บทความวิเคราะห์รายงานทางเศรษฐกิจ (ประจำเดือนกรกฎาคม 2563)
บทความวิเคราะห์รายงานทางเศรษฐกิจ (ประจำเดือนกรกฎาคม 2563)
ข้อมูลเดือนพฤษภาคม 2563 จากตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน จะเห็นว่าดัชนีราคาผู้บริโภคมีค่าค่อนข้างทรงตัวไม่แตกต่างจากเดือนที่ผ่านมา เพราะราคาน้ำมันยังมีราคาที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ในขณะที่ราคาสินค้าจำพวกอาหารสดก็มีทิศทางที่ทรงตัวไม่เปลี่ยนแปลงมากเท่าไรนัก ส่งผลทำให้ราคามีทิศทางที่ทรงตัวปรับขึ้นไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ส่วนภาคการผลิตมีการปรับตัวได้ดีขึ้น เนื่องจากเริ่มมีการผ่อนปรนมากขึ้นจากผลกระทบจากโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก ทำให้ในเดือนนี้คำสั่งซื้อมีการปรับตัวได้มากขึ้นตามภาวะของเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้ในเดือนนี้มีการผลิตสินค้าที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาในบ้าง ในขณะเดียวกันดุลการค้าปรับตัวมากขึ้นและยังมีทิศทางที่เป็นบวกอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการนำเข้ายังมีค่าที่ไม่สูงมากเท่าไรนัก จึงทำให้ไม่น่าเป็นห่วง อย่างไรก็ตามภาวะการเงินยังทรงตัวไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลง โดยปริมาณเงินฝากและเงินให้สินเชื่อมีค่าสูงขึ้น เนื่องจากประชาชนได้มีการออมมากขึ้นหลังจากที่การลงทุนในประเภทอื่นๆ มีความผันผวนสูงตามปัจจัยเสี่ยงจากโควิด-19 ที่ได้เกิดขึ้น จึงส่งผลให้การออมเงินมีการขยายตัวขึ้น ในขณะที่การปล่อยสินเชื่อมีค่าเพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการมีการขอสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่อง ส่งผลให้การปล่อยสินเชื่อจึงมีการปรับตัวที่สูงขึ้น แต่ก็ยังคงมีความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาหนี้เสียตามมาอีกด้วย
ตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน
รายละเอียด
|
กุมภาพันธ์ 63
|
มีนาคม 63
|
เมษายน 63
|
พฤษภาคม 63
|
ดัชนีราคาผู้บริโภค |
102.70
|
101.82
|
99.75
|
99.76
|
ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม |
100.18
|
103.02
|
74.91
|
77.87
|
อัตราการใช้กำลังการผลิต |
66.06
|
67.78
|
51.27
|
52.84
|
ดุลการค |
5,394.19
|
2,272.57
|
2,530.14
|
3,191.80
|
ดุลบัญชีเดินสะพัด |
5,194.78
|
543.69
|
-654.05
|
63.54
|
เงินฝาก |
14,349.79
|
15,236.22
|
15,447.05
|
n.a.
|
เงินให้สินเชื่อ |
15,674.82
|
16,321.82
|
16,799.96
|
n.a.
|
ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย
หมายเหตุ: ดัชนีราคาผู้บริโภค มีปีฐานคือ 2558 เงินฝาก/เงินให้สินเชื่อ มีหน่วยเป็น พันล้านบาท
อัตราการใช้กำลังการผลิต มีหน่วยเป็น ร้อยละ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม มีปีฐานคือ 2559
ดุลการค้า ดุลบัญชีเดินสะพัด มีหน่วยเป็น ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา
ภาวะอสังหาริมทรัพย์ เดือนพฤษภาคม 2563
• ด้านอุปทาน
- ที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เปรียบเทียบ ณ พ.ค. 62 กับ 63 มีรายละเอียดดังนี้
ปี
|
จำนวน(ยูนิต)
|
การเติบโต(%)
|
ณ พ.ค. 62
|
40,045
|
-36.90%
|
ณ พ.ค. 63
|
39,263
|
-1.95%
|
ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
- ประเภทที่อยู่อาศัยที่มีการจดทะเบียน ณ พ.ค. 63 เรียงตามลำดับมีรายละเอียดดังนี้
ประเภท
|
จำนวน(ยูนิต)
|
สัดส่วน(%)
|
อาคารชุด
|
18,949
|
48.26
|
บ้านเดี่ยว
|
11,609
|
29.57
|
ทาวน์เฮ้าส์
|
6,603
|
16.82
|
บ้านแฝด
|
1,134
|
2.89
|
อาคารพาณิชย์
|
968
|
2.46
|
รวม
|
39,263
|
100.00
|
ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
• ด้านอุปสงค์
-การโอนกรรมสิทธิ์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เปรียบเทียบ ณ พ.ค. 62 กับ 63 มีรายละเอียดดังนี้
ปี
|
จำนวน(ยูนิต)
|
การเติบโต(%)
|
ณ พ.ค. 62
|
75,778
|
-0.69%
|
ณ พ.ค. 63
|
68,627
|
-9.44%
|
ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
-ประเภทที่อยู่อาศัยที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ ณ พ.ค. 63 เรียงตามลำดับมีรายละเอียดดังนี้
ประเภท
|
จำนวน(ยูนิต)
|
สัดส่วน(%)
|
อาคารชุด
|
33,033
|
48.13
|
ทาวน์เฮ้าส์
|
20,691
|
30.15
|
บ้านเดี่ยว
|
9,648
|
14.06
|
บ้านแฝด
|
2,654
|
3.87
|
อาคารพาณิชย์
|
2,601
|
3.79
|
รวม
|
68,627
|
100.00
|
ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
- อัตราดอกเบี้ยที่อยู่อาศัยบุคคลทั่วไปลอยตัวเฉลี่ยของ 6 ธนาคารใหญ่ มีรายละเอียดดังนี้
ปี 63
|
อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย
6 ธนาคาร
|
อัตราดอกเบี้ยนโยบาย ธปท.
|
มกราคม
|
5.95
|
1.25
|
กุมภาพันธ์ |
5.93 |
1.00 |
มีนาคม |
5.83 |
0.75 |
เมษายน |
5.50 |
0.75 |
พฤษภาคม |
5.28 |
0.50 |
ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
หมายเหตุ: 6 ธนาคาร ประกอบ ธ.อาคารสงเคราะห์, ธ.กสิกรไทย, ธ.กรุงเทพ,
ธ.กรุงศรีอยุธยา, ธ.กรุงไทย และ ธ.ไทยพาณิชย์
สรุปภาพรวมภาวะอสังหาริมทรัพย์เดือนพฤษภาคม 2563
ภาพรวมของอุปทานมีการปรับตัวลดลง 1.95% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากผลกระทบจากสถานการณ์โรคระบาดโควิค-19 เริ่มมีทิศทางที่ทรงตัว จึงเริ่มทำให้ผู้ประกอบการมีแนวโน้มที่จะเริ่มมีการพัฒนาโครงการออกมาบ้าง ส่งผลให้อุปทานในตลาดมีทิศทางที่หดตัวลงไปเล็กน้อย ในขณะเดียวกันทางด้านอุปสงค์ก็มีทิศทางที่ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 9.44% เพราะกำลังซื้อของผู้บริโภคยังมีแนวโน้มชะลอตัว ประกอบกับการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินก็ยังมีความเข้มงวด เนื่องจากทิศทางของหนี้ด้อยคุณภาพมีการปรับตัวสูงขึ้น ทั้งนี้ที่อยู่อาศัยประเภทอาคารชุดยังมียอดการโอนกรรมสิทธิ์มากที่สุด รองลงมาคือ ทาวน์เฮ้าส์ และบ้านเดี่ยว ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่อยู่อาศัยปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 5.28% รวมทั้งอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยก็ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 0.50% ด้วยเช่นเดียวกัน
วิเคราะห์แนวทางการปรับตัวของผู้ประกอบการในการทำธุรกิจกับอียูหลังโควิด-19*
สหภาพยุโรปเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19โดยคณะกรรมาธิการยุโรปคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของภูมิภาคจะหดตัวกว่า 7.4% ในปี 2563 และกลับมาขยายตัว 6.1% ในปี 2564 นอกจากนี้อัตราการว่างงานมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น และตัวเลขการขาดดุลงบประมาณและหนี้สาธารณะก็จะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด สืบเนื่องจากมาตรการการเงินการคลังที่รัฐบาลจำเป็นต้องนำออกมาใช้เพื่อพยุงเศรษฐกิจ สำหรับตัวเลขการค้า คณะกรรมาธิการยุโรปคาดว่าในปี 2563 การส่งออกของอียูจะหดตัว 9-15% (คิดเป็น 282-470 พันล้านยูโร) และการนำเข้าจะลดลง 11-14% (คิดเป็น 313-398 พันล้านยูโร) โดยภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่มเครื่องจักรและยานยนต์ได้รับผลกระทบมากสุด
ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา อียูและรัฐบาลประเทศสมาชิกได้ออกมาตรการการเงินการคลังเพื่อฝ่าวิกฤติโควิด-19 แล้วหลายชุด ทั้งเงินช่วยเหลือฉุกเฉินสำหรับประชาชน ลูกจ้าง บริษัท SME และประเทศสมาชิก โดยในขณะนี้ประเทศสมาชิกอียูอยู่ระหว่างการพิจารณาข้อเสนองบประมาณการฟื้นฟูเศรษฐกิจของคณะกรรมาธิการยุโรป ซึ่งมีวงเงินสูงถึง 1.85 ล้านล้านยูโร อันประกอบด้วย
1) กองทุนฟื้นฟู “Next Generation EU” จำนวน 7.5 แสนล้านยูโร โดยแบ่งเป็นเงินให้เปล่า 5 แสนล้านยูโร และเงินกู้ 2.5 แสนล้านยูโร
2) กรอบงบประมาณ Multiannual Financial Framework (MFF) จำนวน 1.1 ล้านล้านยูโร สำหรับช่วง 7 ปีข้างหน้า (ค.ศ.2021-2027) โดยคาดว่าน่าจะบรรลุข้อตกลงกันได้ภายในเดือน ก.ค. นี้ ทั้งนี้แผนงบประมาณดังกล่าวต้องได้รับความเห็นชอบเป็นเอกฉันท์จากประเทศสมาชิกอียูทั้ง 27 ประเทศ และจะมีส่วนสำคัญในการประคับประคองเศรษฐกิจอียูทั้งระบบให้สามารถขับเคลื่อนไปข้างหน้าและกลับเข้าสู่ภาวะการเติบโตได้อีกครั้ง รวมถึงเป็นบทพิสูจน์ความเป็นเอกภาพของอียูที่มักถูกวิจารณ์ว่าเริ่มอ่อนแอลงนับจากเหตุการณ์ Brexit
แนวทางการปรับตัวเข้าสู่บรรทัดฐานใหม่ทางธุรกิจสำหรับผู้ประกอบการไทย
แม้ว่าเศรษฐกิจของอียูมีแนวโน้มที่จะต้องเผชิญความท้าทายอยู่มาก แต่อียูก็ยังเป็นตลาดส่งออกสำคัญของไทย เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยเตรียมความพร้อมในการปรับตัวเข้าสู่การดำเนินธุรกิจยุคหลังโควิด-19 ซึ่งมาพร้อมกับโอกาสและความท้าทาย ทั้งนี้ได้สรุปแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจไว้ โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
1) การกระจายห่วงโซ่อุปทาน (supply chain diversification)
ที่ผ่านมาในยุคโลกาภิวัฒน์ ภาคการผลิตโดยเฉพาะบริษัทข้ามชาติต่างๆ เน้นการผลิตที่มีประสิทธิภาพสูงสุดและต้นทุนต่ำสุด ทำให้เกิดห่วงโซ่อุปทานที่ส่วนใหญ่จะพึ่งพาวัตถุดิบจากจีน อย่างไรก็ดีในช่วงวิกฤติโควิด-19 จีนไม่สามารถส่งออกสินค้าได้เหมือนปกติ ประกอบกับหลายประเทศได้ออกมาตรการห้ามหรือจำกัดการส่งออกสินค้า ส่งผลให้ห่วงโซ่อุปทานโลกหยุดชะงัก ทำให้หลายชาติเช่น ประเทศสมาชิกอียู ญี่ปุ่น และสหรัฐ ต้องทบทวนกลยุทธ์การบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานของตนเองใหม่ โดยเปลี่ยนจากการพึ่งพาห่วงโซ่อุปทานเดียว (single-line supply chain) มาสู่การกระจายห่วงโซ่อุปทาน (supply chain diversification) ในหลายประเทศและหลายทวีปมากขึ้น รวมทั้งย้ายฐานการผลิตบางส่วนกลับมาในประเทศตนเอง (reshoring) โดยเฉพาะสำหรับสินค้าจำเป็น เช่น เครื่องมือแพทย์และเวชภัณฑ์ อาหาร รวมทั้งวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรม เช่น เหล็ก อลูมิเนียม และแร่ธาตุต่าง ๆ (โคบอลท์ ลิเธียม ทองแดง) ทั้งนี้หน่วยงานส่งเสริมการค้าการลงทุนของเขต ฟลานเดอร์ประเทศเบลเยียม (Flanders Investment & Trade) มองว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทำให้ธุรกิจเบลเยียมเริ่มตระหนักว่าไม่ควรพึ่งพาประเทศหนึ่งประเทศใดจนเกินไป และมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดการเชื่อมโยงกับคู่ค้าต่างประเทศหลายรายขึ้น เพื่อสร้างเครือข่ายห่วงโซ่อุปทานที่ครอบคลุมหลายภูมิภาคเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดกับสายการผลิต ในขณะที่สมาพันธ์ภาคธุรกิจของยุโรป (BusinessEurope) ออกมาเตือนว่านโยบายสนับสนุนการย้ายฐานการผลิตกลับภูมิภาคยุโรป (reshoring) เปรียบเสมือนดาบสองคม เพราะจะส่งผลให้สินค้าในประเทศมีปริมาณมากเกินความต้องการ นอกจากนั้นการปกป้องทางการค้าไม่ใช่ทางออก และอียูต้องยอมรับว่าการเคลื่อนย้ายห่วงโซ่อุปทานไปยังนอกภูมิภาคยุโรปของภาคธุรกิจ เป็นผลจากการบริหารจัดการต้นทุนการผลิตให้สามารถแข่งขันได้ และการแสวงหาตลาดผู้บริโภคที่เกิดใหม่ พร้อมย้ำว่าการค้าจะเป็นปัจจัยสำคัญในการช่วยให้เศรษฐกิจอียูฟื้นตัว โดยอียูควรเร่งทำความตกลงทางการค้ากับคู่ค้าต่างๆ เพื่อขยายเข้าสู่ตลาดใหม่ๆ
2) การให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์และเวชภัณฑ์
เครื่องมือแพทย์และเวชภัณฑ์ โดยเฉพาะยารักษาโรค เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากวิกฤติในครั้งนี้ เนื่องจากอียูต้องพึ่งพาการนำเข้าส่วนผสมยาจากต่างประเทศจำนวนมาก โดยเฉพาะจากจีนและอินเดีย คิดเป็นสัดส่วนถึง 80% ของปริมาณความต้องการภายในประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการลดความเสี่ยงจากปัญหาดังกล่าวในอนาคต อียูจึงต้องการผลักดันการจัดทำความตกลงระหว่างประเทศเพื่อยกเว้นอากรสำหรับเครื่องมือแพทย์และเวชภัณฑ์ เพื่อป้องกันมิให้เกิดการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุทานเหมือนในช่วง โควิด-19 อีก รวมถึงการผลักดันให้ประเทศอื่นปรับมาตรฐานด้านคุณภาพและความปลอดภัยของยาให้สอดคล้องกัน ซึ่งน่าจะเป็นโอกาสของผู้ประกอบการไทยในการเข้าเป็นห่วงโซ่อุปทานสินค้าประเภทนี้ให้กับอียู เพราะอียูก็ยอมรับว่าแม้มีความต้องการกระจายห่วงโซ่อุปทาน แต่ก็คงไม่สามารถเคลื่อนย้ายฐานการผลิตกลับมายังอียูได้ทั้งหมด
3) การบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานอย่างยั่งยืน
วิกฤติในครั้งนี้ยิ่งตอกย้ำให้ประเด็นเกี่ยวกับความรับผิดชอบต่อสังคมในห่วงโซ่อุปทาน ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แรงงาน สิทธิมนุษยชน รวมถึงสุขอนามัยและความปลอดภัย มีความสำคัญมากขึ้นทุกขณะ โดยมุ่งเน้นการร่วมมือกันเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมโลกบนพื้นฐานของเศรษฐกิจสีเขียว ที่ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นตัวขับเคลื่อน และสนองต่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน นอกจากนั้น อียูยังเตรียมประกาศจะเสนอร่างกฎหมายสิทธิมนุษยชนเพื่อบังคับให้ภาคเอกชนอียูตรวจสอบ supply chain ของสินค้าเพื่อแสดงว่าไม่ได้มาจากการละเมิดสิทธิมนุษยชนและทำลายสิ่งแวดล้อม โดยกฎหมายดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของ European Green Deal และจากข้อร้องเรียนที่ว่าความต้องการสินค้าด้านการแพทย์ที่เพิ่มขึ้นในช่วงการระบาดของโควิด-19 นั้นอาจมาจากการผลิตที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนด้านแรงงาน ดังนั้นในการดำเนินการค้ากับอียู ผู้ประกอบการไทยจึงต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งเกี่ยวกับเรื่องมาตรฐานทั้งในมิติสิ่งแวดล้อม แรงงาน สิทธิมนุษยชน สุขภาพและความปลอดภัย โดยอียูมีแนวโน้มจะเพิ่มระดับมาตรฐานด้านความยั่งยืนทั้งกับตัวสินค้าและกระบวนการผลิตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
4) การสู้โรคระบาดด้วยเทคโนโลยีการพิมพ์แบบสามมิติ (3D printing)
การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ทำให้หลายโรงงานต้องปิดกิจการชั่วคราว และเทคโนโลยี 3D Printing ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการช่วยให้การผลิตสินค้าจำเป็นโดยเฉพาะอุปกรณ์การแพทย์ เช่น หน้ากากป้องกันการติดเชื้อและเครื่องช่วยหายใจยังสามารถดำเนินต่อได้ แม้ว่าในปัจจุบันการผลิตด้วย 3D Printing จะยังมีต้นทุนสูงและผลิตได้น้อยชิ้น แต่ 3D Printing เป็นเทคโนโลยีแห่งอนาคตที่ตอบโจทย์เรื่องการสร้างความยืดหยุ่นให้กับสายการผลิต และการเตรียมพร้อมรับมือกับวิกฤติในอนาคต ดังนั้นจึงน่าจะมีการพัฒนา hardware และ software เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของ 3D Printing ให้ผลิตชิ้นงานได้ในจำนวนมากขึ้นและต้นทุนต่ำลง อันจะทำให้ 3D Printing เป็นข้อได้เปรียบทางการแข่งขันทั้งสำหรับผู้ประกอบธุรกิจสตาร์ทอัพและเจ้าของโรงงานอุตสาหกรรม
5) การใช้บริการเทคโนโลยีสารสนเทศที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด
เป็นที่ทราบกันดีว่าสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลต่อการปรับตัวเข้าสู่สังคมดิจิทัลอย่างก้าวกระโดด จากผลพวงของการปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานมาเป็นการทำงานจากที่บ้าน ผ่านแพลทฟอร์มออนไลน์หรือแอพพลิเคชั่นต่างๆ เพื่อช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการสื่อสารมากขึ้น ตลอดจนทำให้เกิดการเรียนการสอน หรือการพบแพทย์ในรูปแบบออนไลน์ รวมถึงนำเทคโนโลยีเสมือนจริงมาผนวกกับการเดินทางท่องเที่ยว และการเปลี่ยนจากการใช้เงินสดมาเป็นระบบ e-payment ที่ทันสมัย ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ตั้งแต่สั่งซื้ออาหาร หรือสิ่งของอุปโภคบริโภคอื่นๆ หลังจากสถานการณ์ของการระบาดของไวรัส อาจจะทำให้รูปแบบการทำงานเปลี่ยนไป และเทคโนโลยีจะช่วยให้การเชื่อมโยงทางธุรกิจทำได้ง่ายขึ้น ดังนั้นการพัฒนา hardware และ software เพื่อรองรับการทำงาน การประชุมและการหารือทางธุรกิจออนไลน์ รวมทั้งการพัฒนาระบบ e-commerce และ e-payment จะมีส่วนสำคัญอย่างมากในการทำการค้าของผู้ประกอบการไทยในอนาคตและการเติบโตของเศรษฐกิจไทย
กล่าวโดยสรุป คือ ผู้ประกอบการควรต้องปรับตัวเพื่อเตรียมเข้าสู่บรรทัดฐานใหม่ทางธุรกิจในยุคหลัง โควิด-19 โดยควรให้ความสำคัญกับการเรียนรู้และเข้าถึงเทคโนโลยีเพื่อนำมาใช้ในการพัฒนาคุณภาพสินค้าและบริการ ตลอดจนเพื่อขยายช่องทางการตลาดและเพิ่มฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น นอกจากนั้นผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่คำนึงถึงประเด็นด้านสังคม สิ่งแวดล้อม สิทธิมนุษยชน รวมถึงสุขอนามัยและความปลอดภัย โดยเข้ามาบูรณาการเป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินธุรกิจตลอดห่วงโซ่อุปทานตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ เพื่อช่วยลดความเสี่ยงและเป็นการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ อีกทั้งยังเป็นการตอบสนองต่อความต้องการและความคาดหวังของผู้บริโภคยุคใหม่ โดยเฉพาะตลาดสหภาพยุโรปที่มุ่งเน้นการก้าวสู่เศรษฐกิจสีเขียวและดิจิทัลอีกด้วย
วิเคราะห์ธุรกิจที่จะเติบโตหลังโควิด-19
จากวงจรโควิด-19 ภาคธุรกิจจะต้องใช้เวลาเผชิญกับการเปลี่ยนผ่านสู่ความปกติใหม่ ซึ่งความปกติใหม่นี้เป็นภาพอนาคตที่อาจจะเกิดขึ้น น่าจะเกิดขึ้น และมีแนวโน้มว่าจะเกิดขึ้น แต่อาจใช่หรือไม่ใช่ภาพอนาคตที่ต้องการหรือภาพอนาคตที่พึงประสงค์ (preferable future) ก็ได้ ทั้งนี้ได้วิเคราะห์ประเภทของธุรกิจที่คาดว่าจะขยายตัวขึ้นยุคหลังโควิด-19 ไว้ดังนี้
(1) ธุรกิจออนไลน์/ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ (Online Business/E-Business)
มาตรการปิดเมืองการทำงานจากบ้าน และการรักษาระยะห่างทางสังคม (Lockdown, Work from Home andSocial Distancing) เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ทั้งผู้บริโภคหันไปทำธุรกรรมผ่านระบบออนไลน์มากขึ้น จนกลายเป็นความคุ้นชิน ในขณะที่ธุรกิจต้องปรับตัวสู่การขายสินค้าและบริการผ่านออนไลน์เพื่อความอยู่รอด ธุรกิจในยุคหลังโควิด-19 จึงมีแนวโน้มพึ่งพาเทคโนโลยีดิจิทัลมากขึ้นโดยทุกขั้นตอนของการดำเนินธุรกิจจะอยู่บนออนไลน์อย่างเต็มรูปแบบมากขึ้น ทั้งการผลิต การซื้อขายแลกเปลี่ยนการจำหน่ายสินค้าและบริการ และการพัฒนาระบบสำนักงานที่เชื่อมโยงข้อมูลตลอดกระบวนการดำเนินงานของธุรกิจ ตั้งแต่การสั่งซื้อ การผลิต สต็อกสินค้าและวัตถุดิบ การส่งมอบสินค้า การชำระเงิน การรับประกันสินค้า การบริการหลังการขาย การทำการตลาดผ่านสื่อสังคมออนไลน์ รวมถึงการให้บริการผ่านออนไลน์ เช่น การศึกษา บริการสุขภาพทางไกล (Telemedicine) การชมภาพยนตร์ คอนเสิร์ต การท่องเที่ยว เป็นต้น
(2) ธุรกิจจัดส่ง (Delivery Business)
วิกฤตโควิด-19 ทำให้ธุรกิจจัดส่งสินค้าไปยังผู้บริโภคขยายตัวสูงขึ้น เนื่องจากผู้บริโภคไม่ต้องการออกจากบ้านเพื่อลดการสัมผัสและพบเจอกับคนจำนวนมาก ทำให้มีพฤติกรรมการซื้อขายสินค้าผ่านระบบออนไลน์เพิ่มขึ้นมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสั่งซื้อและจัดส่งอาหารปรุงสุก (food delivery) วิกฤตโควิด-19 ยังทำให้ธุรกิจจัดส่งและโลจิสติกส์ในต่างประเทศมีการพัฒนามากขึ้น โดยการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้มากขึ้น อาทิ เทคโนโลยีอัตโนมัติในการจำแนกพัสดุที่จะทำการจัดส่งการใช้ยานพาหนะขนส่งอัตโนมัติ (Autonomous Vehicles: AVs) เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาการจัดส่งในพื้นที่แออัดและพื้นที่ห่างไกล และทำให้มีระบบไร้สัมผัส (touchless system) เพื่อช่วยลดความเสี่ยงของการแพร่กระจายของไวรัส เป็นต้น
(3) ธุรกิจด้านสุขภาพ (Healthcare Business)
สินค้าและบริการด้านสุขภาพจะมีความต้องการและจำเป็นมากขึ้นในอนาคต ทำให้ธุรกิจสุขภาพและธุรกิจที่เกี่ยวข้องจะได้รับความสนใจในการลงทุนมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นธุรกิจด้านการคิดวัคซีนและยารักษาโรค ธุรกิจอุปกรณ์การแพทย์และอุปกรณ์ป้องกันโรคระบาด เช่น หน้ากากอนามัย เจลล้างมือ เป็นต้นและอุปกรณ์วัดและประมวลผลสุขภาพ เช่น เครื่องวัดอุณหภูมิ ชุดตรวจเชื้อโควิด-19 ด้วยตัวเอง นาฬิกาดิจิทัลที่วัดผลด้านสุขภาพ เป็นต้น และธุรกิจการบริการทำความสะอาดสถานที่ และฆ่าเชื้อโรคด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม เช่นบริษัท Keenon Robotics ในเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน ได้คิดค้นหุ่นยนต์สำหรับใช้ในโรงพยาบาลที่สามารถฆ่าเชื้อด้วยแสง UV และพ่นสเปรย์ฆ่าเชื้อไวรัสและแบคทีเรียได้พร้อมกัน ทั้งยังสามารถเก็บข้อมูลระหว่างฆ่าเชื้อเพื่อนำมาวิเคราะห์ในการฆ่าเชื้อครั้งต่อไปได้ เป็นต้น
(4) ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับข้อมูล (Data Related Business)
สถานการณ์โควิด-19 บ่งชี้ให้เห็นอย่างปฏิเสธไม่ได้ว่าข้อมูลมีความสำคัญอย่างยิ่ง ทั้งในฐานะที่เป็นเครื่องมือที่ช่วยติดตามประชาชนที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง ติดตามผู้ติดเชื้อเพื่อควบคุมการแพร่ระบาด และติดตามจุดจำหน่ายอุปกรณ์การแพทย์ โดยเฉพาะหน้ากากอนามัย รวมถึงการใช้ข้อมูลในการวิเคราะห์พฤติกรรมการบริโภคของลูกค้า เพื่อนำเสนอสิ่งที่ผู้บริโภคต้องการได้อย่างครบถ้วนและเหมาะสมกับแต่ละบุคคล เพราะฉะนั้นธุรกิจที่จะเติบโตขึ้นหลังยุคโควิด-19 จะเป็นธุรกิจเกี่ยวกับข้อมูล อาทิ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการจัดเก็บข้อมูลเวลาจริงและการวิเคราะห์ข้อมูล (Real Time Data Infrastructure and Data Analytics) การเฝ้าระวังการเข้ารหัสความเป็นส่วนตัว (Privacy Encoding State Surveillance) เป็นต้น
(5) ธุรกิจเพื่อประโยชน์สังคม (Philanthropic Business Practice)
ในภาวะวิกฤตโควิด-19 ทำให้แทบทุกองค์กรและทุกคนได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างถ้วนหน้า วิกฤตโควิด-19 จึงเป็นโอกาสในการแสดงตัวตน ปรัชญา แนวคิด และค่านิยมของผู้ประกอบการและธุรกิจ และเป็นโอกาสในการสร้างคุณค่าและภาพลักษณ์ของธุรกิจในมุมมองของผู้มีส่วนได้เสีย ทั้งลูกค้า คู่ค้า ซัพพลายเออร์ ชุมชน และประชาชน เช่น การไม่ค้ากำไรเกินควร การไม่ขายสินค้าคุณภาพต่ำ การจ่ายค่าสินค้าตรงเวลา การพยายามรักษาการจ้างงานอย่างถึงที่สุด การใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในการช่วยเหลือสังคม เป็นต้น ทั้งนี้การที่ธุรกิจแสดงความรับผิดชอบและยื่นมือไปช่วยเหลือผู้อื่น แม้ในยามที่ธุรกิจเองก็มีความยากลำบากจะทำให้เกิดทุนความดีและทุนด้านชื่อเสียง ที่จะส่งผลดีต่อธุรกิจในอนาคต
ธุรกิจหลังยุคโควิด-19 จึงมีแนวโน้มเป็นธุรกิจที่รับผิดชอบต่อสังคมมากขึ้น โดยจะก้าวไปไกลกว่าการทำกิจกรรมด้านความรับผิดชอบต่อสังคมเพียงเพื่อจะได้รับภาพลักษณ์ที่ดีเท่านั้น แต่จะเป็นธุรกิจที่สร้างประโยชน์ต่อสังคมและมีส่วนในการสร้างชาติ อีกทั้งการทำธุรกิจบนความรับผิดชอบต่อส่วนรวม เป็นการสร้างความเลอค่าให้กับธุรกิจเองและผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด เพราะพฤติกรรมของผู้บริโภคในอนาคตจะให้คุณค่าและยอมจ่ายราคากับสิ่งอื่น ที่นอกเหนือจากคุณสมบัติของสินค้าและบริการมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณค่าที่ธุรกิจได้มอบให้แก่สังคมและประเทศชาติ
โดยสรุปจะเห็นได้ว่าภาคธุรกิจหลังยุคโควิด-19 จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ทุกธุรกิจจะต้องเริ่มต้นคิดใหม่ วางแผนใหม่ ปรับรูปแบบใหม่ เพื่อรองรับความปกติใหม่หลังยุคโควิด-19 เพื่อที่จะสามารถมองหาโอกาสและความเป็นไปได้ โดยการประเมินและวิเคราะห์ภาพคาดการณ์อนาคต ทั้งภาพที่พึงประสงค์และภาพที่แย่ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ อันนำไปสู่การตัดสินใจเพื่อประโยชน์สูงสุดต่อธุรกิจและต่อสังคมได้อีกด้วย
_______________
* แหล่งที่มาของข้อมูล : ทีมงาน ThaiEurope.net
กลุ่มข้อมูลและวางแผนสื่อสารองค์กร
ฝ่ายสื่อสารองค์กร