เกี่ยวกับเรา
BAM ประกอบธุรกิจด้านการบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ โดยมีส่วนช่วยเหลือลูกหนี้และแก้ไขปัญหาสถาบันการเงิน เพิ่มเติม
ทรัพย์
อื่นๆ
ติดต่อเรา
0-2630-0700
0-2266-3377
99 ถนนสุรศักดิ์ แขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพฯ 10500
หน้าหลัก > บทความเศรษฐกิจ > บทความวิเคราะห์รายงานทางเศรษฐกิจ(ประจำเดือนมีนาคม 2565)
ข้อมูลเดือนมกราคม 2565 จากตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน จะเห็นว่าดัชนีราคาผู้บริโภคมีค่าสูงขึ้น เพราะราคาน้ำมันมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมา ในขณะที่ราคาสินค้าจำพวกอาหารสดก็มีทิศทางที่ทรงตัว จึงส่งผลทำให้ราคามีทิศทางที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในเดือนนี้ ส่วนภาคการผลิตยังมีการขยายตัวขึ้นมา เนื่องจากแนวโน้มเศรษฐกิจของต่างประเทศมีทิศทางดีขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ของโควิดที่ยังทรงตัว ส่งผลให้ผู้ประกอบการมีความมั่นใจมากขึ้น ทำให้ผู้ผลิตเริ่มที่จะเร่งการผลิตสินค้าออกมาก ส่งผลให้ในเดือนนี้มีการผลิตสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้นมาได้ ในขณะเดียวกันดุลการค้าปรับตัวลดลงแต่ยังมีทิศทางที่เป็นบวกอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการนำเข้ายังมีค่าที่ไม่สูงมากเท่าไรนัก จึงทำให้ไม่น่าเป็นห่วง อย่างไรก็ตามภาวะการเงินยังทรงตัวไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลง โดยปริมาณเงินฝากและเงินให้สินเชื่อมีค่าเพิ่มขึ้น เนื่องจากประชาชนมีการออมสูงขึ้น เนื่องจากต้องการเก็บเงินไว้เพื่อรองรับกับความผันผวนที่ยังมีอยู่ จึงส่งผลให้การออมเงินมีการขยายตัวขึ้นมา ในขณะที่การปล่อยสินเชื่อมีค่ามากขึ้น เนื่องจากเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวขึ้นทำให้ธนาคารมีการปล่อยสินเชื่อออกมา แต่ก็ยังมีความระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อจากตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่เป็นไปอย่างช้าๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาหนี้เสียตามมาอีกด้วย
ตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน
รายละเอียด |
ตุลาคม 64 |
พฤศจิกายน 64 |
ธันวาคม 64 |
มกราคม 65 |
ดัชนีราคาผู้บริโภค |
101.96 |
102.25 |
101.86 |
103.01 |
ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม |
97.58 |
100.91 |
101.68 |
103.69 |
อัตราการใช้กำลังการผลิต |
63.12 |
65.17 |
65.24 |
65.91 |
ดุลการค้า |
3,804.13 |
4,237.52 |
2,834.65 |
596.31 |
ดุลบัญชีเดินสะพัด |
-1,058.00 |
345.80 |
-1,377.96 |
-2,204.43 |
เงินฝาก |
16,354.10 |
16,380.81 |
16,406.90 |
n.a. |
เงินให้สินเชื่อ |
17,727.43 |
17,713.38 |
17,857.59 |
n.a. |
ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย
หมายเหตุ ดัชนีราคาผู้บริโภค มีปีฐานคือ 2562 เงินฝาก/เงินให้สินเชื่อ มีหน่วยเป็น พันล้านบาท
อัตราการใช้กำลังการผลิต มีหน่วยเป็น ร้อยละ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม มีปีฐานคือ 2559
ดุลการค้า ดุลบัญชีเดินสะพัด มีหน่วยเป็น ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา
- ที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เปรียบเทียบ ณ ม.ค. 64 กับ 65 มีรายละเอียดดังนี้
ปี |
จำนวน (ยูนิต) |
การเติบโต (%) |
ณ ม.ค. 64 |
5,224 |
-57.68% |
ณ ม.ค. 65 |
5,158 |
-1.26% |
ที่มา : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
- ประเภทที่อยู่อาศัยที่มีการจดทะเบียน ณ ม.ค. 65 เรียงตามลำดับมีรายละเอียดดังนี้
ประเภท |
จำนวน (ยูนิต) |
สัดส่วน (%) |
อาคารชุด |
2,397 |
46.47 |
บ้านเดี่ยว |
1,723 |
33.41 |
ทาวน์เฮ้าส์ |
777 |
15.06 |
อาคารพาณิชย์ |
169 |
3.28 |
บ้านแฝด |
92 |
1.78 |
รวม |
5,158 |
100.00 |
ที่มา : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
- การโอนกรรมสิทธิ์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เปรียบเทียบ ณ ม.ค. 64 กับ 65 มีรายละเอียดดังนี้
ปี |
จำนวน (ยูนิต) |
การเติบโต (%) |
ณ ม.ค. 64 |
8,729 |
-27.25% |
ณ ม.ค. 65 |
8,014 |
-8.19% |
ที่มา : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
- ประเภทที่อยู่อาศัยที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ ณ ม.ค. 65 เรียงตามลำดับมีรายละเอียดดังนี้
ประเภท |
จำนวน (ยูนิต) |
สัดส่วน (%) |
อาคารชุด |
3,407 |
42.51 |
ทาวน์เฮ้าส์ |
2,511 |
31.33 |
บ้านเดี่ยว |
1,412 |
17.62 |
บ้านแฝด |
406 |
5.07 |
อาคารพาณิชย์ |
278 |
3.47 |
รวม |
8,014 |
100.00 |
ที่มา : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
ปี 65 |
อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 6 ธนาคาร |
อัตราดอกเบี้ย นโยบาย ธปท. |
มกราคม |
5.87 |
0.50 |
ที่มา : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
หมายเหตุ : 6 ธนาคาร ประกอบด้วย ธ.อาคารสงเคราะห์, ธ.กสิกรไทย, ธ.กรุงเทพ, ธ.กรุงศรีอยุธยา,
ธ.กรุงไทย และ ธ.ไทยพาณิชย์
สรุปภาพรวมภาวะอสังหาริมทรัพย์เดือนมกราคม 2565
ภาพรวมของอุปทานมีการปรับตัวลดลง 1.26% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังฟื้นตัวได้ไม่มากนัก ท่ามกลางความผันผวนที่ยังมีอยู่ อีกทั้งการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง จึงทำให้ผู้ประกอบการชะลอการพัฒนาโครงการออกมา เพื่อรอดูสถานการณ์ให้มีความชัดเจนมากขึ้น ส่งผลให้อุปทานในตลาดมีทิศทางที่หดตัวลงมา ในขณะเดียวกันทางด้านอุปสงค์ก็มีทิศทางที่ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 8.19% เพราะกำลังซื้อของผู้บริโภคยมีแนวโน้มชะลอตัวอยู่ต่อไป ท่ามกลางผลกระทบที่เกิดขึ้นส่งผลต่อรายได้ของผู้บริโภคอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ที่อยู่อาศัยประเภทอาคารชุดยังมียอดการโอนกรรมสิทธิ์มากที่สุด รองลงมาคือ ทาวน์เฮ้าส์ และบ้านเดี่ยว ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่อยู่อาศัยทรงตัวอยู่ที่ 5.87% และอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยยังทรงตัวอยู่ที่ 0.50% ตามลำดับ
วิเคราะห์วิกฤติยูเครนและรัสเซียกับเศรษฐกิจโลก
ที่มาของภาพ : https://otb.cachefly.net/wp-content/uploads/2018/11/Ukraine-Russia-Flags-Fists.png
การเข้าโจมตีประเทศยูเครนโดยรัสเซีย ได้ยกระดับความขัดแย้งระหว่างยูเครนกับรัสเซียไปสู่สถานการณ์สงครามที่มีแนวโน้มจะยืดเยื้อและส่งผลกระทบในวงกว้างทั้งต่อความปลอดภัยของประเทศในกลุ่มนาโตและต่อเศรษฐกิจโลก ทำให้ปีนี้เศรษฐกิจโลกจะถูกกระทบจากสามวิกฤติพร้อมกัน คือ วิกฤติโรคระบาด วิกฤติเงินเฟ้อ และวิกฤติยูเครน-รัสเซีย ซึ่งการเข้าโจมตีและส่งกำลังเข้ายึดพื้นที่ในประเทศยูเครนโดยรัสเซียไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมาย ถ้าพิจารณาจากสิ่งที่รัสเซียเคยปฏิบัติกับประเทศที่อยู่ในสหภาพโซเวียตมาก่อนเพื่อเข้าแทรกแซงทางการเมืองและหรือเพื่อผนวกดินแดง เช่นกรณีจอร์เจียปี 2008 และไครเมียปี 2014 แต่สถานการณ์คราวนี้แตกต่างจากสองเหตุการณ์ก่อนทั้งในแง่ความมุ่งมั่นของรัสเซียที่จะเข้าดำเนินการในยูเครน และความเป็นหนึ่งเดียวกันของสหรัฐอเมริกาและกลุ่มประเทศนาโตที่จะช่วยเหลือยูเครนและตอบโต้การแผ่อิทธิพลของรัสเซียในยุโรปตะวันออก ทำให้สถานการณ์สู้รบในยูเครนจะยืดเยื้อและส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกในวงกว้าง พิจารณาจากรายละเอียดดังต่อไปนี้
1. การส่งกองกำลังเข้าโจมตีประเทศยูเครนคราวนี้เกิดขึ้นท่ามกลางการเสนอข่าวต่อเนื่องในสื่อทั่วโลกเกี่ยวกับการเคลื่อนกำลังของรัสเซียเข้าประชิดชายแดนยูเครน และคำเตือนจากสหรัฐและกลุ่มประเทศ นาโตถึงผลที่จะเกิดขึ้นต่อรัสเซียถ้ามีการใช้กำลังทหารเข้าบุกยูเครน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็เหนือความคาดหมายคือรัสเซียส่งกำลังเข้าโจมตียูเครนพร้อมกันจากสามทิศ ทั้งทางบกทางเรือทางอากาศ และในหลายพื้นที่ของประเทศยูเครน แสดงถึงความมุ่งมั่นของรัสเซียที่จะเข้าดำเนินการในยูเครนให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว ไม่สนใจ คำเตือนของสหรัฐและกลุ่มประเทศนาโต ขณะที่นาโตไม่สามารถส่งกำลังทหารเข้าช่วยยูเครนได้ ทำให้ยูเครนจะต้องสู้อย่างโดดเดี่ยวและอาจไม่สามารถทานกำลังทางทหารของรัสเซียได้ แม้จะได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มประเทศนาโต ทำให้บริบทการสู้รบจะเปลี่ยนเป็นแบบเฉพาะพื้นที่ในที่สุดและจะยืดเยื้อ
2. สหรัฐกับกลุ่มประเทศนาโตรวมถึงประเทศพันธมิตรนอกนาโตจะร่วมมือกันใช้มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ (sanction) เป็นเครื่องมือหลักในการตอบโต้รัสเซียเพื่อให้เศรษฐกิจรัสเซียอ่อนแอจนไม่สามารถสนับสนุนการทำสงครามได้ โดยมุ่งไปที่สถาบันการเงินรัสเซียและอภิมหาเศรษฐีรัสเซียเพื่อไม่ให้ทำธุรกรรมกับโลกภายนอกหรือเคลื่อนย้ายทรัพย์ที่มี แต่สิ่งที่ต้องตระหนักคือมาตรการคว่ำบาตรแบบนี้เคยมีมาก่อนและไม่สามารถส่งผลต่อการตัดสินใจทางการทหารของรัสเซียได้ ดังนั้นรอบนี้ถ้าจะให้เกิดผล มาตรการคว่ำบาตรที่กลุ่มนาโตใช้จะต้องขยายวงและหนักขึ้น เพื่อโดดเดี่ยวรัสเซียจากระบบเศรษฐกิจการเงินโลก ทั้งการค้าการลงทุนและการติดต่อเดินทาง ทั้งภาครัฐและเอกชน แต่จากที่ปัจจุบันระดับการพึ่งพาระหว่างรัสเซียกับประเทศต่างๆ มีสูง คือรัสเซียเป็นเศรษฐกิจอันดับหกของโลกวัดจากอำนาจซื้อของรายได้ (PPP) เป็นผู้ผลิตและส่งออกก๊าซธรรมชาติอันดับหนึ่งของโลก เป็นผู้ส่งออกน้ำมันดิบอันดับสาม รวมถึงส่งออกอาหาร ปุ๋ย และสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ มาตรการคว่ำบาตรที่รุนแรงจะส่งผลรุนแรงต่อเศรษฐกิจโลกเช่นกัน ทำให้คราวนี้มาตรการคว่ำบาตรอาจส่งผลกระทบทั่วโลกไม่เหมือนครั้งก่อนๆ และกลุ่มประเทศนาโตก็ดูเหมือนพร้อมที่จะแบกรับผลกระทบนี้
3. สถานการณ์สู้รบในยูเครนทำให้ภูมิภาคยุโรปที่เคยปลอดสงครามมากว่า 25 ปีจะกลับเข้าสู่สถานการณ์สงครามอีก ซึ่งหมายถึงความไม่ปลอดภัย และการสะสมกำลังทหารและอาวุธยุทโธปกรณ์เพื่อรับมือสถานการณ์ ซึ่งจะกระทบการจัดสรรทรัพยากรในระบบเศรษฐกิจในภาวะที่โลกมีปัญหาสำคัญที่ต้องเร่งแก้ไข เช่นภาวะโลกร้อน และระบบสาธารณสุขที่การระบาดของโควิดยังไม่จบ จำนวนคนติดเชื้อทั่วโลกยังมีมากกว่า 1.5 ล้านคนต่อวัน ดังนั้นสถานการณ์สู้รบถ้ายืดเยื้อและขยายวง ก็จะเป็นแรงซ้ำเติมต่อการใช้ทรัพยากรในเศรษฐกิจโลกที่จะกระทบความเป็นอยู่ของคนจำนวนมากโดยเฉพาะในยุโรปและรัสเซีย ซึ่งคนเหล่านี้ส่วนใหญ่เดาได้ว่าไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ในแง่ผลต่อเศรษฐกิจ วิกฤติยูเครน-รัสเซียในรูปแบบที่กำลังเกิดขึ้น จะทำให้เศรษฐกิจโลกต้องเจอกับผลกระทบจากสามวิกฤติพร้อมกัน เป็นปรากฏการณ์ที่เศรษฐกิจโลกไม่เคยเจอมาก่อน นั้นคือ วิกฤติโรคระบาดที่ยังไม่จบ วิกฤติเงินเฟ้อที่กำลังเป็นขาขึ้น กระทบความเป็นอยู่ของคนทั่วโลกและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และวิกฤติยูเครน-รัสเซียที่สถานการณ์สู้รบและมาตรการคว่ำบาตรจะดิสรัปห่วงโซ่การผลิตทำให้เศรษฐกิจโลกจะกลับคืนสู่สถานการณ์ปกติยากขึ้น ที่สำคัญสามวิกฤตินี้ทับซ้อนกัน แยกกันไม่ได้ เพราะอยู่ในระบบเศรษฐกิจโลกเดียวกัน ทำให้ผลกระทบที่เกิดจากวิกฤติหนึ่งจะถูกขยายผล (amplify) ให้ยิ่งรุนแรงขึ้นด้วยพลวัตของวิกฤติอื่นที่มีอยู่
ในระยะสั้น ผลกระทบสำคัญของวิกฤติยูเครน-รัสเซีย คือ เงินเฟ้อที่จะเพิ่มสูงขึ้นในเศรษฐกิจโลก และความผันผวนในตลาดการเงินโลกที่จะมีมากขึ้นตามความไม่แน่นอนที่ได้เพิ่มขึ้นจากผลของสงคราม กระทบความเชื่อมั่นของนักลงทุน ผลคือเศรษฐกิจโลกจะมีข้อจำกัดมากที่จะฟื้นตัวจากวิกฤติโควิดรวมถึงในการแก้ปัญหาเงินเฟ้อ ทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกจะล่าช้าออกไป ที่ต้องตระหนักคือ สถานการณ์สู้รบ มาตรการคว่ำบาตร และแรงตอบโต้ที่จะมาจากรัสเซียต่อมาตรการคว่ำบาตร จะทำให้การผลิตในระบบเศรษฐกิจโลกถูกกระทบ เกิดเป็นความขาดแคลนและการเพิ่มขึ้นของราคา โดยเฉพาะราคาพลังงานที่จะดึงให้ราคาสินค้าอื่นๆ ปรับสูงขึ้นตาม ซึ่งสำคัญสุดคือราคาอาหาร ดังนั้นปีนี้จะเห็นราคาสินค้าและบริการปรับสูงขึ้นทั่วโลก กระทบความเป็นอยู่ของประชาชนและกดดันให้ค่าจ้างแรงงานต้องปรับขึ้นตาม ซึ่งจะทำให้ เงินเฟ้อยิ่งเร่งตัวมากขึ้นอีก เพื่อแก้ปัญหานี้ธนาคารกลางคงต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพื่อลดการใช้จ่ายให้อยู่ในระดับที่เหมาะกับการผลิตที่ลดลงเพื่อลดแรงกดดันต่อเงินเฟ้อ ผลคือเศรษฐกิจโลกจะชะลอ และโลกมีความเสี่ยงสูงที่จะไหลเข้าสู่ภาวะ stagflation คือ เศรษฐกิจถดถอยเกิดขึ้นพร้อมกับอัตราเงินเฟ้อที่สูง และปัญหานี้จะไม่คลี่คลายจนกว่าอัตราเงินเฟ้อจะลดลง นี่คือความเสี่ยงที่รออยู่ข้างหน้า สำหรับประเทศไทยซึ่งนำเข้าน้ำมันมาก เงินเฟ้อก็จะเป็นปัญหาใหญ่ กระทบความเป็นอยู่ของประชาชน ทำให้ต้องเตรียมรับมือทั้งจากเงินเฟ้อ ความขาดแคลน และความไม่ปลอดภัยในเศรษฐกิจโลกที่จะมีมากขึ้นตามมาอีกด้วย
วิเคราะห์การขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยการปรับโครงสร้างการวิจัยนวัตกรรม
เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับปัญหาและความท้าทายเชิงโครงสร้าง ไม่ว่าจะเป็นการพึ่งพาภาคท่องเที่ยวที่มากเกินไป ซึ่งได้รับผลกระทบอย่างหนักจากโควิด-19 และต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว ความท้าทายเชิงโครงสร้าง ในเรื่องการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ที่ทำให้กำลังคนเข้าสู่ตลาดแรงงานลดลง รวมไปถึงความน่าดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศที่ลดลง ทั้งหมดนี้ทำให้เศรษฐกิจไทยยากที่จะเติบโตเหมือนในอดีต เพื่อฟื้นคืนการเติบโตทางเศรษฐกิจ ประเทศไทยจำเป็นต้องปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้ขับเคลื่อนด้วยการวิจัย พัฒนา และสร้างนวัตกรรม เพื่อยกระดับและเพิ่มผลิตภาพในทุกภาคส่วน ทั้งภาคการเกษตร อุตสาหกรรม และบริการ ให้มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น การวิจัยและพัฒนาจะช่วยยกระดับศักยภาพของประเทศได้ จำเป็นต้องมีการลงทุนอย่างเพียงพอและต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการเชื่อมโยงงานวิจัยและพัฒนาไปสู่การใช้ประโยชน์ได้จริง อย่างไรก็ตามประเทศไทยยังมีการลงทุนด้านวิจัยและพัฒนาในระดับที่ต่ำเกินไป โดยในปี พ.ศ. 2561 มีมูลค่าการลงทุนอยู่ที่ 1.8 แสนล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนต่อ GDP ที่ร้อยละ 1.11 ขณะที่จากข้อมูลของ UNESCO พบว่ากลุ่มประเทศที่มีรายได้ปานกลางระดับบนเช่นเดียวกับประเทศไทย และประเทศที่มีรายได้ระดับสูงมีสัดส่วนดังกล่าวอยู่ที่ร้อยละ 1.41 และ 2.43 ตามลำดับ
นอกจากนี้ในด้านการจัดสรรงบประมาณของภาครัฐในแผนงานที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยและพัฒนา แม้ว่างบประมาณดังกล่าวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 1.7 หมื่นล้านบาท ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 เป็น 2.6 หมื่นล้านบาท ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 แต่ล่าสุดงบประมาณถูกปรับลดลงเหลือเพียง 1.5 หมื่นล้านบาท คิดเป็นอัตราการหดตัวกว่าร้อยละ 43 ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 การที่งบวิจัยและพัฒนาถูกปรับลดลงมากเช่นนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่ประเทศจำเป็นต้องใช้งบประมาณจำนวนมากเพื่อรับมือกับโควิด-19 แต่ในขณะเดียวกันก็สะท้อนว่าผู้กำหนดนโยบายไม่ได้ให้ความสำคัญกับการลงทุนวิจัยและพัฒนาเท่าที่ควร ซึ่งอาจเป็นเพราะที่ผ่านมาการวิจัยและพัฒนาก็ยังไม่สามารถสร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมได้อย่างเป็นรูปธรรมได้มากพอ การลงทุนวิจัยและพัฒนาของภาครัฐที่น้อยเกินไปยังสะท้อนได้จากสัดส่วนการลงทุนด้านวิจัยและพัฒนาจากภาครัฐที่มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยสัดส่วนการลงทุนวิจัยและพัฒนาของภาครัฐต่อภาคเอกชน จากเดิมอยู่ที่ระดับ 28:72 ในปี พ.ศ. 2558 ลดเหลือเพียง 21:79 ในปี พ.ศ. 2562
ทั้งนี้บทบาทของภาครัฐในการลงทุนวิจัยและพัฒนาที่น้อยเกินไปเช่นนี้ ไม่สอดคล้องกับแนวโน้มของประเทศชั้นนำทางเศรษฐกิจที่ภาครัฐมีบทบาทหลักในการลงทุนวิจัยและพัฒนา เพื่อส่งเสริมให้ภาคเอกชนลงทุนวิจัยและพัฒนาให้มากขึ้น เนื่องจากการลงทุนวิจัยและพัฒนามีต้นทุนสูง และมีความเสี่ยงสูงที่จะไม่ประสบความสำเร็จ การที่ภาครัฐไม่ได้สนับสนุนเงินทุนที่เพียงพอแก่ภาคเอกชนเพื่อชดเชยกับความเสี่ยง ทำให้ภาคเอกชนขาดแรงจูงใจที่จะลงทุนวิจัยและพัฒนา นอกจากเงินลงทุนวิจัยและพัฒนาของภาครัฐที่น้อยเกินไปแล้ว ความเชื่อมโยงของการลงทุนวิจัยและพัฒนาระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนยังมีน้อยมาก รายงานการสำรวจค่าใช้จ่ายและบุคลากรทางการวิจัยและพัฒนาของประเทศไทยระหว่างปี 2560-2562 พบว่าเงินลงทุนวิจัยและพัฒนาของภาครัฐเกือบทั้งหมด ยังจัดสรรให้แก่หน่วยงานวิจัยของรัฐ ขณะที่การวิจัยและพัฒนาในภาคเอกชนที่ได้รับเงินสนับสนุนจากภาครัฐมีเพียงร้อยละ 0.48-0.75 ของมูลค่าการลงทุนวิจัยภาคเอกชน
การที่ภาครัฐและภาคเอกชนมีความเชื่อมโยงกันน้อย ส่งผลให้เงินลงทุนวิจัยของภาครัฐไม่มีแรงมากพอที่จะกระตุ้นภาคเอกชนให้ลงทุนวิจัยและพัฒนามากขึ้น ดังนั้นจึงยากที่ประเทศไทยจะสามารถบรรลุเป้าหมายการลงทุนวิจัยและพัฒนาที่ร้อยละ 2 ของ GDP หรือประมาณ 3.7 แสนล้านบาท ในปี พ.ศ. 2570 ตามที่หลายฝ่ายคาดหวัง ในต่างประเทศ เช่น สหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา ภาครัฐมีบทบาทหลักในการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาของภาคเอกชนเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งสามารถเรียนรู้บทเรียนและประยุกต์ใช้ในบริบทของประเทศไทยได้ ดังนี้
- สหราชอาณาจักร กำหนดเป้าหมายที่จะเพิ่มการลงทุนวิจัยและพัฒนาของประเทศที่ร้อยละ 2.4 ของ GDP ภายในปี พ.ศ. 2570 โครงการหนึ่งที่นำมาใช้กระตุ้นให้เกิดการลงทุนวิจัยและพัฒนาในภาคเอกชน ได้แก่ โครงการ Catapult Network ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวกลางเชื่อมระหว่างหน่วยงานวิจัยกับภาคอุตสาหกรรมอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ผู้ประกอบการโดยเฉพาะ SMEs สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีและนวัตกรรม และงานวิจัยถูกนำไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ สร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจได้จริงในอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น การผลิตมูลค่าสูง การบำบัดด้วยเซลล์และยีน (Cell and Gene Therapy) โครงการดังกล่าวสามารถกระตุ้นการลงทุนวิจัยและพัฒนาได้มากขึ้น จากเงินลงทุนเริ่มต้นโดยรัฐในโครงการ Catapult Network ในปี พ.ศ. 2562-2563 ราว 236 ล้านปอนด์ สามารถดึงดูดการลงทุนจากภาคเอกชนได้เพิ่มกว่า 2 เท่า หรือราว 508 ล้านปอนด์
- สหรัฐอเมริกา มีกฎหมายที่กำหนดไว้อย่างชัดเจนให้หน่วยงานวิจัยของรัฐต้องแบ่งงบประมาณวิจัยและพัฒนาส่วนหนึ่งในแต่ละปี เพื่อนำไปใช้ในโครงการ Small Business Innovation Research (SBIR) ซึ่งให้ทุนสนับสนุนแก่ SMEs ในการทำวิจัยและพัฒนาเพื่อตอบสนองความต้องการของรัฐและนำไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ ในปัจจุบันเงินสนับสนุนโครงการ SBIR อยู่ที่ร้อยละ 3.2 ของงบประมาณวิจัยและพัฒนาของภาครัฐทั้งหมด หรือราว 3.2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ตัวอย่างบริษัทที่เข้าร่วมโครงการดังกล่าวและประสบความสำเร็จในระดับโลก เช่น บริษัท Qualcomm ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปประมวลผลรายใหญ่ของโลก บริษัท Illumina ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำด้านเทคโนโลยีวิเคราะห์รหัสพันธุกรรม บริษัท Symantec ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำด้านความมั่นคงปลอดภัยไอที และ บริษัท EnChroma ซึ่งเป็นผู้ผลิตแว่นตาสำหรับผู้ที่เป็นตาบอดสี
เพื่อให้นวัตกรรมเป็นเครื่องจักรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยหลังโควิด-19 ภาครัฐควรมีบทบาทนำในการเร่งลงทุนวิจัยและพัฒนาให้มากขึ้น โดยกระตุ้นให้เกิดการวิจัยและพัฒนา และสร้างนวัตกรรมในภาคเอกชน โดยเฉพาะการให้ทุนสนับสนุนสร้างนวัตกรรมแก่ SMEs เพื่อช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานรากของประเทศในระยะยาว แนวทางการสนับสนุนอาจดำเนินการผ่านหน่วยงานให้ทุนที่มีอยู่ เช่น หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) รวมทั้งสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ภายใต้โปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (iTAP) หรือการจัดตั้งหน่วยงานให้ทุนใหม่ที่มุ่งให้ทุนแก่เอกชนโดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ ที่มีความคล่องตัวสูง ลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็นเพื่อให้เกิดความรวดเร็ว มุ่งให้ทุนงานวิจัยที่มีความเสี่ยงสูงและผลตอบแทนสูง มีเป้าหมายที่ชัดเจนและสามารถตอบโจทย์ ท้าทายทางเศรษฐกิจและสังคมได้จริง ซึ่งในที่สุดแล้วก็จะเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจของไทยสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคตนั่นเอง
กลุ่มวางแผนกลยุทธ์และงบประมาณ
ฝ่ายยุทธศาสตร์และวางแผนธุรกิจองค์กร
แหล่งที่มาของข้อมูล : ดร. บัณฑิต นิจถาวร ประธานมูลนิธินโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล