เกี่ยวกับเรา
BAM ประกอบธุรกิจด้านการบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ โดยมีส่วนช่วยเหลือลูกหนี้และแก้ไขปัญหาสถาบันการเงิน เพิ่มเติม
ทรัพย์
อื่นๆ
ติดต่อเรา
0-2630-0700
0-2266-3377
99 ถนนสุรศักดิ์ แขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพฯ 10500
หน้าหลัก > บทความเศรษฐกิจ > บทความวิเคราะห์รายงานทางเศรษฐกิจ(ประจำเดือนเมษายน 2565)
ข้อมูลเดือนกุมภาพันธ์ 2565 จากตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน จะเห็นว่าดัชนีราคาผู้บริโภคมีค่าสูงขึ้น เพราะราคาน้ำมันยังมีแนวโน้มราคาที่สูงอยู่ ในขณะที่ราคาสินค้าจำพวกอาหารสดก็มีทิศทางที่เพิ่มขึ้น จึงส่งผลทำให้ราคามีทิศทางที่ปรับตัวสูงขึ้นในเดือนนี้ ส่วนภาคการผลิตยังมีการหดตัวลงมา เนื่องจากแนวโน้มเศรษฐกิจของต่างประเทศเริ่มมีความผันผวนท่ามกลางสถานการณ์ของโควิดและแนวโน้มของสงครามรัสเซียยูเครน ส่งผลให้ผู้ประกอบการต่างรอดูสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้ผู้ผลิตเริ่มชะลอการผลิตสินค้าออกมาก ส่งผลให้ในเดือนนี้มีการผลิตสินค้าที่ปรับตัวน้อยลงมา ในขณะเดียวกันดุลการค้าปรับตัวดีขึ้นและยังมีทิศทางที่เป็นบวกอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการนำเข้ายังมีค่าที่ไม่สูงมากเท่าไรนัก จึงทำให้ไม่น่าเป็นห่วง อย่างไรก็ตามภาวะการเงินยังทรงตัวไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลง โดยปริมาณเงินฝากและเงินให้สินเชื่อมีค่าเพิ่มขึ้น เนื่องจากประชาชนมีการออมสูงขึ้น เนื่องจากต้องการเก็บเงินไว้เพื่อรองรับกับความผันผวนที่ยังมีอยู่ จึงส่งผลให้การออมเงินมีการขยายตัวขึ้นมา ในขณะที่การปล่อยสินเชื่อมีค่ามากขึ้น เนื่องจากเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวขึ้นทำให้ธนาคารมีการปล่อยสินเชื่อออกมา แต่ก็ยังมีความระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อจากตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่เป็นไปอย่างช้าๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาหนี้เสียตามมาอีกด้วย
ตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน
รายละเอียด |
พฤศจิกายน 64 |
ธันวาคม 64 |
มกราคม 65 |
กุมภาพันธ์ 65 |
ดัชนีราคาผู้บริโภค |
102.25 |
101.86 |
103.01 |
104.10 |
ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม |
100.91 |
101.68 |
103.77 |
101.02 |
อัตราการใช้กำลังการผลิต |
65.17 |
65.24 |
65.69 |
64.80 |
ดุลการค้า |
4,237.52 |
2,834.65 |
596.31 |
3,391.31 |
ดุลบัญชีเดินสะพัด |
380.48 |
-1,611.49 |
-2,204.43 |
-651.91 |
เงินฝาก |
16,380.81 |
16,406.90 |
16,410.38 |
n.a. |
เงินให้สินเชื่อ |
17,713.38 |
17,857.59 |
17,903.25 |
n.a. |
ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย
หมายเหตุ ดัชนีราคาผู้บริโภค มีปีฐานคือ 2562 เงินฝาก/เงินให้สินเชื่อ มีหน่วยเป็น พันล้านบาท
อัตราการใช้กำลังการผลิต มีหน่วยเป็น ร้อยละ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม มีปีฐานคือ 2559
ดุลการค้า ดุลบัญชีเดินสะพัด มีหน่วยเป็น ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา
- ที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เปรียบเทียบ ณ ก.พ. 64 กับ 65 มีรายละเอียดดังนี้
ปี |
จำนวน (ยูนิต) |
การเติบโต (%) |
ณ ก.พ. 64 |
12,459 |
-44.95% |
ณ ก.พ. 65 |
10,806 |
-13.27% |
ที่มา : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
- ประเภทที่อยู่อาศัยที่มีการจดทะเบียน ณ ก.พ. 65 เรียงตามลำดับมีรายละเอียดดังนี้
ประเภท |
จำนวน (ยูนิต) |
สัดส่วน (%) |
อาคารชุด |
4,523 |
41.85 |
บ้านเดี่ยว |
4,012 |
37.13 |
ทาวน์เฮ้าส์ |
1,435 |
13.28 |
บ้านแฝด |
446 |
4.13 |
อาคารพาณิชย์ |
390 |
3.61 |
รวม |
10,806 |
100.00 |
ที่มา : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
- การโอนกรรมสิทธิ์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เปรียบเทียบ ณ ก.พ. 64 กับ 65 มีรายละเอียดดังนี้
ปี |
จำนวน (ยูนิต) |
การเติบโต (%) |
ณ ก.พ. 64 |
20,677 |
-21.01% |
ณ ก.พ. 65 |
20,357 |
-1.55% |
ที่มา : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
- ประเภทที่อยู่อาศัยที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ ณ ก.พ. 65 เรียงตามลำดับมีรายละเอียดดังนี้
ประเภท |
จำนวน (ยูนิต) |
สัดส่วน (%) |
อาคารชุด |
8,247 |
40.51 |
ทาวน์เฮ้าส์ |
6,609 |
32.47 |
บ้านเดี่ยว |
3,614 |
17.75 |
บ้านแฝด |
990 |
4.86 |
อาคารพาณิชย์ |
897 |
4.41 |
รวม |
20,357 |
100.00 |
ที่มา : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
ปี 65 |
อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 6 ธนาคาร |
อัตราดอกเบี้ย นโยบาย ธปท. |
มกราคม-กุมภาพันธ์ |
5.87 |
0.50 |
ที่มา : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
หมายเหตุ : 6 ธนาคาร ประกอบด้วย ธ.อาคารสงเคราะห์, ธ.กสิกรไทย, ธ.กรุงเทพ, ธ.กรุงศรีอยุธยา, ธ.กรุงไทย และ ธ.ไทยพาณิชย์
สรุปภาพรวมภาวะอสังหาริมทรัพย์เดือนกุมภาพันธ์ 2565
ภาพรวมของอุปทานมีการปรับตัวลดลง 13.27% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังฟื้นตัวได้ไม่มากนัก ท่ามกลางความผันผวนที่ยังมีอยู่ อีกทั้งการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง จึงทำให้ผู้ประกอบการชะลอการพัฒนาโครงการออกมา เพื่อรอดูสถานการณ์ให้มีความชัดเจนมากขึ้น ส่งผลให้อุปทานในตลาดมีทิศทางที่หดตัวลงมา ในขณะเดียวกันทางด้านอุปสงค์ก็มีทิศทางที่ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 1.55% เพราะกำลังซื้อของผู้บริโภคยมีแนวโน้มชะลอตัวอยู่ต่อไป ท่ามกลางผลกระทบที่เกิดขึ้นส่งผลต่อรายได้ของผู้บริโภคอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ที่อยู่อาศัยประเภทอาคารชุดยังมียอดการโอนกรรมสิทธิ์มากที่สุด รองลงมาคือ ทาวน์เฮ้าส์ และบ้านเดี่ยว ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่อยู่อาศัยทรงตัวอยู่ที่ 5.87% และอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยยังทรงตัวอยู่ที่ 0.50% ตามลำดับ
วิเคราะห์โลกาภิวัฒน์ภายหลังสงครมรัสเซีย-ยูเครน
ที่มาของภาพ : http://2.bp.blogspot.com/-eKVau74GmkE/Vj4-nOy6WBI/AAAAAAAACDQ/hJVFWuIeOkE/s1600/globalization.gif
"โลกาภิวัตน์" หมายถึงกระบวนการที่ประเทศต่างๆ เชื่อมต่อและพึ่งพาซึ่งกันและกันในการทำการค้าการผลิตและการลงทุน ซึ่งเป็นกลไกหลักที่ขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจโลกช่วงสี่สิบปีที่ผ่านมา โลกาภิวัตน์เติบโตมากสุดช่วงต้นปี 2000 หลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียตปี 1991 และการเข้าเป็นสมาชิกองค์การค้าโลกของจีนปี 2001 ที่ทั้งจีนและกลุ่มประเทศในสหภาพโซเวียตเดิมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจการเงินโลกอย่างสมบูรณ์
ที่ผ่านมาปัจจัยขับเคลื่อนโลกาภิวัตน์คือเศรษฐกิจเสรีนิยม เทคโนโลยี ระบบอินเทอร์เน็ต นวัตกรรม ข้อมูลข่าวสาร และการขนส่งระหว่างประเทศ ทำให้การค้าโลกและเศรษฐกิจโลกขยายตัวต่อเนื่อง ชนชั้นกลางเติบโต ความยากจนลดลง และทั้งจีนและรัสเซียได้ประโยชน์เต็มที่ โดยจีนก้าวขึ้นมาเป็นประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับสองของโลก ขณะที่รัสเซียพัฒนาขึ้นมาเป็นผู้ส่งออกพลังงานรายใหญ่ของโลกและเป็นเศรษฐกิจอันดับสิบเอ็ดของโลก ที่สำคัญโลกาภิวัตน์ได้ผ่านการทดสอบสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็งของโลกาภิวัตน์ที่จะทัดทานแรงกระทบที่เกิดขึ้นในเศรษฐกิจโลก ไม่ว่าจะเป็นการก่อการร้าย วิกฤติเศรษฐกิจการเงินโลก เบร็กซิท และล่าสุดวิกฤติโรคระบาดโควิด19
แต่ภายใต้ความเข้มแข็งนี้ รอยปริก็มีมากขึ้นเช่นกัน เห็นได้จากกระแสต่อต้านโลกาภิวัตน์ที่ก่อตัวขึ้นจากความล้มเหลวของเศรษฐกิจเสรีนิยมที่ไม่สามารถทำให้ชีวิตคนส่วนใหญ่ดีขึ้น ความเหลื่อมล้ำมีมากขึ้น นำไปสู่กระแสชาตินิยมที่มองว่าโลกาภิวัตน์คือตัวปัญหา และจากการแข่งขันระหว่างสหรัฐกับจีนที่นำไปสู่มาตรการกีดกันทางการค้า การตั้งกำแพงภาษี และปิดกั้นการเข้าถึงเทคโนโลยีซึ่งขัดกับหลักเสรีนิยมและ บั่นทอนโลกาภิวัตน์ อย่างไรก็ตามโลกาภิวัตน์ก็เดินหน้าต่อ ชี้ให้เห็นถึงความสามารถของโลกาภิวัตน์ที่จะปรับตัวตราบใดที่ผู้นำทางการเมืองที่เป็นผู้กำหนดนโยบายยอมให้โลกาภิวัตน์เป็นกลไกนำในการจัดสรรทรัพยากรเศรษฐกิจ
แต่ที่น่าห่วงขณะนี้คือ สงครามรัสเซีย-ยูเครน กำลังยกระดับรอยปริในโลกาภิวัตน์ไปสู่ความแตกแยก โดยเฉพาะจากมาตรการคว่ำบาตร (Sanction) ที่รุนแรงและหลายอย่างเป็นสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน โดยที่สหรัฐกลุ่มประเทศนาโตและประเทศพันธมิตรต้องการโดดเดี่ยวและตัดขาดรัสเซียออกจากระบบเศรษฐกิจการเงินโลก เพื่อกดดันให้รัสเซียยุติสงคราม มาตรการเหล่านี้ได้สร้างความไม่แน่นอนให้กับเศรษฐกิจการเงินและการค้าโลกอย่างไม่เคยมีมาก่อนเช่นกัน โดยมีรายละเอียดดังนี้
1.มาตรการคว่ำบาตรแสดงให้เห็นถึงอำนาจและอิทธิพลที่กลุ่มประเทศตะวันตกมีในระบบเศรษฐกิจการเงินโลกในปัจจุบัน และความพร้อมที่ประเทศเหล่านี้จะใช้การเปลี่ยนกฎเกณฑ์การค้าและการเงินระหว่างประเทศเป็นเครื่องมือ เพื่อ "เล่นงาน" ประเทศที่ไม่เป็นมิตร ด้วยเหตุผลทางการเมือง ซึ่งรวมถึงการยึดทรัพย์หรือห้ามไม่ให้บุคคล บริษัท และรัฐบาล เช่น ธนาคารกลางเข้าถึงหรือใช้ประโยชน์ทรัพย์สินที่มีอยู่ตามกฎหมาย ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยหรือมักไม่เกิดขึ้นมาก่อน
2.มาตรการคว่ำบาตรเป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้ในอนาคตกับสินทรัพย์ที่มีในต่างประเทศของทุกประเทศ ทั้งของภาครัฐและเอกชน ถ้าประเทศเลือกที่จะยืนผิดข้างกับผลประโยชน์ของประเทศตะวันตก ซึ่งในอดีตเป็นเรื่องไม่มีใครคิดว่าจะเกิดขึ้นได้โดยเฉพาะทำโดยประเทศที่เป็นประชาธิปไตยและมีระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยม
3.มาตรการคว่ำบาตรได้สร้างความไม่ปลอดภัยให้กับการทำธุรกิจระหว่างประเทศในอนาคต ที่กฎเกณฑ์การค้าและการเงินในโลกอาจเปลี่ยนได้ด้วยเหตุผลทางการเมือง เป็นความเสี่ยงและความไม่แน่นอนใหม่ที่การทำธุรกิจ การลงทุน และการถือครองทรัพย์สินในต่างประเทศต้องตระหนัก ชี้ให้เห็นว่าระบบโลกาภิวัตน์อ่อนไหวมากต่อการเมืองระหว่างประเทศ
จากความไม่แน่นอนนี้ ผลที่จะเกิดขึ้นตามมาคือโลกาภิวัตน์จะเล็กลงและนโยบายเศรษฐกิจระดับประเทศ และการทำธุรกิจของภาคเอกชนต้องปรับตัวเพื่อรองรับความเสี่ยงและความไม่แน่นอนที่มาตรการคว่ำบาตรได้ทำให้เห็นเป็นตัวอย่างว่าเกิดขึ้นได้ โดยสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาคือ
1.โลกาภิวัตน์จะแตกขั้วเป็นอย่างน้อยสองกลุ่ม คือ กลุ่มประเทศตะวันตกนำโดยสหรัฐกลุ่มประเทศนาโต้และพันธมิตร และกลุ่มที่สองที่เป็นเศรษฐกิจคู่ขนานและเป็นทางเลือกใหม่นำโดยจีน รัสเซียและประเทศที่เป็นแนวร่วม ซึ่งประเทศในแต่ละกลุ่มก็จะค้าขายระหว่างกันเป็นหลัก ทำให้ประเทศที่เหลือจะต้องเลือกว่าจะอยู่กลุ่มไหนหรือจะพยายามวางตัวให้เข้าได้กับทั้งสองกลุ่ม
2.ความสามารถของประเทศที่จะอยู่ได้ด้วยตนเอง ลดหรือไม่พึ่งพาประเทศอื่นในการอยู่รอดทางเศรษฐกิจ (Self-sufficient) จะมีความสำคัญมากขึ้นๆ ในการทำนโยบายเศรษฐกิจของประเทศ ที่ต้องมุ่งไปสู่การสร้างความเข้มแข็งและความเพียงพอในเรื่องอาหาร พลังงาน สาธารณสุข เทคโนโลยี ความรู้ความสามารถในการผลิต การหารายได้ และคุณภาพของประชากร
3.ภาคเอกชนต้องปรับตัวกับเศรษฐกิจโลกและระเบียบการค้าโลกที่จะไม่เหมือนเดิม มีความเสี่ยงและความไม่แน่นอนมากขึ้น เศรษฐกิจโลกจะขยายตัวลดลง อัตราเงินเฟ้อและต้นทุนการผลิตจะสูงขึ้น สินค้ามีให้เลือกจำกัด นวัตกรรมจะลดลง การลงทุนต่างประเทศจะไม่ปลอดภัยเหมือนเดิม
ทุกอย่างจะกลับมาให้ความสำคัญกับตลาดในประเทศทำให้การแข่งขันจะสูงและอ่อนไหวง่ายต่อการผูกขาดจากพลังของผู้เล่นรายใหญ่ในประเทศ ทำให้ประสิทธิภาพของระบบเศรษฐกิจลดลง นี่คือเศรษฐกิจโลกใหม่และความเป็นไปได้ที่รออยู่ข้างหน้า คำถามคือกลุ่มประเทศตะวันตกจะยอมให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นหรือไม่ ที่ความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศจะดึงเศรษฐกิจโลกและโลกาภิวัตน์ให้ถอยหลังกลับไปเป็นสิบๆ ปี
วิเคราะห์ Inverted Yield Curve ในสหรัฐฯ ที่มีต่อนัยทิศทางอัตราดอกเบี้ยของไทย
การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายโดยธนาคารกลางสหรัฐฯ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของตลาดการเงินโลกที่แสดงให้เห็นถึงการเริ่มต้นของการดำเนินนโยบายทางการเงินที่ตึงตัวขึ้น การเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ ในครั้งนี้ ถือเป็นการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 4 ปี ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และแรงกดดันของอัตราเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ซึ่งราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูงจากสถานการณ์ความไม่สงบในยูเครน ส่งผลทำให้ปัญหาเงินเฟ้อในสหรัฐฯ มีแนวโน้มทวีความรุนแรงต่อเนื่องในอนาคต ซึ่งอาจส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ จำเป็นต้องปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วอีกหลายครั้งในปีนี้
ตลาดพันธบัตรสหรัฐฯ จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงที่สอดคล้องกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่คาดหวังในระดับสูง เมื่อตลาดมีความคาดหวังเพิ่มมากขึ้น การปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายในตลาดพันธบัตรสหรัฐฯ จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจนก่อให้เกิดภาวะ Inverted Yield Curve ซึ่งเป็นภาวะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้น ที่อาจบ่งบอกถึงการเกิดวิกฤติเศรษฐกิจในอนาคต โดยทั่วไปแล้วเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรจะมีความชันเป็นบวก นั่นคือ ยิ่งพันธบัตรมีระยะเวลายาวนานขึ้น ผลตอบแทนที่จะได้รับจากพันธบัตรนั้นจะเพิ่มขึ้นเช่นกัน เพื่อให้เกิดความสมเหตุสมผลในการถือครองพันธบัตรตามช่วงระยะเวลา
อย่างไรก็ตามในปัจจุบันรูปร่างเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ มีความแตกต่างออกไป โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นช่วงระยะเวลาต่ำกว่า 2 ปี ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จนทำให้เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรมีความชันสูงมาก ในทางตรงกันข้ามอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวในช่วงระยะเวลา 2 – 10 ปี กลับมีอัตราผลตอบแทนที่ใกล้เคียงกันมาก ส่งผลให้เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวมีรูปร่างแบนราบในแนวนอน ลักษณะเส้นกราฟอัตราผลตอบแทนพันธบัตรเช่นนี้ ก่อให้เกิดภาวะที่เรียกว่า Inverted Yield Curve ซึ่งรูปแบบเช่นนี้บ่งบอกถึงความคาดหวังของตลาดต่อการปรับตัวของอัตราดอกเบี้ยนโยบายในอนาคต ขณะเดียวกันอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวที่มีรูปร่างแบนราบก็บ่งบอกถึงความกังวลที่ตลาดมีต่อการขึ้นอัตราดอกเบี้ย หากมีการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในครั้งนี้ อาจส่งผลกระทบในเชิงลบต่อเศรษฐกิจ จนทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจจำเป็นต้องมีการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงในท้ายที่สุด ซึ่งภาวะ Inverted Yield Curve ถือเป็นเครื่องมือในการบ่งบอกโอกาสการเกิดภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ (Recession) ในอนาคตได้อย่างแม่นยำ
โดยทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์ Inverted Yield Curve ขึ้น เศรษฐกิจสหรัฐฯ มักจะเกิดภาวะถดถอยตามมาในระยะเวลา 1.5 – 2 ปี ตามมา โดยประเด็น Inverted Yield Curve กลับมาเป็นที่สนใจของนักลงทุนอีกครั้ง เนื่องจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ กลับมา Inverted อีกครั้ง สำหรับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 2 ปี และ 10 ปี ถือเป็นการ Inverted ครั้งแรกในรอบ 3 ปี นับตั้งแต่เดือนกรกฎาคมปี 2562
สำหรับประเทศไทยภาวะ Inverted Yield Curve ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ เนื่องด้วยปัจจัยเฉพาะตัวของประเทศไทยที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทยระยะสั้นมีทิศทางสอดคล้องกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายในประเทศ ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวของไทยมีทิศทางเคลื่อนไหวตามทิศทางอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ เมื่อพิจารณาสถานการณ์ในปัจจุบัน พบว่าภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ แม้จะมีการเติบโตที่ดีเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว แต่แนวโน้มการเติบโตอาจไม่แข็งแกร่งดังที่มีการคาดการณ์ไว้ล่วงหน้า อันเป็นผลมาจากความเสี่ยงจากสถานการณ์สงครามในยูเครนต่อภาคการส่งออกและปัญหาอัตราเงินเฟ้อภายในประเทศ ที่อาจส่งผลกระทบต่อการบริโภคภาคเอกชนในประเทศ ดังนั้นในช่วงระยะที่ผ่านมา พบว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นของไทยช่วงที่ต่ำกว่าอายุ 1 ปี ยังคงทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ แสดงให้เห็นถึงการคาดการณ์ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเดิม
ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวของไทยปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงที่ผ่านมาอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี ปรับตัวเหนือระดับ 2.5 % เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2562 ซึ่งผลกระทบต่อเนื่องของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทยที่เพิ่มขึ้น จะส่งผลให้ภาคธุรกิจที่ระดมทุนผ่านทางตลาดตราสารหนี้มีต้นทุนในการระดมทุนเพิ่มมากขึ้น ส่วนประชาชนที่มีการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ อาจได้รับผลตอบแทนที่ลดลงจากราคาของพันธบัตรที่ลดลงในตลาดตราสารหนี้ด้วยเช่นกัน ดังนั้นในปัจจุบันเส้นกราฟอัตราผลตอบแทนพันธบัตรของไทยจึงมีลักษณะที่แตกต่างจากอัตราผลตอบแทนของสหรัฐฯ โดยสิ้นเชิง การเกิด Inverted Yield Curve ขี้นจึงไม่ได้ส่งผลต่อภาวะเศรษฐกิจไทยโดยตรง แต่ก็แสดงให้ถึงความเสี่ยงในอนาคต ที่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่รวดเร็วในปีนี้ อาจส่งผลกระทบต่อตลาดการจ้างงานในสหรัฐฯ และส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวลง และจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
กลุ่มวางแผนกลยุทธ์และงบประมาณ
ฝ่ายยุทธศาสตร์และวางแผนธุรกิจองค์กร
แหล่งที่มาของข้อมูล : ดร. บัณฑิต นิจถาวร ประธานมูลนิธินโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล