บทความวิเคราะห์รายงานทางเศรษฐกิจ(ประจำเดือนมกราคม 2564)
บทความวิเคราะห์รายงานทางเศรษฐกิจ(ประจำเดือนมกราคม 2564)
ข้อมูลเดือนพฤศจิกายน 2563 จากตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน จะเห็นว่าดัชนีราคาผู้บริโภคมีค่าลดลงเล็กน้อย เพราะราคาน้ำมันกลับมามีทิศทางที่ปรับตัวลดลงไป ในขณะที่ราคาสินค้าจำพวกอาหารสดก็มีทิศทางที่ค่อนข้างทรงตัว จึงส่งผลทำให้ราคามีทิศทางที่ปรับตัวน้อยลงมาในเดือนนี้ ส่วนภาคการผลิตยังมีแนวโน้มในการปรับตัวได้ดีขึ้น เนื่องจากมีการผ่อนปรนมากขึ้นจากผลกระทบจากโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก ทำให้ในเดือนนี้คำสั่งซื้อยังมีการปรับตัวได้มากขึ้นตามภาวะของเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้ในเดือนนี้มีการผลิตสินค้าที่ปรับตัวได้เพิ่มสูงขึ้นมา ในขณะเดียวกันดุลการค้าปรับตัวลดลงแต่ยังมีทิศทางที่เป็นบวกอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการนำเข้ายังมีค่าที่ไม่สูงมากเท่าไรนัก จึงทำให้ไม่น่าเป็นห่วง อย่างไรก็ตามภาวะการเงินยังทรงตัวไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลง โดยปริมาณเงินฝากปรับตัวเพิ่มขึ้นแต่เงินให้สินเชื่อมีค่าน้อยลง เนื่องจากประชาชนได้กลับมามีการออมเพิ่มขึ้น เนื่องจากการลงทุนยังมีความผันผวนอยู่ จึงส่งผลให้การออมเงินมีการขยายตัวขึ้นมา ในขณะที่การปล่อยสินเชื่อมีค่าลดลง เนื่องจากในช่วงก่อนหน้านั้นธนาคารได้มีการปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการไปมากแล้วเพื่อเสริมสภาพคล่อง จึงส่งผลให้การปล่อยสินเชื่อมีการปรับตัวที่น้อยลงมา รวมทั้งยังคงมีความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาหนี้เสียตามมาอีกด้วย
ตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน
รายละเอียด
|
สิงหาคม 63
|
กันยายน 63
|
ตุลาคม 63
|
พฤศจิกายน 63 |
ดัชนีราคาผู้บริโภค |
102.29
|
102.18
|
102.23
|
102.19 |
ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม |
91.25
|
95.40
|
96.14
|
98.25 |
อัตราการใช้กำลังการผลิต |
60.86
|
63.46
|
63.47
|
64.80 |
ดุลการค้า |
5,377.83
|
3,204.56
|
3,493.53
|
1,903.40 |
ดุลบัญชีเดินสะพัด |
3,121.96
|
1,314.09
|
1,000.26
|
-1,475.99 |
เงินฝาก |
15,562.30
|
15,400.43
|
15,424.05
|
n.a. |
เงินให้สินเชื่อ |
16,609.92
|
16,397.14
|
16,310.54
|
n.a. |
ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย
หมายเหตุ: ดัชนีราคาผู้บริโภค มีปีฐานคือ 2558 เงินฝาก/เงินให้สินเชื่อ มีหน่วยเป็น พันล้านบาท
อัตราการใช้กำลังการผลิต มีหน่วยเป็น ร้อยละ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม มีปีฐานคือ 2559
ดุลการค้า ดุลบัญชีเดินสะพัด มีหน่วยเป็น ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา
ภาวะอสังหาริมทรัพย์ เดือนพฤศจิกายน 2563
• ด้านอุปทาน
- ที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เปรียบเทียบ ณ พ.ย. 62 กับ 63 มีรายละเอียดดังนี้
ปี
|
จำนวน(ยูนิต)
|
การเติบโต(%)
|
ณ พ.ย. 62
|
109,000
|
-20.16%
|
ณ พ.ย. 63
|
98,518
|
-9.62%
|
ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
- ประเภทที่อยู่อาศัยที่มีการจดทะเบียน ณ พ.ย. 63 เรียงตามลำดับมีรายละเอียดดังนี้
ประเภท
|
จำนวน(ยูนิต)
|
สัดส่วน(%)
|
อาคารชุด
|
52,674
|
53.47
|
บ้านเดี่ยว
|
27,621
|
28.04
|
ทาวน์เฮ้าส์
|
12,950
|
13.14
|
อาคารพาณิชย์
|
2,985
|
3.03
|
บ้านแฝด
|
2,288
|
2.32
|
รวม
|
98,518
|
100.00
|
ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
• ด้านอุปสงค์
- การโอนกรรมสิทธิ์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เปรียบเทียบ ณ พ.ย. 62 กับ 63 มีรายละเอียดดังนี้
ปี
|
จำนวน(ยูนิต)
|
การเติบโต(%)
|
ณ พ.ย. 62
|
183,615
|
0.03%
|
ณ พ.ย. 63
|
173,018
|
-5.77%
|
ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
-ประเภทที่อยู่อาศัยที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ ณ ต.ค. 63 เรียงตามลำดับมีรายละเอียดดังนี้
ประเภท
|
จำนวน(ยูนิต)
|
สัดส่วน(%)
|
อาคารชุด
|
85,170
|
49.23
|
ทาวน์เฮ้าส์
|
49,657
|
28.70
|
บ้านเดี่ยว
|
24,763
|
14.31
|
บ้านแฝด
|
6,910
|
3.99
|
อาคารพาณิชย์
|
6,518
|
3.77
|
รวม
|
173,018
|
100.00
|
ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
- อัตราดอกเบี้ยที่อยู่อาศัยบุคคลทั่วไปลอยตัวเฉลี่ยของ 6 ธนาคารใหญ่ มีรายละเอียดดังนี้
ปี 63
|
อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย
6 ธนาคาร
|
อัตราดอกเบี้ยนโยบาย ธปท.
|
มกราคม
|
5.95
|
1.25
|
กุมภาพันธ์ |
5.93 |
1.00 |
มีนาคม |
5.83 |
0.75 |
เมษายน |
5.50 |
0.75 |
พฤษภาคม |
5.28 |
0.50 |
มิถุนายน-กันยายน |
5.24 |
0.50 |
ตุลาคม |
5.32 |
0.50 |
ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
หมายเหตุ: 6 ธนาคาร ประกอบ ธ.อาคารสงเคราะห์, ธ.กสิกรไทย, ธ.กรุงเทพ, ธ.กรุงศรีอยุธยา, ธ.กรุงไทย และ ธ.ไทยพาณิชย์
สรุปภาพรวมภาวะอสังหาริมทรัพย์เดือนพฤศจิกายน 2563
ภาพรวมของอุปทานมีการปรับตัวลดลง 9.62% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังเป็นไปได้อย่างช้าๆ ท่ามกลางความผันผวนที่ยังมีอยู่มาก จึงทำให้ผู้ประกอบการมีแนวโน้มที่ยังชะลอการพัฒนาโครงการออกมา เพื่อรอดูสถานการณ์ให้มีความชัดเจนมากขึ้น ส่งผลให้อุปทานในตลาดมีทิศทางที่หดตัวลงมา ในขณะเดียวกันทางด้านอุปสงค์ก็มีทิศทางที่ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 5.77% เพราะกำลังซื้อของผู้บริโภคยมีแนวโน้มชะลอตัวอยู่ต่อไป ประกอบกับการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินยังมีความเข้มงวด เนื่องจากทิศทางของหนี้ด้อยคุณภาพมีการปรับตัวสูงขึ้น ทั้งนี้ที่อยู่อาศัยประเภทอาคารชุดยังมียอดการโอนกรรมสิทธิ์มากที่สุด รองลงมาคือ ทาวน์เฮ้าส์ และบ้านเดี่ยว ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่อยู่อาศัยและอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยทรงตัวอยู่ที่ 5.32% และ 0.50% ตามลำดับ
วิเคราะห์เศรษฐกิจไทยกับการติดเชื้อรอบใหม่*
หากสถานการณ์ระบาดลุกลามขยายวงกว้างไป จนทำให้ทางการไทยประกาศปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจในระดับใกล้เคียงกับเดือน เม.ย. สถานการณ์เศรษฐกิจและการลงทุนจะเป็นเช่นไร จึงได้ทำการศึกษาประสบการณ์การแพร่ระบาดระลอก 2 ในต่างประเทศ และผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการลงทุนในประเทศเหล่านั้น เพื่อเป็นนัยยะต่อประเทศไทย จากงานวิจัยพบว่าหากไม่นับจากการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ในช่วง ม.ค. - ก.พ. ในจีน อาจกล่าวได้ว่าการแพร่ระบาดในประเทศใหญ่ๆ มี 3 รอบ ดังนี้
- โดยรอบแรกประมาณเดือน เม.ย. ที่จำนวนผู้ป่วยใหม่ทั้งในระดับโลก สหรัฐ เอเชีย รวมถึงไทย เพิ่มสูงขึ้นมาก (ยกเว้นในเกาหลีใต้ที่ระบาดมากช่วงเดือน มี.ค.) โดยจำนวนผู้ป่วยใหม่ในรอบ 7 วัน เพิ่มสูงขึ้นถึง 50-70% ของจำนวนผู้ป่วยทั้งหมดเป็นส่วนใหญ่ หลังจากนั้นจำนวนผู้ป่วยใหม่ค่อยๆ ปรับลดลง อันเป็นผลจากการปิดเมือง (Lockdown) ที่เข้มงวด
- สำหรับการระบาดรอบ 2 อยู่ในช่วงเดือน ส.ค. ผลจากการกลับมาเปิดเมืองในช่วง พ.ค. - มิ.ย. อย่างไรก็ตามแม้ผู้ติดเชื้อใหม่จะเพิ่มขึ้น แต่เมื่อเทียบกับสัดส่วนผู้ติดเชื้อโดยรวมจะไม่สูงนัก คือประมาณ 10-20% (แต่เป็นสัดส่วนที่สูงขึ้นในกรณีของสหรัฐ เนื่องจากเริ่มแพร่ระบาดไปทั่วประเทศ แทนที่จะเป็นในเมืองใหญ่ๆ เช่น นิวยอร์ค เช่นในรอบแรก) แต่ในไทย ไม่มีการระบาดรอบ 2 ในเดือน ส.ค. ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการบริหารจัดการ COVID ของไทยที่ค่อนข้างมีประสิทธิภาพ
- ทั้งนี้ในปัจจุบันนี้หลายประเทศเริ่มมีการแพร่ระบาดรอบ 3 แล้วในเดือน ธ.ค. โดยอุณหภูมิที่หนาวเย็นขึ้นและการเปิดเมืองในช่วงก่อนหน้าเป็นปัจจัยสำคัญ ขณะที่ในไทยเป็นการระบาดรอบที่สอง
ในส่วนผลต่อเศรษฐกิจนั้น ในการระบาดรอบแรก การทำ Social Distancing และการปิดเมืองส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจค่อนข้างมาก เนื่องจากประชาชนไม่ทันเตรียมตัว และทางการต้องปรับตัวก่อนจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้เศรษฐกิจโดยรวมหดตัวมาก โดยในเดือนที่เกิดการระบาดรอบแรกหรือ 1 เดือนหลังจากนั้น ตัวเลขการค้าปลีกและการผลิตภาคอุตสาหกรรม รวมถึงการเติบโตของ GDP หดตัวรุนแรง แต่เริ่มฟื้นขึ้นหลังจากนั้น
ขณะที่การระบาดรอบที่สอง ภาครัฐได้มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะที่ภาคเอกชนเริ่มเตรียมการรับมือในระดับหนึ่ง ทำให้ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไม่สูงนักเมื่อเทียบกับรอบแรก โดยเฉลี่ยอัตราการหดตัวในรอบที่สองจะเป็นครึ่งหนึ่งของรอบแรก ยกเว้นในสหรัฐและในเกาหลีใต้ที่ยอดค้าปลีกยังเป็นบวก เนื่องจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่ ทำให้ประชาชนยังมีกำลังซื้อ
จึงเป็นไปได้ว่าในการระบาดรอบใหม่ของไทยครั้งนี้ หากรัฐบาลประกาศมาตรการปิดเมืองที่เข้มงวดขึ้นใกล้เคียงกับครั้งที่แล้ว รัฐบาลน่าจะประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อเศรษฐกิจได้ ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4 ปี 2020 ต่อเนื่องไตรมาส 1 ปี 2021 หดตัวเท่ากับที่เคยคาดที่ประมาณ -8% และ -1% ตามลำดับ และทำให้เศรษฐกิจไทยในปี 2020-21 หดตัวที่ประมาณ -7% และฟื้นตัวที่ +3% ตามลำดับ
ในส่วนของทิศทางการลงทุนในตลาดหุ้นไทยนั้น ในช่วงที่เหลือของปี 2020 การลงทุนมีการชะลอตัวลงแต่ไม่รุนแรงนัก โดยจากการศึกษาพฤติกรรมของตลาดหุ้นต่างประเทศที่มีการระบาดรอบที่สอง เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และสหรัฐอเมริกา พบว่าสัปดาห์ให้หลังจากเกิดการระบาดรอบที่สองตลาดหุ้นมีการปรับตัวลดลงเฉลี่ย 2.4% ในสัปดาห์แรก และค่อยๆ ฟื้นตัวในสัปดาห์ต่อมา ในขณะที่หลังจากเกิดการระบาดรอบสองครบ 1 เดือน ตลาดหุ้นทั้งสามสามารถปรับตัวขึ้นมาสูงกว่าจุดเกิดการระบาดได้ โดยเป็นผลทั้งจากมาตรการกระตุ้นและการปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ทำให้การระบาดลดลง
ภาพดังกล่าวทำให้มองว่าแม้ว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์มีแนวโน้มว่าจะปรับลดลงในสัปดาห์แรก แต่ในระยะต่อไปดัชนีจะปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากในภาพรวมปัจจัยด้านการลงทุนในระดับโลกระยะสั้นยังเป็นบวก ทั้งภาพการคิดค้นวัคซีน พัฒนาการการเมืองในสหรัฐที่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระลอกใหม่ รวมถึงการเข้ารับตำแหน่งของประธานาธิบดีไบเดน
ขณะที่ในส่วนของไทย หากภาครัฐมีมาตรการปิดเมืองที่เข้มงวด ก็น่าจะมาพร้อมกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมจากมาตรการปัจจุบัน ทั้งช้อปดีมีคืน คนละครึ่ง และการเติมเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นมาตรการกระตุ้นการบริโภค ที่ทำได้รวดเร็วทั้งสิ้น
ในส่วนของรายอุตสาหกรรม มองว่ากลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประชาชนภายในประเทศ เช่น กลุ่มโรงแรม ศูนย์การค้า กลุ่มค้าปลีก กลุ่มสายการบิน กลุ่มขนส่งทางบกและ ทางราง และกลุ่มธนาคารอาจได้รับผลกระทบค่อนข้างแรง เมื่อเทียบกับกลุ่มวัสดุก่อสร้าง กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และกลุ่มสื่อสาร ที่อาจไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงรุนแรงมากนัก หากการปิดเมืองไม่ได้เกิดขึ้นอย่างยาวนาน
ทั้งนี้ยังคงมุมมองเดิมที่ว่าสถานการณ์การลงทุนโลกรวมและในไทยเองจะยังไปได้ดีในช่วงไตรมาสแรกจนถึงครึ่งแรกของปี 2021 จากปัจจัยบวกทั้งในระดับโลกและมาตรการกระตุ้นของไทย แต่ในครึ่งปีหลังเป็นไปได้ที่ปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เช่น การเมืองในสหรัฐ มาตรการการคลังในยุโรปที่มีปัญหา การแจกจ่ายวัคซีนที่ล่าช้า รวมถึงปัญหาในประเทศ เช่น ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมาก และภาคส่งออกและท่องเที่ยวที่ยังหดตัวจะกดดัน ผลประกอบการและการลงทุนโดยรวมในระยะต่อไป ส่งผลทำให้ COVID รอบสองไม่กระทบเศรษฐกิจและการลงทุนมากในระยะใกล้ แต่ในระยะไกลแล้ว ปัจจัยเสี่ยงระดับโลกต่างหาก ที่นักลงทุนไทยยังต้องจับตาและติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป
วิเคราะห์แนวทางการปฏิรูปเชิงโครงสร้างให้ประสบความสำเร็จ
ทุกคนทราบดีว่าประเทศไทยต้องการการปฏิรูป (reform) ในหลายด้าน แต่ก็พบว่าการปฏิรูปเคลื่อนที่ไปได้อย่างเชื่องช้า แม้จะมีคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นเพื่อปฏิรูปหลายชุด ประเทศไทยจึงอาจไม่ได้ขาดแคลนข้อเสนอในการปฏิรูป แต่อาจขาดแนวทาง วิธีการหรือกลยุทธ์ในการปฏิรูป ซึ่งโจทย์นี้เป็นประเด็นที่ควรเป็นจุดเน้นในการศึกษาของประเทศในอนาคต
องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) ได้สังเคราะห์บทเรียนจากการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง (structural reform) จำนวนมาก พบว่าการปฏิรูปเชิงโครงสร้างที่ประสบความสำเร็จจะมีปัจจัยที่สำคัญ 6 ประการ ดังนี้
ประการแรก การได้รับมติจากประชาชนให้ปฏิรูปผ่านการเลือกตั้ง (electoral mandate for reform) เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดต่อความสำเร็จของการปฏิรูป การปฏิรูปโดยรัฐบาลโดยที่ไม่ได้มีมติจากประชาชนมักจะพบข้อจำกัดมาก อย่างไรก็ดีการปฏิรูปครั้งสำคัญที่รัฐบาลไม่ได้มติมาจากประชาชนจะประสบความสำเร็จก็ต่อเมื่อสามารถทำให้เกิดประโยชน์ที่จับต้องได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งมักเป็นไปได้ยากในการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง
ประการที่สอง การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ โดยมีหลักฐานทางวิชาการที่น่าเชื่อถือได้สนับสนุน (Effective Communication) การปฏิรูปเชิงโครงสร้างที่สำเร็จมักมีความร่วมมือที่สอดคล้องกันระหว่างผู้ลงคะแนนเสียงและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในประเด็นปฏิรูป การสื่อสารให้สาธารณะทราบถึงเป้าหมายที่ชัดเจนในระยะยาวมีผลมาก การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพหมายถึงการให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเข้ามามีส่วนร่วมอย่างแท้จริง ภาครัฐรับฟังข้อห่วงกังวลและนำข้อเสนอไปปรับปรุง ซึ่งจะช่วยปรับปรุงคุณภาพของข้อเสนอและช่วยให้การปฏิรูปเกิดขึ้นได้จริงในทางปฏิบัติ การปฏิรูปเชิงโครงสร้างที่ประสบผลสำเร็จมักตั้งอยู่บนพื้นฐานของงานวิจัยที่มีหลักฐานน่าเชื่อถือสนับสนุน การปฏิรูปจะต้องสร้างฉันทมติในวงกว้าง ทั้งระหว่างผู้เชี่ยวชาญในประเด็นการปฏิรูปและกับประชาชน ซึ่งหลักฐานที่น่าเชื่อถือจะช่วยให้ข้อเสนอการปฏิรูปมีน้ำหนักเพียงพอเมื่อต้องเผชิญกับฝ่ายที่ต่อต้านการปฏิรูปหรือในการเจรจากับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ซึ่งระแวงสงสัยหรือไม่ไว้วางใจในการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นหลังปฏิรูป การปฏิรูปเชิงโครงสร้างทำให้ต้องเกิดการจัดสรรทรัพยากรในระบบใหม่ มีผู้ที่ได้และเสียประโยชน์ จึงไม่ใช่เรื่องแปลก หากภาคการเมืองจะชะลอการปฏิรูปออกไป เนื่องจากกลัวความเสี่ยงทางการเมืองที่อาจเกิดขึ้นจากต้นทุนการปฏิรูปในระยะสั้นที่เกิดขึ้นก่อนผลประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ ดังนั้น รัฐบาลและพรรคการเมืองควรออกแบบการปฏิรูปตั้งแต่ในช่วงก่อนเลือกตั้ง (pre-campaign period) โดยใช้การสื่อสารที่ชัดเจนเพื่อให้ประชาชนเห็นประโยชน์จากการปฏิรูปและเมื่อได้รับการเลือกตั้ง รัฐบาลควรจะเร่งดำเนินการปฏิรูปตามที่ได้รับการสนับสนุนทันที
ประการที่สาม ปัจจัยเชิงสถาบันที่มีความเข้มแข็งและความเป็นผู้นำในการปฏิรูป (Strong Institutions and Leadership) ปัจจัยเชิงสถาบันช่วยสนับสนุนการปฏิรูปตั้งแต่การตัดสินใจปฏิรูป ไปจนกระทั่งการนำข้อเสนอไปสู่การปฏิบัติ ความไว้วางใจ (trust) หรือทุนทางสังคม (social capital) มีความสำคัญและจะส่งผลกระทบอย่างสูง รวมถึงคุณภาพและประสิทธิภาพของระบบราชการ ความเป็นผู้นำเป็นปัจจัยที่สำคัญมาก ทั้งความเป็นผู้นำของบุคคลหรือสถาบันที่เป็นเจ้าของประเด็นปฏิรูป ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของรัฐบาลเป็นปัจจัยช่วยสนับสนุนการปฏิรูป มากกว่าปัจจัยอื่นๆ เช่น ปัจจัยความเข้มแข็งและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของพรรคฝ่ายค้าน หรือความเข้มแข็งของรัฐสภา
ประการที่สี่ ปัจจัยด้านเวลา (Times) การปฏิรูปเชิงโครงสร้างที่ประสบความสำเร็จมักจะใช้เวลา โดยจากการศึกษาพบว่ามักจะใช้เวลาอย่างน้อย 2 ปีขึ้นไป การปฏิรูปที่รีบเร่งหรือตอบสนองแรงกดดันในขณะหนึ่งๆ มักจะยิ่งทำให้ผลสัมฤทธิ์เกิดขึ้นช้า การปฏิรูปบางเรื่อง เช่น ระบบบำนาญ ระบบสุขภาพ และระบบการศึกษา มักจะใช้เวลานานมาก และการปฏิรูปที่ประสบความสำเร็จมักจะใช้ความพยายามหลายครั้ง
ประการที่ห้า การมีส่วนร่วมของฝ่ายที่ต่อต้านการปฏิรูป (Engage the opponents of reform) การปฏิรูปที่ประสบความสำเร็จจะต้องให้กลุ่มที่จะได้รับผลกระทบโดยตรงสูงเข้ามามีส่วนร่วม ซึ่งในระยะสั้นอาจมีความขัดแย้งเกิดขึ้นบ้าง แต่ในระยะยาวการมีส่วนร่วมจะช่วยสร้างความไว้วางใจมากขึ้น ซึ่งอาจทำให้ผู้ที่คาดว่าจะเสียประโยชน์มีความยินดีในการเจรจาตกลง เพื่อลดต้นทุนที่เกิดขึ้นจากการปฏิรูป และยอมเจรจาเพื่อชดเชยการสูญเสียจากการปฏิรูป
ประการที่หก การชดเชยให้กับผู้ได้รับผลกระทบทางลบ (Compensation for reform loser) กระบวนการชดเชยถือเป็นขั้นตอนที่สำคัญ หากรัฐล้มเหลวในการชดเชยจะทำให้การต่อต้านการปฏิรูปมีมาก แต่หากรัฐชดเชยมากจนเกินไปจะสร้างต้นทุนและความคาดหวังการชดเชยที่สูงในการปฏิรูปในอนาคตแนวทางสำคัญคือการให้มีกระบวนการมีส่วนร่วม โดยเฉพาะผู้ที่เสียประโยชน์หลัก การขยายเวลาช่วงเปลี่ยนผ่านให้นานขึ้น และการใช้นโยบายด้านอื่นที่สามารถหักล้างผลเสียจากการปฏิรูปให้กับบางกลุ่ม ในบางกรณี เช่น การปฏิรูประบบบำนาญ อาจต้องขยายเวลาช่วงเปลี่ยนผ่านให้นานไปจนถึงคนรุ่นอื่น เนื่องจากผู้มีส่วนได้เสียหลักในปัจจุบันไม่สามารถปรับพฤติกรรมการออม การทำงานและการใช้จ่ายได้ทัน
โดยสรุปจากการศึกษายังพบว่าการปฏิรูปอย่างครอบคลุม (Comprehensive reform) มีกำหนดการชัดเจนได้ผลดีกว่าการปฏิรูปเป็นประเด็นย่อยๆ กลุ่มผลประโยชน์ยากจะต้านการปฏิรูปที่ครอบคลุมและมีความสมดุลในเชิงนโยบาย และความสมดุลระหว่างกลุ่มผลประโยชน์ที่หลากหลาย ปัจจัยทั้งหมดนี้ล้วนทำให้การปฏิรูปสำเร็จได้จริงในหลายประเทศทั่วโลก
กลุ่มวางแผนกลยุทธ์และงบประมาณ
ฝ่ายยุทธศาสตร์และวางแผนธุรกิจองค์กร