เกี่ยวกับเรา
BAM ประกอบธุรกิจด้านการบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ โดยมีส่วนช่วยเหลือลูกหนี้และแก้ไขปัญหาสถาบันการเงิน เพิ่มเติม
ทรัพย์
อื่นๆ
ติดต่อเรา
0-2630-0700
0-2266-3377
99 ถนนสุรศักดิ์ แขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพฯ 10500
หน้าหลัก > บทความเศรษฐกิจ > บทความวิเคราะห์รายงานทางเศรษฐกิจ (ประจำเดือนพฤษภาคม 2564)
ข้อมูลเดือนมีนาคม 2564 จากตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน จะเห็นว่าดัชนีราคาผู้บริโภคมีค่าเพิ่มขึ้น เพราะราคาน้ำมันกลับมามีทิศทางที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมา ในขณะที่ราคาสินค้าจำพวกอาหารสดก็มีทิศทางที่ค่อนข้างทรงตัว จึงส่งผลทำให้ราคามีทิศทางที่ปรับตัวสูงขึ้นมาในเดือนนี้ ส่วนภาคการผลิตมีแนวโน้มในการขยายตัว เนื่องจากผลกระทบจากโควิด-19 ที่ยังมีแนวโน้มค่อนข้างทรงตัวอยู่ ทำให้ในเดือนนี้คำสั่งซื้อมีการปรับตัวได้เพิ่มขึ้นตามภาวะของเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้ในเดือนนี้มีการผลิตสินค้าที่มากขึ้นมา ในขณะเดียวกันดุลการค้าปรับตัวเพิ่มขึ้นและยังมีทิศทางที่เป็นบวกอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการนำเข้ายังมีค่าที่ไม่สูงมากเท่าไรนัก จึงทำให้ไม่น่าเป็นห่วง อย่างไรก็ตามภาวะการเงินยังทรงตัวไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลง โดยปริมาณเงินฝากและเงินให้สินเชื่อมีค่ามากขึ้น เนื่องจากประชาชนได้เริ่มมีการออมเพิ่มขึ้น เพราะการลงทุนค่อนข้างมีความผันผวน จึงส่งผลให้การออมเงินมีการขยายตัวขึ้นมา ในขณะที่การปล่อยสินเชื่อมีค่าสูงขึ้น เนื่องจากธนาคารได้มีการปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการไปช่วยในการเพิ่มเสริมสภาพคล่อง จึงส่งผลให้การปล่อยสินเชื่อมีการปรับตัวที่เพิ่มขึ้นมาได้ แต่ก็ยังคงมีความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาหนี้เสียตามมาอีกด้วย
ตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน
เดือน / รายละเอียด |
ธันวาคม 63 |
มกราคม 64 |
กุมภาพันธ์ 64 |
มีนาคม 64 |
ดัชนีราคาผู้บริโภค |
99.70 |
99.79 |
98.88 |
99.11 |
ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม |
96.04 |
102.11 |
99.26 |
107.61 |
อัตราการใช้กำลังการผลิต |
63.16 |
66.60 |
65.06 |
69.59 |
ดุลการค้า |
2,834.49 |
1,893.71 |
2,136.61 |
3,358.37 |
ดุลบัญชีเดินสะพัด |
-828.94 |
-673.34 |
-1,071.44 |
-806.16 |
เงินฝาก |
15,721.73 |
15,715.25 |
15,738.10 |
n.a. |
เงินให้สินเชื่อ |
16,810.96 |
17,019.02 |
17,161.84 |
n.a. |
ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย
หมายเหตุ ดัชนีราคาผู้บริโภค มีปีฐานคือ 2562 เงินฝาก/เงินให้สินเชื่อ มีหน่วยเป็น พันล้านบาท
อัตราการใช้กำลังการผลิต มีหน่วยเป็นร้อยละ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม มีปีฐานคือ 2559
ดุลการค้า ดุลบัญชีเดินสะพัด มีหน่วยเป็น ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา
ปี |
จำนวน (ยูนิต) |
การเติบโต (%) |
ณ มี.ค. 63 |
28,528 |
-12.30% |
ณ มี.ค. 64 |
22,338 |
-21.70% |
ที่มา : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
ประเภท |
จำนวน (ยูนิต) |
สัดส่วน (%) |
อาคารชุด |
9,956 |
44.57 |
บ้านเดี่ยว |
8,765 |
39.24 |
ทาวน์เฮ้าส์ |
2,225 |
9.96 |
บ้านแฝด |
841 |
3.76 |
อาคารพาณิชย์ |
551 |
2.47 |
รวม |
22,338 |
100.00 |
ที่มา : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
ปี |
จำนวน (ยูนิต) |
การเติบโต (%) |
ณ มี.ค. 63 |
45,684 |
-4.38% |
ณ มี.ค. 64 |
38,723 |
-15.24% |
ที่มา : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
ประเภท |
จำนวน (ยูนิต) |
สัดส่วน (%) |
อาคารชุด |
16,911 |
43.67 |
ทาวน์เฮ้าส์ |
11,846 |
30.59 |
บ้านเดี่ยว |
6,404 |
16.54 |
บ้านแฝด |
1,882 |
4.86 |
อาคารพาณิชย์ |
1,680 |
4.34 |
รวม |
38,723 |
100.00 |
ที่มา : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
ปี 64 |
อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 6 ธนาคาร |
อัตราดอกเบี้ย นโยบาย ธปท. |
มกราคม |
5.38 |
0.50 |
กุมภาพันธ์-มีนาคม |
5.34 |
0.50 |
ที่มา : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
หมายเหตุ : 6 ธนาคาร ประกอบด้วย ธ.อาคารสงเคราะห์, ธ.กสิกรไทย, ธ.กรุงเทพ, ธ.กรุงศรีอยุธยา, ธ.กรุงไทย และ ธ.ไทยพาณิชย์
สรุปภาพรวมภาวะอสังหาริมทรัพย์เดือนมีนาคม 2564
ภาพรวมของอุปทานมีการปรับตัวลดลง 21.70% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการ ฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังเป็นไปได้อย่างช้าๆ ท่ามกลางความผันผวนที่ยังมีอยู่มาก อีกทั้งการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่กลับมาระลอกใหม่ จึงทำให้ผู้ประกอบการชะลอการพัฒนาโครงการออกมา เพื่อรอดูสถานการณ์ให้มีความชัดเจนมากขึ้น ส่งผลให้อุปทานในตลาดมีทิศทางที่หดตัวลงมา ในขณะเดียวกันทางด้านอุปสงค์ก็มีทิศทางที่ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 15.24% เพราะกำลังซื้อของผู้บริโภคยมีแนวโน้มชะลอตัวอยู่ต่อไป ประกอบกับการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินยังมีความเข้มงวด เนื่องจากทิศทางของหนี้ด้อยคุณภาพมีการปรับตัวสูงขึ้น ทั้งนี้ที่อยู่อาศัยประเภทอาคารชุดยังมียอดการโอนกรรมสิทธิ์มากที่สุด รองลงมาคือ ทาวน์เฮ้าส์ และบ้านเดี่ยว ส่วนสินเชื่อที่อยู่อาศัยค่อนข้างทรงตัวตามภาวะเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากโรคระบาดโควิด-19 ที่ทำให้การเติบโตของเศรษฐกิจมีการหดตัวลงไป ส่งผลทำให้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ 0.83% ณ ไตรมาส 1 ปี 64 ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่อยู่อาศัยและอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยทรงตัวอยู่ที่ 5.34% และ 0.50% ตามลำดับ
วิเคราะห์แนวทางในการตั้งรับเศรษฐกิจที่มีการฟื้นตัวได้ช้า*
ที่มาของภาพ : https://www.theyeshivaworld.com/wp-content/uploads/2014/02/slow-economy.jpg
เศรษฐกิจโลกขณะนี้กำลังฟื้นตัวท่ามกลางการระบาดของโควิด-19 ส่วนสถานการณ์ในประเทศไทยล่าสุดมีแนวโน้มรุนแรงทำให้เศรษฐกิจจะฟื้นตัวช้ากว่าที่คาด จากผลกระทบของการระบาดและความไม่เพียงพอของการฉีดวัคซีนที่ทำให้ประเทศไม่มีแนวป้องกันสำคัญด้านสาธารณสุข คำถามคือถ้าเป็นเช่นนี้ จะตั้งรับเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้าอย่างไรในแง่นโยบาย
เศรษฐกิจโลกขณะนี้กำลังฟื้นตัว นำโดยประเทศอุตสาหกรรมโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาที่ได้ประโยชน์จากการฉีดวัคซีนที่ทำให้กิจกรรมเศรษฐกิจเริ่มกลับเป็นปกติ จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง และการกลับมาใช้จ่ายของครัวเรือนโดยใช้เงินที่เก็บออมไว้ ทั้งหมดส่งผลให้การค้าระหว่างประเทศขยายตัวและหลายประเทศรวมถึงไทยก็ได้ประโยชน์จากการส่งออก ที่สำคัญการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกากำลังกดดันให้อัตราเงินเฟ้อปรับสูงขึ้น ซึ่งจะมีผลไปถึงการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยในช่วงครึ่งปีหลังถ้าการฟื้นตัวเป็นไปอย่างเข้มแข็ง กดดันให้เงินทุนระหว่างประเทศไหลออกจากประเทศตลาดเกิดใหม่อย่างไทยกลับสู่สหรัฐอเมริกา ขณะที่ต้นทุนการเงินในระบบเศรษฐกิจโลกจะปรับสูงขึ้น ทั้ง 2 เรื่องเป็นข้อจำกัดต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศตลาดเกิดใหม่อย่างไทย รวมถึงสร้างความเสี่ยงต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจจากความผันผวนของเงินทุนระหว่างประเทศที่จะเกิดขึ้น
สำหรับเศรษฐกิจในเอเชีย-แปซิฟิก ไอเอ็มเอฟได้ปรับประมาณการเศรษฐกิจของประเทศหลัก อย่าง จีน อินเดีย ญี่ปุ่น และออสเตรเลียขึ้น สะท้อนความเข้มแข็งของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการคืนสู่สภาพปกติของกิจกรรมทางเศรษฐกิจจากผลของการฉีดวัคซีนที่ได้ลดความรุนแรงของการระบาดลง ตรงข้ามกับสถานการณ์ของประเทศในกลุ่มอาเซียน 5 ประเทศ คือ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ไทย และเวียดนาม ที่ไอเอ็มเอฟลดประมาณการการขยายตัวของเศรษฐกิจปีนี้ของทั้งกลุ่มลงเป็นร้อยละ 4.9 เพราะการระบาดของโควิดที่กลับมารุนแรง ยกเว้นในเวียดนาม และจากที่ความคืบหน้าในการฉีดวัคซีนทำได้ช้าเทียบกับประเทศอื่นๆ
กรณีของไทย ก่อนการระบาดของโควิดรอบปัจจุบันเดือนมีนาคม กิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวขับเคลื่อนโดยการขยายตัวของการส่งออกและการบริโภคในประเทศที่ได้ประโยชน์จากมาตรการของรัฐ แต่โมเมนตัมการฟื้นตัวกลับมาชะงักงันเมื่อเกิดการระบาดรอบสาม ซึ่งเป็นการระบาดระหว่างคนในประเทศด้วยเชื้อที่แพร่กระจายได้เร็ว และเทียบกับปีที่แล้ว ประเทศไทยก็การ์ดตกทั้งประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐ ทำให้การระบาดกระจายตัวเร็ว กระทบความเชื่อมั่นและความต้องการใช้จ่ายของประชาชน สำหรับผลกระทบต่อเศรษฐกิจมีแน่นอน แต่จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่ว่าการระบาดจะยืดเยื้อแค่ไหน ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับมาตรการภาครัฐที่ออกมาควบคุมการระบาดว่าเข้มข้นแค่ไหน เท่าที่หลายฝ่ายประเมินถึงขณะนี้ มาตรการภาครัฐออกมาแบบถ้อยทีถ้อยอาศัย ไม่เข้มข้น ไม่มีล็อกดาวน์ ไม่มีเคอร์ฟิว มีแต่การปิดสถานบริการและปรับเวลาเปิดปิดร้านอาหารและห้าง ทำให้การควบคุมสถานการณ์โควิดรอบนี้จะใช้เวลา ไม่จบเร็ว ทำให้ผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจะลากยาว นักวิเคราะห์หลายสำนักได้เริ่มปรับลดอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจปีนี้ลง และตลาดหุ้นก็ตอบรับความเป็นไปได้นี้ด้วยราคาหุ้นที่มีแนวโน้มลดลง ทั้งนี้จะตั้งรับเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้าอย่างไร ซึ่งมี 6 ความเห็นในเรื่องนี้ โดยพิจารณาจากประสบการณ์ประเทศไทยในการแก้โควิดในปีที่ผ่านมาว่า เราเรียนรู้อะไรบ้าง บวกกับแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ว่าอะไรควรเป็นแนวทางในการดำเนินการต่อไป ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
1. เศรษฐกิจจะฟื้นตัวไม่ได้ถ้าการระบาดของโควิดยังไม่นิ่ง หมายถึงการหาจุดสมดุลที่จะแก้การระบาดพร้อมกับประคับประคองเศรษฐกิจนั้นทำได้ยาก ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งก่อน ดังนั้นการทำนโยบายต้องให้ความสำคัญสูงสุดกับการลดการระบาดเป็นอันดับแรก ทุ่มทรัพยากรเต็มที่ด้วยมาตรการที่เข้มแข็งแม้จำเป็นต้องล็อกดาวน์และมีผลต่อเศรษฐกิจ แต่ก็จะเป็นผลระยะสั้น เทียบกับถ้าการระบาดยืดเยื้อ เพราะมาตรการป้องกันหรือควบคุมอ่อนเกินไป ผลต่อเศรษฐกิจจะลากยาวและมีมาก
2. เมื่อการระบาดลดลง แนวคิดที่จะสร้างประเทศให้เป็นพื้นที่ปลอดภัยที่ควบคุมการระบาดได้ดีเพื่อให้เศรษฐกิจฟื้นตัวเหมือนที่ทำได้ปีที่แล้วช่วงเดือนมิถุนายนถึงพฤศจิกายน ที่ไม่มีการระบาดในประเทศนั้น เป็นสิ่งที่ทำไม่ได้อีกแล้ว เพราะความหย่อนยานของเจ้าหน้าที่รัฐในการควบคุมการเข้าออกข้ามพรมแดนเพื่อให้ประเทศปลอดการระบาด เห็นได้จากการระบาดในรอบสองที่เชื้อเข้ามาจากเมียนมา และรอบสามที่เชื้อเข้ามาจากกัมพูชา ดังนั้นจะไม่สามารถสร้างความมั่นใจต่อนักลงทุนได้ว่าประเทศไทยเป็นพื้นที่ที่ควบคุมการระบาดได้ แม้อัตราการฉีดวัคซีนจะต่ำ ต่างกับเวียดนามที่ทำได้เพราะการควบคุมการเข้าออกทางชายแดนมีความเข้มแข็งกว่าไทยมาก ดังนั้นทางออกทางเดียวที่จะสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนและนักท่องเที่ยวในการฟื้นเศรษฐกิจ คือ การฉีดวัคซีนและระบบสาธารณสุขที่เข้มแข็ง
3. มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่สำคัญจากนี้ไปคือ การฉีดวัคซีนที่ภาครัฐจะต้องให้ความสำคัญกับการฉีดวัคซีนให้มีเพียงพอและสร้างสมรรถภาพให้กับระบบสาธารณสุขในการฉีดวัคซีนที่จะทำได้เร็วและทั่วถึง รวมถึงการดูแลรักษาผู้ป่วย วิธีที่จะทำได้เร็วคือ การเปิดเสรีในการนำเข้าวัคซีนที่ได้มาตรฐานตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด และใช้กลไกตลาดในการกระจายวัคซีน ที่ผ่านมาการผูกขาดการฉีดวัคซีนโดยรัฐสร้างปัญหาทั้งในแง่ประสิทธิภาพ ความรวดเร็ว และความเสี่ยงที่จะมีการรั่วไหลคือ อภิสิทธิ์ชนได้รับวัคซีนก่อนเวลาที่เปิดให้ประชาชนเป็นการทั่วไป ซึ่งไม่สมควรอย่างยิ่ง ภาครัฐต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้โดยเร็ว เพราะช่องว่างของเวลาจากนี้ไปถึงเดือนมิถุนายน ก่อนที่วัคซีนในประเทศจะผลิตได้จะสำคัญสุด และอาจเป็นช่วงเวลาที่การระบาดจะเร่งตัวมากสุด
4. มาตรการเยียวยาอย่างที่ได้ทำไปมีเหตุผล แต่มีต้นทุนสูงในแง่การใช้ทรัพยากร เพราะเป็นการใช้เงินกู้ที่ต้องชำระคืน ขณะที่ผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจมีไม่มาก เพราะเป็นการเปลี่ยนมือคนใช้เงินจากคนที่ออมและให้รัฐบาลกู้ มาเป็นคนที่ได้รับแจกเงิน ในทางเศรษฐศาสตร์เป็นการใช้จ่ายภาครัฐที่มีค่าตัวทวีคูณต่ำ เพราะชดเชยด้วยการกู้ยืมในประเทศที่ลดการใช้จ่ายส่วนหนึ่งของภาคเอกชน เป็นมาตรการที่ควรทำชั่วคราวกรณีฉุกเฉิน ไม่ใช่ทำต่อเนื่อง ดังนั้นจากนี้ไปมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจควรพิจารณาลดขนาดการเยียวยาลง ให้เฉพาะกับผู้ที่จำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือจริงๆ ไม่เปิดกว้าง เพราะจะเกิดปัญหาวินัยทางศีลธรรม คือมีคนพร้อมที่จะไม่ทำงาน เพราะเลือกรอการแจกเงินจากภาครัฐ
5. มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจควรให้ความสำคัญกับการสร้างงานให้คนที่ตกงานและต้องการทำงานมีงานทำ และเมื่อทำงานแล้วก็ได้เงินจากภาครัฐ ไม่ใช่แจกเงิน งานที่สร้างขึ้นมาถ้าออกแบบได้ดีสามารถให้ผลต่อเศรษฐกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว หรือช่วยแก้ไขปัญหาที่เศรษฐกิจหรือสังคมมี นอกจากนี้การมีระบบให้คนตกงานสามารถใช้เวลาว่างปรับทักษะแรงงานของตน สร้างความสามารถใหม่ในการทำงานที่จะเป็นประโยชน์ต่อภาคการผลิตอื่นๆ ที่กำลังขยายตัว เช่น อุตสาหกรรม และช่วยย้ายแรงงานออกจากสาขาเศรษฐกิจที่กำลังถดถอยจากผลของโควิด เช่น ท่องเที่ยว แนวคิดนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่สำคัญมากต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ประชาชนจะมีส่วนร่วมได้ในวงกว้าง
6. บทบาทนำที่จะขับเคลื่อนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจให้ประเทศกลับมาแข่งขันได้และขยายตัวต่อไปได้ ต้องมาจากภาคเอกชน ไม่ใช่ภาครัฐ เพราะภาคเอกชนมีทรัพยากรและความรู้ ขณะที่ภาครัฐภาระหนี้ได้เพิ่มสูงขึ้นมาก จึงควรให้ความสำคัญต่อการรักษาวินัยทางการคลังและการชำระหนี้ เพื่อไม่ให้ฐานะทางการคลังของประเทศเกิดปัญหา ตรงกันข้ามภาครัฐต้องใช้เวลาที่มีแก้ปัญหาโครงสร้างเศรษฐกิจ เปิดเสรีให้ภาคธุรกิจมีการแข่งขัน และสร้างแรงจูงใจให้ภาคธุรกิจและคนรุ่นใหม่สร้างนวัตกรรมและลงทุน สิ่งเหล่านี้จะสำคัญมากต่ออนาคตทางเศรษฐกิจของประเทศ
วิเคราะห์แนวทางการฟื้นฟูเศรษฐกิจด้วยนโยบายการเงิน
ปกติโดยทั่วไปเมื่อพูดถึงนโยบายเศรษฐกิจ มักจะคิดถึงนโยบายการคลัง อันได้แก่การเพิ่มหรือลดภาษี และ/หรือการใช้จ่ายของรัฐเป็นหลัก ในขณะที่หากคิดถึงนโยบายการเงิน ก็มักจะคิดถึงการเพิ่มหรือลดดอกเบี้ย โดยหากเศรษฐกิจร้อนแรง ธนาคารกลางก็จะขึ้นดอกเบี้ยเพื่อให้ต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้น แต่หากเศรษฐกิจซบเซา ทางแก้หนึ่งคือการลดดอกเบี้ย (ซึ่งในทางปฏิบัติคือการเพิ่มปริมาณเงินในระบบจนดอกเบี้ยที่เป็นราคาของเงินลดลง) ทำให้ต้นทุนทางการเงินถูกลง ผู้คนก็อยากจะกู้ยืมเพื่อจับจ่ายและลงทุนมากขึ้น แต่อัตราดอกเบี้ยไม่ใช่สิ่งที่จะชี้วัดปริมาณเงินได้ในทุกสถานการณ์ ในช่วงที่เศรษฐกิจถดถอย ผู้คนขาดความเชื่อมั่น ต่อให้ธนาคารกลางลดดอกเบี้ยอย่างไรก็ไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ เพราะผู้คนไม่มั่นใจในอนาคต จึงไม่กู้เงิน ธนาคารพาณิชย์ก็ไม่มั่นใจว่าสินเชื่อที่ปล่อยไปจะกลายเป็นหนี้สูญ (NPL) หรือไม่
หากกล่าวในศัพท์เศรษฐศาสตร์ กรณีนั้นแปลว่าอัตราการหมุนของเงิน (Money velocity) ลดลง หรือพูดอีกนัยหนึ่งคือ เงินไม่หมุน ซึ่งสาเหตุหลักคือระบบธนาคารไม่ดำเนินไปอย่างที่ควรจะเป็น ซึ่งทางแก้ของกระบวนการดังกล่าวคือ การเพิ่มปริมาณเงินไปอย่างมหาศาล อันเป็นที่มาของมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (Quantitative Easing: QE) โดยมีตรรกะที่ว่าการอัดปริมาณเงินไปเป็นจำนวนมาก ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจที่ทำให้การหมุนของเงินลดลง ก็จะช่วยให้เศรษฐกิจยังคงดำเนินต่อไปได้
ในปัจจุบันมีแบบจำลองนโยบายการเงินใหม่ที่ได้รวมถึงเครื่องมือทางการเงินยุคใหม่ เช่น การให้ Soft loan การพักชำระหนี้ การแทรกแซงค่าเงิน รวมถึงการควบคุมเส้นผลตอบแทนพันธบัตร (Yield Curve Control) เข้าร่วมกับเครื่องมือหลักของนโยบายการเงิน อันได้แก่ การลดดอกเบี้ย ซึ่งผลการวิจัยพบว่าเครื่องมือใหม่ๆ มีส่วนช่วยทำให้นโยบายการเงินมีประสิทธิภาพมากขึ้น อย่างไรก็ตามเชื่อว่าเครื่องมือหลักในการทำนโยบายการเงิน คือ การเพิ่มหรือลดปริมาณเงินเป็นหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่ามกลางสภาวะที่อัตราการหมุนของเงินลดลงอย่างต่อเนื่องตามสภาวะเศรษฐกิจเช่นในปัจจุบัน หรือหากกล่าวอย่างง่ายคือ เศรษฐกิจแย่ เงินไม่หมุน ทางแก้คือต้องเพิ่มปริมาณเงินขึ้นมาก (กว่าประเทศคู่ค้าและคู่แข่ง) ซึ่งเมื่อทำเช่นนั้น เงินบาทจะอ่อนค่าลง รายได้จากการส่งออกรูปเงินบาทจะเพิ่มขึ้น ปริมาณเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจมากขึ้น ผู้ส่งออกมีรายได้มากขึ้น จ่ายเงินเดือนพนักงานมากขึ้น ค่าจ้างเพิ่มขึ้น เงินเฟ้อเริ่มขึ้น เศรษฐกิจเริ่มผลิตเต็มประสิทธิภาพมากขึ้น พนักงานบริษัทส่งออกก็นำเงินมาใช้จ่ายมากขึ้น ผู้ผลิตในประเทศขายของได้มากขึ้น ก็จะขึ้นเงินเดือนพนักงานง่ายขึ้น และเริ่มลงทุนมากขึ้น
หากพิจารณาจากดัชนีค่าเงินบาท (Nominal Effective Exchange Rate: NEER) ของไทยเทียบกับคู่ค้าคู่แข่ง ปฏิเสธไม่ได้ว่า NEER ของไทยแข็งกว่า 24% ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2015 เป็นต้นมา นั่นแปลว่าไทยเสียความสามารถในการแข่งขันด้านราคากับคู่ค้าคู่แข่งของไทยกว่า 24% ในรอบ 6 ปีที่ผ่านมา นั่นแปลว่า ไทยเล่นตามกติกา แต่คู่ค้าคู่แข่งของไทย ไม่ได้เล่นอย่างที่ไทยเล่น ค่าเงินเขาอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับไทย ก็จะทำให้ไทยเสียความสามารถในการแข่งขันไปเรื่อยๆ ถ้าไทยไม่มีการปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินอย่างมีนัยสำคัญ
อย่างไรก็ตามในระยะหลังได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของการทำนโยบายการเงินอย่างมีนัยสำคัญ ดังนี้
(1) การที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ลดปริมาณการออกพันธบัตร ธปท. ที่มีอยู่ในระบบกว่า 5.5 แสนล้านบาทนับตั้งแต่เดือน ก.ค. ปีที่แล้ว ซึ่งชดเชยกับการที่กระทรวงการคลังต้องออกพันธบัตรเพิ่มขึ้นกว่า 5.5แสนล้านบาทเช่นเดียวกัน ทำให้สภาพคล่องในระบบไม่ได้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรของไทยไม่ผันผวนมากนัก
(2) ปริมาณทุนสำรองของไทยที่ลดลงกว่า 6.1 พันล้านดอลลาร์ในช่วงที่ผ่านมา บ่งชี้ว่า ธปท. เข้าช่วยแทรกแซงค่าเงินบาทให้อ่อนค่าลงอย่างมีเสถียรภาพ
กล่าวโดยสรุปเชื่อว่า ธปท. ยุคปัจจุบันเริ่มมีการดำเนินนโยบายการเงินอย่างมีประสิทธิภาพขึ้น และทำให้เศรษฐกิจและตลาดการเงินมีเสถียรภาพขึ้น ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจการเงินโลกในยุคปัจจุบัน อันจะเป็นการช่วยฟื้นฟูให้เศรษฐกิจของไทยสามารถเกิดการขยายตัวได้ต่อไปนั่นเอง
กลุ่มวางแผนกลยุทธ์และงบประมาณ
ฝ่ายยุทธศาสตร์และวางแผนธุรกิจองค์กร
แหล่งที่มาของข้อมูล : ดร.บัณฑิต นิจถาวร ประธานมูลนิธินโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล