหนือของญี่ปุ่น ผ่านเกาหลีใต้ ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย สิงคโปร์ มาเลเซีย ไทย เวียดนาม กัมพูชา และบังกลาเทศ ไปจนถึงรัฐคุชราตทางตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดีย ซึ่งแต่ละประเทศมีจุดแข็งที่แตกต่างกัน ตั้งแต่ทักษะระดับสูงของญี่ปุ่นและรายได้มหาศาลไปจนถึงค่าแรงต่ำของอินเดียและไทย
หากเปรียบเทียบกับจีน บางมุมมองของ Altasia ดูดีกว่า เช่น มีประชากรวัยทำงานรวมกัน 1.4 พันล้านคน สูงกว่าจีนที่ 950 ล้านคน และ ใน 1.4 พันล้านคนนั้น 155 ล้านคนมีการศึกษาระดับอุดมศึกษาสูงกว่าจีนที่ 145 ล้านคน ขณะที่ค่าจ้างขั้นต่ำในอินเดีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ไทย และเวียดนาม ต่ำกว่า 3 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1 ใน 3 ของค่าจ้างแรงงานจีนในปัจจุบัน นอกจากนั้นภูมิภาคนี้เป็นประเทศที่เน้นการส่งออกอยู่แล้ว โดยการส่งออกจาก Altasia ไปสหรัฐในปีที่แล้ว (ก.ย. 2021-ก.ย. 2022) มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 6.34 แสนล้านดอลลาร์ สูงกว่าจีน 6.14 แสนล้านดอลลาร์ โดยสมาชิก Altasia บางส่วนยังเป็นสมาชิกของความร่วมมือทางเศรษฐกิจด้านต่าง ๆ ด้วย เช่น
(1) ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RECP ยกเว้นอินเดีย บังกลาเทศ และไต้หวัน)
(2) กรอบเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก (Indo-Pacific Economic Framework) ซึ่งเป็นกรอบความร่วมมือด้านเศรษฐกิจกับสหรัฐ
(3) บรูไน ญี่ปุ่น มาเลเซีย สิงคโปร์ และเวียดนาม อยู่ภายใต้ข้อตกลงใหม่ของหุ้นมหาสมุทรแปซิฟิก (CPTPP) ซึ่งรวมถึงแคนาดา ชิลี เม็กซิโก และเปรูด้วย
ที่ผ่านมา ผู้ผลิตจากญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ได้เข้ามาลงทุนโดยตรงใน Altasia มาสักพักหนึ่งแล้ว โดยในช่วงปี 2020 บริษัทเกาหลีใต้มีการลงทุนโดยตรงในอาเซียนและบังกลาเทศรวมมูลค่าถึง 9.6 หมื่นล้านดอลลาร์ แซงหน้าการลงทุนของเกาหลีในจีน โดยซัมซุงเป็นนักลงทุนต่างชาติรายใหญ่ที่สุดในเวียดนาม ขณะที่ฮุนได เปิดโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในอินโดนีเซีย ด้านบริษัทต่างชาติกำลังจับตามองภูมิภาคนี้มากขึ้น โดยมักจะผ่านผู้ผลิตตามสัญญาของ Foxconn, Pegatron และ Wistron ของไต้หวัน ซึ่งประกอบอุปกรณ์สำหรับ Apple และอื่นๆ ที่กำลังลงทุนจำนวนมากในอินเดีย ส่วนแบ่งของ iPhone ที่ผลิตในอินเดียคาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากประมาณ 1 ใน 20 ของปีที่แล้วเป็น 1 ใน 4 ภายในปี 2025
การผลิตที่ซับซ้อนโดยเฉพาะอย่างยิ่งเซมิคอนดักเตอร์ กำลังย้ายไปที่ Altasia เช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น มาเลเซียส่งออกชิปประมาณ 10% ของมูลค่าโลก ขณะที่โดยรวมแล้วประเทศในอาเซียนมีสัดส่วนมากกว่าหนึ่งในสี่ของการส่งออกชิปทั่วโลก แซงจีนที่ 18% ขณะที่ Qualcomm ผู้ผลิตชิป “fabless” สัญชาติอเมริกัน เปิดศูนย์วิจัยและพัฒนาแห่งแรกในเวียดนาม ขณะที่รายได้ของ Qualcomm จากโรงงานชิปในเวียดนามเพิ่มขึ้นสามเท่าระหว่างปี 2020 ถึง 2022 หรือแม้แต่ของไทยเองที่มีต่างชาติมาขอรับการส่งเสริมด้านการลงทุนจาก BOI เพิ่มขึ้นกว่า 41% ต่อปี ในปี 2022 ในอุตสาหกรรมสำคัญอย่างอิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์ไฟฟ้าจากผู้ผลิตใหญ่ เช่น BYD, GWM และ Foxconn
อย่างไรก็ตาม Altasia ยังมีข้อเสียเปรียบในประเด็นด้านความเชื่อมโยงของห่วงโซ่อุปทาน เมื่อเทียบกับจีนเป็นตลาดเดียวที่กว้างใหญ่ เชื่อมโยงกันด้วยโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสม ซึ่งสามารถเพิ่มมูลค่าได้โดยไม่ต้องมีซัพพลายเออร์ คนงาน และทุนข้ามพรมแดน ดังนั้น Altasia จึงต้องมีการปรับห่วงโซ่อุปทานให้มีการบูรณาการและมีประสิทธิภาพมากขึ้น แม้ว่า RCEP จะช่วยสนับสนุนการค้าภายใน Altasia อยู่บ้าง แต่การไหลเวียนของสินค้าต้องเผชิญกับอุปสรรคมากกว่าที่เกิดขึ้นในจีน ทั้งในด้านโครงสร้างพื้นฐาน กฎระเบียบ และประเด็นเชิงการเมืองในแต่ละประเทศ ทำให้ความเชื่อมโยงของสมาชิก Altasia ผ่านเขตการค้าเสรีต่างๆ ยังไม่เต็ม 100% อย่างไรก็ตามในระยะยาวแล้ว Altasia มีโอกาสขึ้นมาแทนจีนในแง่ของการเป็นผู้ผลิตสินค้าอุตสาหกรรมและเทคโนโลยี ทั้งจากแรงงานที่มีการศึกษาที่ขยายตัวขึ้น ตลาดที่ยังขยายตัว และกฎระเบียบที่เอื้อต่อการลงทุนนั่นเอง
วิเคราะห์หนี้ครัวเรือนกับแนวโน้มการบริโภคในระยะยาว
ผลกระทบจากการเพิ่มขึ้นของหนี้ครัวเรือนไทย พบว่าข้อสรุปมีความสอดคล้องกับการศึกษาของธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ หรือ BIS ที่สะท้อนว่าการเพิ่มขึ้นของหนี้ครัวเรือนส่งผลกระทบเชิงบวกต่อการบริโภคในระยะสั้น แต่จะลดศักยภาพการเติบโตของการบริโภคของครัวเรือนในระยะยาว ซึ่งหมายความว่าสัดส่วนหนี้ครัวเรือนไทยต่อจีดีพีที่คงตัวอยู่ระดับสูงในช่วงที่ผ่านมา กำลังกลายเป็นปัจจัยที่จำกัดการเติบโตของการบริโภคในภาพรวม
หากมองภาพในระดับที่ย่อยลงมาในปี 2566 รวมถึงในอนาคตอันใกล้หลังจากนี้ มองว่าอัตราการเติบโต ของหนี้ครัวเรือนน่าจะมีแนวโน้มที่ลดลง เนื่องจาก
1. ทิศทางดอกเบี้ยของไทยที่ยังคงเป็นขาขึ้น น่าจะทำให้ประชาชนรายย่อยและภาคครัวเรือนมีความระมัดระวังในการก่อหนี้ก้อนใหม่ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์สินเชื่อรายย่อยที่อ่อนไหวต่อการขยับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ เช่น สินเชื่อรายย่อยที่เป็นหนี้ก้อนใหญ่วงเงินกู้ยืมต่อสัญญาค่อนข้างสูงและมีการผ่อนชำระหลายปี ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อเพื่อการซื้อที่อยู่อาศัย สินเชื่ออเนกประสงค์ที่มีหลักประกัน รวมถึงสินเชื่อเพื่อเช่าซื้อรถยนต์ ซึ่งในขณะที่สภาวะเศรษฐกิจยังฟื้นตัวไม่ทั่วถึง ก็อาจทำให้สถาบันการเงินระมัดระวังความเสี่ยงด้านเครดิตของลูกหนี้บางกลุ่มอย่างต่อเนื่องเช่นกัน
2. แนวทางดูแลปัญหาหนี้ครัวเรือนของทางการไทย ซึ่งจากเอกสารทิศทางและนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ว่าด้วยแนวทางแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน คงจะมีมาตรการและโครงการต่างๆ ออกมาเพิ่มเติม ทั้งในส่วนของการแก้ไขหนี้เดิมที่เน้นการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ และการดูแลการก่อหนี้ใหม่ ซึ่งในปี 2566 น่าจะเน้นไปที่การดูแลความสามารถในการชำระคืนและไม่กระตุ้นการก่อหนี้โดยไม่จำเป็น
ดังนั้นจึงคาดว่าสินเชื่อรายย่อยในระบบแบงก์ไทยในปี 2566 น่าจะเติบโตในกรอบประมาณ 3.7-4.8% ชะลอลงจากที่เคยเติบโตเฉลี่ยประมาณ 6.0% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ขณะที่สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีของไทย อาจชะลอลงต่อเนื่องเป็นปีที่สองมาอยู่ที่กรอบประมาณ 84.0-86.5% เทียบกับตัวเลขคาดการณ์ ณ สิ้นปี 2565 ที่ 86.8% และระดับ 90.1% ในปี 2564 ซึ่งแม้ว่าสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีของไทยในปี 2566 อาจมีแนวโน้มชะลอลง ทว่ายอดคงค้างหนี้ครัวเรือนยังคงเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้นความท้าทายในการดูแลปัญหาหนี้ครัวเรือนของไทย จึงไม่ได้อยู่ที่เป้าหมายของการลดระดับสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีแต่เพียงอย่างเดียว แต่ยังอยู่ที่การดูแลให้หนี้ครัวเรือนที่เกิดขึ้นใหม่มีส่วนผสมของหนี้ที่มีคุณภาพ เพื่อทยอยปรับเปลี่ยนโครงสร้างหนี้ครัวเรือนในภาพใหญ่ให้มีส่วนผสมของหนี้ที่เป็นประโยชน์ต่อการดำรงชีพต่อไปนั่นเอง
กลุ่มประชาสัมพันธ์
ฝ่ายสื่อสารองค์กรและนักลงทุนสัมพันธ์
*แหล่งที่มาของข้อมูล : ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์ Global Vision