เกี่ยวกับเรา
BAM ประกอบธุรกิจด้านการบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ โดยมีส่วนช่วยเหลือลูกหนี้และแก้ไขปัญหาสถาบันการเงิน เพิ่มเติม
ทรัพย์
อื่นๆ
ติดต่อเรา
0-2630-0700
0-2266-3377
99 ถนนสุรศักดิ์ แขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพฯ 10500
หน้าหลัก > บทความเศรษฐกิจ > บทความวิเคราะห์รายงานทางเศรษฐกิจ(ประจำเดือนพฤษภาคม 2565)
ข้อมูลเดือนมีนาคม 2565 จากตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน จะเห็นว่าดัชนีราคาผู้บริโภคมีค่าสูงขึ้น เพราะราคาน้ำมันยังมีราคาที่สูงอยู่ ในขณะที่ราคาสินค้าจำพวกอาหารสดก็มีราคาที่ทรงตัว จึงส่งผลทำให้ราคามีทิศทางที่ปรับตัวสูงขึ้นในเดือนนี้ ส่วนภาคการผลิตยังมีการขยายตัวขึ้นมา เนื่องจากแนวโน้มเศรษฐกิจของต่างประเทศเริ่มดีขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ของโควิดที่มีการผ่อนคลายมากขึ้น ส่งผลให้ผู้ประกอบการเริ่มมีการผลิตสินค้าออกมา จึงทำให้ในเดือนนี้มีการผลิตสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้นมาได้ ในขณะเดียวกันดุลการค้าปรับตัวดีขึ้นและยังมีทิศทางที่เป็นบวกอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการนำเข้ายังมีค่าที่ไม่สูงมากเท่าไรนัก จึงทำให้ไม่น่าเป็นห่วง อย่างไรก็ตามภาวะการเงินยังทรงตัวไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลง โดยปริมาณเงินฝากและเงินให้สินเชื่อมีค่าเพิ่มขึ้น เนื่องจากประชาชนมีการออมสูงขึ้น เนื่องจากต้องการเก็บเงินไว้เพื่อรองรับกับความผันผวนที่ยังมีอยู่ จึงส่งผลให้การออมเงินมีการขยายตัวขึ้นมา ในขณะที่การปล่อยสินเชื่อมีค่ามากขึ้น เนื่องจากเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวขึ้นทำให้ธนาคารมีการปล่อยสินเชื่อออกมา แต่ก็ยังมีความระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อจากตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่เป็นไปอย่างช้าๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาหนี้เสียตามมาอีกด้วย
ตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน
รายละเอียด |
ธันวาคม 64 |
มกราคม 65 |
กุมภาพันธ์ 65 |
มีนาคม 65 |
ดัชนีราคาผู้บริโภค |
101.86 |
103.01 |
104.10 |
104.79 |
ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม |
101.68 |
103.77 |
100.72 |
108.58 |
อัตราการใช้กำลังการผลิต |
65.24 |
65.69 |
64.58 |
68.77 |
ดุลการค้า |
2,834.65 |
596.31 |
3,391.31 |
5,165.67 |
ดุลบัญชีเดินสะพัด |
-1,611.49 |
-2,204.43 |
-651.91 |
1,244.85 |
เงินฝาก |
16,406.90 |
16,410.38 |
16,592.35 |
n.a. |
เงินให้สินเชื่อ |
17,857.59 |
17,903.25 |
18,034.50 |
n.a. |
ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย
หมายเหตุ ดัชนีราคาผู้บริโภค มีปีฐานคือ 2562 เงินฝาก/เงินให้สินเชื่อ มีหน่วยเป็น พันล้านบาท
อัตราการใช้กำลังการผลิต มีหน่วยเป็น ร้อยละ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม มีปีฐานคือ 2559
ดุลการค้า ดุลบัญชีเดินสะพัด มีหน่วยเป็น ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา
- ที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เปรียบเทียบ ณ มี.ค. 64 กับ 65 มีรายละเอียดดังนี้
ปี |
จำนวน (ยูนิต) |
การเติบโต (%) |
ณ มี.ค. 64 |
24,070 |
-21.70% |
ณ มี.ค. 65 |
17,543 |
-27.12% |
ที่มา : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
- ประเภทที่อยู่อาศัยที่มีการจดทะเบียน ณ มี.ค. 65 เรียงตามลำดับมีรายละเอียดดังนี้
ประเภท |
จำนวน (ยูนิต) |
สัดส่วน (%) |
อาคารชุด |
7,532 |
42.93 |
บ้านเดี่ยว |
6,549 |
37.33 |
ทาวน์เฮ้าส์ |
2,186 |
12.46 |
บ้านแฝด |
640 |
3.65 |
อาคารพาณิชย์ |
636 |
3.63 |
รวม |
17,543 |
100.00 |
ที่มา : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
- การโอนกรรมสิทธิ์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เปรียบเทียบ ณ มี.ค. 64 กับ 65 มีรายละเอียดดังนี้
ปี |
จำนวน (ยูนิต) |
การเติบโต (%) |
ณ มี.ค. 64 |
40,906 |
-15.24% |
ณ มี.ค. 65 |
38,954 |
-4.77% |
ที่มา : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
- ประเภทที่อยู่อาศัยที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ ณ มี.ค. 65 เรียงตามลำดับมีรายละเอียดดังนี้
ประเภท |
จำนวน (ยูนิต) |
สัดส่วน (%) |
อาคารชุด |
15,433 |
39.62 |
ทาวน์เฮ้าส์ |
12,796 |
32.85 |
บ้านเดี่ยว |
7,043 |
18.08 |
บ้านแฝด |
2,018 |
5.18 |
อาคารพาณิชย์ |
1,664 |
4.27 |
รวม |
38,954 |
100.00 |
ที่มา : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
ปี 65 |
อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 6 ธนาคาร |
อัตราดอกเบี้ย นโยบาย ธปท. |
มกราคม-มีนาคม |
5.87 |
0.50 |
ที่มา : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
หมายเหตุ : 6 ธนาคาร ประกอบด้วย ธ.อาคารสงเคราะห์, ธ.กสิกรไทย, ธ.กรุงเทพ, ธ.กรุงศรีอยุธยา, ธ.กรุงไทย และ ธ.ไทยพาณิชย์
สรุปภาพรวมภาวะอสังหาริมทรัพย์เดือนมีนาคม 2565
ภาพรวมของอุปทานมีการปรับตัวลดลง 27.12% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังฟื้นตัวได้ไม่ดี ท่ามกลางความผันผวนที่ยังมีอยู่ อีกทั้งการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับที่สูง จึงทำให้ผู้ประกอบการชะลอการพัฒนาโครงการออกมา เพื่อรอดูสถานการณ์ให้มีความชัดเจนมากขึ้น ส่งผลให้อุปทานในตลาดมีทิศทางที่หดตัวลงมา ในขณะเดียวกันทางด้านอุปสงค์ก็มีทิศทางที่ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 4.77% เพราะกำลังซื้อของผู้บริโภคยมีแนวโน้มชะลอตัวอยู่ต่อไป ท่ามกลางผลกระทบที่เกิดขึ้นส่งผลต่อรายได้ของผู้บริโภคอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ที่อยู่อาศัยประเภทอาคารชุดยังมียอดการโอนกรรมสิทธิ์มากที่สุด รองลงมาคือ ทาวน์เฮ้าส์ และบ้านเดี่ยว ส่วนสินเชื่อที่อยู่อาศัยขยายตัวได้ไม่มากตามภาวะเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากโรคระบาดโควิด-19 ที่ทำให้การเติบโตของเศรษฐกิจค่อยๆ ฟื้นตัว ส่งผลทำให้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นที่ 3.07% ณ ไตรมาส 1 ปี 65 ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่อยู่อาศัยและอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยยังทรงตัวอยู่ที่ 5.87% และ 0.50% ตามลำดับ
วิเคราะห์เศรษฐกิจโลกเดินเข้าสู่ภาวะถดถอย
ที่มาของภาพ : https://myrepublica.nagariknetwork.com/uploads/media/aa_20200508122140.jpg
ข้อมูลล่าสุดชี้ว่าเศรษฐกิจโลกกำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย ผลักดันโดยสามปัจจัยที่ได้เปลี่ยนเศรษฐกิจโลกแบบหน้ามือเป็นหลังมือเพียงเวลาไม่ถึงสามเดือนนั่นคือ สงครามยูเครนกับรัสเซีย การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อแก้เงินเฟ้อ และเศรษฐกิจจีนที่ชะลอ ภาวะถดถอยนี้มีศักยภาพที่จะทำให้เศรษฐกิจโลกเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม ปลายปีก่อนเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มที่จะเริ่มฟื้นตัวจากวิกฤติโควิด แต่ผ่านมาสี่เดือนแนวโน้มก็เปลี่ยนมาเป็นการชะลอตัวและมีความเสี่ยงที่เศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะถดถอยในช่วงต่อไป เป็นผลจากสามปัจจัยที่เกิดขึ้นในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา ได้แก่
3 ปัจจัยนี้กระทบเศรษฐกิจโลกอย่างสำคัญ ทั้งในระดับกิจกรรมทางเศรษฐกิจและระดับโครงสร้าง ทำให้เศรษฐกิจโลกปีนี้จะเปลี่ยนจากฟื้นตัวมาเป็นชะลอตัว มีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะถดถอย รวมถึงศักยภาพเศรษฐกิจโลกที่จะถดถอยในอนาคต และเมื่อพิจารณาประเด็นสำคัญในแต่ละเรื่องจะมีรายละเอียดดังนี้
สถานการณ์สงครามระหว่างยูเครนกับรัสเซียรวมถึงมาตรการคว่ำบาตร ได้ทำให้การผลิตในรัสเซียและยูเครนถูกกระทบมาก โดยเฉพาะพลังงาน คือน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ การผลิตอาหาร เช่น ข้าวสาลีและข้าวโพด รวมถึงโลหะที่ทั้งสองประเทศนี้เป็นผู้ผลิตรายใหญ่ของโลก ทำให้เศรษฐกิจรัสเซีย เศรษฐกิจยูเครน รวมถึงเศรษฐกิจประเทศในยุโรปที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากสงครามถูกกระทบมาก เกิดการชะลอตัวของเศรษฐกิจ การขาดแคลนสินค้า ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับสูงขึ้น ส่งผลต่อการขยายตัวและอัตราเงินเฟ้อในเศรษฐกิจโลก ยิ่งถ้าสถานการณ์สงครามยืดเยื้อ ผลกระทบต่อเงินเฟ้อและการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกก็ยิ่งมีมาก ที่สำคัญความแตกแยกในภูมิศาสตร์การเมืองโลกที่เป็นผลจากสงคราม จะกระทบความเป็นหนึ่งเดียวของเศรษฐกิจโลกในแง่โลกาภิวัตน์ ทำให้ศักยภาพและประสิทธิภาพในการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกจะถดถอยไม่เหมือนเดิม นี่คือผลของสงคราม
สำหรับจีน การกลับมาระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนตั้งแต่ต้นปี ชี้และเตือนทุกประเทศว่าโรคระบาดโควิด-19 ยังไม่จบสิ้น สามารถกลับมาระบาดและส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกได้เป็นรอบๆ ภายใต้นโยบาย Zero Covid รัฐบาลจีนได้เข้าไปควบคุมการระบาด เริ่มจากมาตรการล็อกดาวน์ในบางเมืองบางส่วน เช่น นครเซี่ยงไฮ้ตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม จากนั้นขยายไปสู่การล็อกดาวน์แบบเต็มรูปแบบในเมืองที่มีการระบาด เช่น เซี่ยงไฮ้และปักกิ่งในเดือนเมษายน ล่าสุดจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ในจีนอยู่ในระดับสองหมื่นแปดพันคนต่อวัน ขณะที่สำนักข่าว CNN ประเมินว่ามาตรการล็อกดาวน์ทั้งแบบบางส่วนและเต็มรูปแบบขณะนี้ มีการบังคับใช้อยู่ใน 27 เมืองทั่วประเทศจีน กระทบประชากรกว่า180 ล้านคน มาตรการ ล็อกดาวน์ส่งผลต่อเศรษฐกิจจีนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำให้สินค้าขาดแคลนและเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น ซ้ำเติมความอ่อนแอที่เศรษฐกิจมีอยู่จากปัญหาหนี้เสียในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ล่าสุดรัฐบาลจีนได้ประกาศที่จะเร่งใช้จ่ายด้านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อช่วยฟื้นเศรษฐกิจ ที่ปฏิเสธไม่ได้คือ การชะลอลงของเศรษฐกิจจีนจะกระทบเศรษฐกิจทั่วโลก เพราะจีนเป็นเศรษฐกิจอันดับสองของโลก เป็นหัวรถจักรสำคัญในการผลิตและการใช้จ่ายในเศรษฐกิจโลก และเป็นตัวเชื่อมสำคัญในห่วงโซ่การผลิตโลก มาตรการล็อกดาวน์ของจีนจึงยิ่งจะทำให้การผลิตในเศรษฐกิจโลกถูกกระทบมากขึ้น สร้างแรงกดดันเพิ่มเติมต่อความขาดแคลนและอัตราเงินเฟ้อในเศรษฐกิจโลก
ปัจจุบันอัตราเงินเฟ้อเป็นปัญหาใหญ่ของเศรษฐกิจทั่วโลก ล่าสุดเงินเฟ้อประเทศอุตสาหกรรมเฉลี่ยร้อยละ 5 ต่อปีและประเทศตลาดเกิดใหม่ร้อยละ 7 ต่อปี เงินเฟ้อที่สูงกระทบการขยายตัวของเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชาชน ปัญหาเงินเฟ้อได้ก่อตัวมาตั้งแต่กลางปีที่แล้ว จากความไม่สมดุลระหว่างการใช้จ่ายในเศรษฐกิจโลก ที่เร่งตัวจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการผลิตในเศรษฐกิจโลกที่ขยายตัวขึ้นไม่ทัน เพราะดิสรัปชันที่โควิด-19 มีต่อกระบวนการผลิต ทำให้ราคาสินค้าบางรายการปรับสูงขึ้น เช่น ราคาน้ำมัน ค่าระวางเรือ แต่จากนั้นข้อจำกัดต่อการผลิตที่มีมากขึ้นจากผลของสงคราม และล่าสุดจากมาตรการล็อกดาวน์ในจีน และจากการดำเนินนโยบายแก้ไขเงินเฟ้อโดยเฉพาะการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่ล่าช้า โดยเฉพาะในสหรัฐทำให้ค่าจ้างแรงงานเริ่มปรับสูงขึ้นตาม แรงกดดันเงินเฟ้อจึงมีมากและเงินเฟ้อได้แปลงสภาพเป็นปัญหาเงินเฟ้อที่ราคาสินค้าปรับขึ้นเป็นการทั่วไป ขับเคลื่อนโดยการปรับขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์และพลวัตของราคาสินค้าขาขึ้นในระบบเศรษฐกิจ ล่าสุดอัตราเงินเฟ้อในสหรัฐสิ้นเดือนมีนาคมอยู่ที่ร้อยละ 8.5 สูงสุดในรอบสี่สิบปีและประชาชนอเมริกันกว่าร้อยละ 20 มองว่าเงินเฟ้อเป็นปัญหาเศรษฐกิจที่สำคัญสุดขณะนี้ กดดันให้ธนาคารกลางสหรัฐจะต้องเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากกว่าที่ประเมินไว้เดิมเพื่อลดแรงกดดันเงินเฟ้อ
โดยสรุปจะเห็นได้ว่าทั้ง 3 ปัจจัยกระทบเศรษฐกิจโลกในทางลบ ทำให้การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกชะลอ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแม้มีผลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ แต่สำคัญและจำเป็นต่อการแก้ เงินเฟ้อทั้งเพื่อลดการใช้จ่ายและลดพลวัตที่จะทำให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ถ้าไม่ทำเร็วและปล่อยให้ยืดเยื้อ เงินเฟ้อก็จะรุนแรงและกระทบเศรษฐกิจมากขึ้น ด้วยเหตุนี้เมื่อเดือนเมษายนไอเอ็มเอฟได้ปรับลดประมานการขยายตัวเศรษฐกิจโลกปีนี้และปีหน้าลงเป็นร้อยละ 3.6 และล่าสุดได้เตือนว่าภูมิภาคเอเชียอาจเจอกับปัญหา Stagflation คือภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่เกิดขึ้นพร้อมกับอัตราเงินเฟ้อที่สูง ซึ่งมักมากับการแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อที่ล่าช้า ทำให้ค่าเงินของประเทศอ่อนมาก ซ้ำเติมให้เงินเฟ้อยิ่งรุนแรงมากขึ้น ดังนั้นเศรษฐกิจโลกปีนี้ไม่สดใสแน่นอน และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของความยากลำบากที่จะเกิดขึ้นตามมา ตราบใดที่ความไม่แน่นอนยังมีมาก สำคัญสุดคือ สถานการณ์สงครามที่ควรยุติโดยเร็ว เพื่อลดความไม่แน่นอน เพราะถ้าสถานการณ์ยืดเยื้อหรือขยายวง เศรษฐกิจโลกก็จะยิ่งถูกกระทบ และยิ่งนานก็จะยิ่งเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม
วิเคราะห์ความผันผวนในตลาดอัตราแลกเปลี่ยนกับความเสี่ยงที่ต้องระมัดระวัง
ความผันผวนในตลาดเงินในช่วงปีนี้เกิดขึ้นในหลากหลายส่วนทั้งตลาดบอนด์ หุ้น และยังรวมถึงอัตราแลกเปลี่ยนด้วย โดยค่าเงินในฝั่งเอเชียล้วนปรับอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะค่าเงินเยนญี่ปุ่น โดยทิศทางของอัตราแลกเปลี่ยนนั้นถูกกำหนดด้วยหลากหลายปัจจัย ทั้งเรื่องของการค้าขายระหว่างประเทศ การลงทุน ซึ่งรวมถึงทั้งการลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงินและการลงทุนโดยตรง (Foreign Direct Investment) ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย เศรษฐกิจ สภาพคล่องและปริมาณเงินในระบบ รวมถึงแรงเก็งกำไรในสกุลเงินที่เปิดซื้อขายได้อย่างเสรีต่างๆ ซึ่งดูเหมือนว่าในรอบนี้ ตลาดการเงินจะให้น้ำหนักกับส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยมากเป็นพิเศษ ทำให้แนวโน้มการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกาเกิดขึ้นในวงกว้างเมื่อเทียบกับสกุลเงินต่างๆ โดยเฉพาะในฝั่งเอเชีย ในขณะที่เรื่องของเศรษฐกิจจีนก็ส่งผลกระทบต่อภูมิภาคไม่น้อย เนื่องจากหากจีนชะลอตัวลง เศรษฐกิจภูมิภาคก็น่าจะได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญด้วย ค่าเงินเยนญี่ปุ่นปีนี้ปรับอ่อนค่า -11.9% มากสุดในภูมิภาค โดยเฉพาะนับตั้งแต่เดือน มี.ค เป็นต้นมาที่เกิดการอ่อนค่าอย่างรวดเร็ว และปัจจุบันซื้อขายที่ระดับที่อ่อนค่าที่สุดในรอบ 20 ปี ที่ 130.6 เยน ต่อดอลลาร์สหรัฐอเมริกา จากท่าทีของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (FED) ที่ดูเข้มงวดขึ้นเพื่อจัดการกับเงินเฟ้อ และมีความเป็นไปได้ที่จะเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ย ในขณะที่ญี่ปุ่นยังคงต้องใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย เพื่อควบคุมผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุยาวให้อยู่ในระดับที่ต้องการ ทำให้ต้องซื้อพันธบัตรรัฐบาล ส่งผลให้สภาพคล่องในตลาดการเงินสูงขึ้นและเป็นผลลบต่อค่าเงิน ในส่วนของเงินบาทปีนี้อ่อนค่าทิศทางเดียวกับภูมิภาค โดยนับจากต้นปีอ่อนค่า -2.9% ใกล้เคียงกับสิงคโปร์ดอลลาร์ และเปโซฟิลิปปินส์ ส่วนใหญ่เป็นจากปัจจัยภายนอกโดยเฉพาะเรื่องของนโยบายการเงินของสหรัฐอเมริกา เศรษฐกิจจีนที่น่าจะชะลอตัวลงกว่าคาดหลังการ Lockdown และเสริมด้วยปัจจัยทางฤดูกาลของการไหลออกของเงินปันผล
โดยแนวโน้มในระยะถัดยังคงเป็นเรื่องของการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกาต่อเนื่อง ซึ่งมองจากหลายปัจจัยที่กล่าวมาในเบื้องต้น ดอลลาร์สหรัฐอเมริกายังมีความน่าสนใจมากกว่าเมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่นๆ แม้ตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐอเมริกาอาจถูกเทขายออกมาเป็นระยะๆ แต่มองไปในอนาคตด้วยอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น และเงินเฟ้อที่น่าจะผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว อาจดึงดูดให้เกิดเงินลงทุนไหลเข้าต่อเนื่องได้
ในส่วนของภาคเศรษฐกิจจริง แม้การอ่อนค่าของค่าเงินอาจจะเป็นประโยชน์และช่วยกระตุ้นภาคการส่งออก แต่การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วและผันผวนขึ้นลงอาจไม่ส่งผลดีมากนัก เสริมด้วยเรื่องของต้นทุนของผู้นำเข้าที่น่าจะสูงขึ้น และต้นทุนการนำเข้าน้ำมันที่สูงขึ้นอาจะส่งผลต่อเงินเฟ้อ และค่าครองชีพของครัวเรือนในท้ายที่สุด นอกจากนี้ความผันผวนของค่าเงินเกิดขึ้นในจังหวะที่ดอกเบี้ยสหรัฐอเมริกาน่าจะปรับตัวขึ้นเร็ว ทำให้ต้นทุนการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Hedging) นั้นแพงขึ้น จากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่กว้างขึ้น โดยความผันผวนที่ยังน่าจะสูงต่อเนื่อง อาจเกิดได้จากหลายปัจจัย โดยเฉพาะเรื่องของแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐอเมริกา ซึ่งก็ยังมีส่วนต่างระหว่างที่ตลาดการเงินคาดไว้ กับแนวโน้มที่ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาอาจจะปรับขึ้นจริง โดยเฉพาะหากเมื่อเห็นตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ ที่อาจจะเริ่มชะลอลง รวมถึงเงินเฟ้อที่อาจผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว หากมีการปรับประมาณการแนวโน้มดอกเบี้ยของ FED ตลาดอัตราแลกเปลี่ยนก็จะผันผวนตามไปด้วย ซึ่งโดยรวมแม้การป้องกันความเสี่ยงอาจจะมีต้นทุนที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน แต่ก็ยังอาจจะคุ้มโดยเฉพาะในภาวะที่ความเสี่ยงเกิดขึ้นจากหลากหลายปัจจัยอย่างเช่นในปัจจุบันนี้
สำหรับการลงทุน เรื่องการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินอาจจะดูไม่มากเมื่อเทียบกับการลงทุนในหุ้น โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มเติบโตที่ปีนี้ดูจะทำได้ไม่ดีเลย แต่ความผันผวนในตลาดการเงินต่างๆ เป็นตัวสะท้อนความเปราะบางของตลาดการเงินภาพรวมในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี ปีนี้นับเป็นปีที่ไม่ง่ายนักเพราะทุกตลาดดูเหมือนจะผันผวนค่อนข้างมาก ทำให้ยังคงต้องจับตาดูแนวโน้มเศรษฐกิจและตลาดการเงินกันต่อไป ซึ่งปัจจัยสำคัญยังคงหนีไม่พ้นเรื่องของดอกเบี้ย สงคราม และเงินเฟ้อ นั่นเอง
กลุ่มวางแผนกลยุทธ์และงบประมาณ
ฝ่ายยุทธศาสตร์และวางแผนธุรกิจองค์กร
แหล่งที่มาของข้อมูล : ดร. บัณฑิต นิจถาวร ประธานมูลนิธินโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล