บทความวิเคราะห์รายงานทางเศรษฐกิจ (ประจำเดือนสิงหาคม 2562)
ข้อมูลเดือนมิถุนายน 2562 จากตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน จะเห็นว่าดัชนีราคาผู้บริโภคมีค่าลดลง เพราะราคาน้ำมันยังมีความผันผวนและปรับตัวลดลง ในขณะที่ราคาสินค้าจำพวกอาหารสดยังมีราคาทรงตัวไม่ได้ปรับตัวสูงมากเท่าไรนัก ส่งผลทำให้ราคามีการปรับตัวน้อยลงมา ส่วนภาคการผลิตมีการปรับตัวน้อยบลง เนื่องจากภาวะการค้าโลกที่ยังมีความไม่แน่นอนอยู่สูง ทำให้ผู้ประกอบการเริ่มกลับมาชะลอการผลิตเพื่อรอดูความชัดเจนที่จะเกิดขึ้น จึงทำให้ในเดือนนี้มีการผลิตสินค้าหดตัวลงมา ในขณะเดียวกันดุลการค้าปรับตัวเพิ่มขึ้นและยังมีทิศทางที่เป็นบวกอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการนำเข้ายังมีค่าที่ไม่สูงมากเท่าไรนัก จึงทำให้ไม่น่าเป็นห่วง อย่างไรก็ตามภาวะการเงินยังทรงตัวไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลง โดยปริมาณเงินฝากและเงินให้สินเชื่อมีค่าน้อยลง เนื่องจากในช่วงก่อนหน้านั้นประชาชนได้มีการออมไปมากในช่วงก่อนหน้านั้นจึงได้มีการนำเงินออมออกมาลงทุนบ้าง เพื่อให้มีอัตราผลตอบแทนที่ดีขึ้น ส่งผลให้การออมเงินมีการปรับตัวน้อยลงมา ในขณะที่การปล่อยสินเชื่อมีการปรับตัวลดลงไป เนื่องจากธนาคารได้ทยอยปล่อยสินเชื่อออกมาในช่วงก่อนหน้ามากแล้ว ส่งผลให้การปล่อยสินเชื่อจึงมีการหดตัวลงมา อีกทั้งยังคงมีความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาหนี้เสียตามมาอีกด้วย
ตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน
รายละเอียด |
มีนาคม 62 |
เมษายน 62 |
พฤษภาคม 62 |
มิถุนายน 62 |
ดัชนีราคาผู้บริโภค |
102.37 |
102.82 |
103.31 |
102.94 |
ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม |
114.96 |
95.00 |
104.53 |
100.50 |
อัตราการใช้กำลังการผลิต |
74.25 |
63.62 |
67.83 |
65.28 |
ดุลการค้า |
3,419.46 |
-93.81 |
1,402.72 |
4,400.66 |
ดุลบัญชีเดินสะพัด |
5,270.25 |
1,384.12 |
-376.03 |
3,923.66 |
เงินฝาก |
13,914.41 |
14,049.53 |
13,983.13 |
n.a. |
เงินให้สินเชื่อ |
15,457.89 |
15,384.87 |
15,316.37 |
n.a. |
ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย
หมายเหตุ: ดัชนีราคาผู้บริโภค มีปีฐานคือ 2558 เงินฝาก/เงินให้สินเชื่อ มีหน่วยเป็น พันล้านบาท
อัตราการใช้กำลังการผลิต มีหน่วยเป็น ร้อยละ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม มีปีฐานคือ 2559
ดุลการค้า ดุลบัญชีเดินสะพัด มีหน่วยเป็น ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา
ภาวะอสังหาริมทรัพย์ เดือนมิถุนายน 2562
• ด้านอุปทาน
- ที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เปรียบเทียบ ณ มิ.ย. 61 กับ 62 มีรายละเอียดดังนี้
ปี |
จำนวน(ยูนิต) |
การเติบโต(%) |
ณ มิ.ย. 61 |
62,799 |
12.27% |
ณ มิ.ย. 6 |
47,637 |
-24.14% |
ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
- ประเภทที่อยู่อาศัยที่มีการจดทะเบียน ณ มิ.ย. 62 เรียงตามลำดับมีรายละเอียดดังนี้
ประเภท |
จำนวน(ยูนิต) |
สัดส่วน(%) |
อาคารชุด |
19,175 |
40.25 |
บ้านเดี่ยว |
18,219 |
38.25 |
ทาวน์เฮ้าส์ |
8,073 |
16.95 |
อาคารพาณิชย์ |
1,207 |
2.53 |
บ้านแฝด |
963 |
2.02 |
รวม |
47,637 |
100.00 |
ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
• ด้านอุปสงค์
-การโอนกรรมสิทธิ์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เปรียบเทียบ ณ มิ.ย. 61 กับ 62 มีรายละเอียดดังนี้
ปี |
จำนวน(ยูนิต) |
การเติบโต(%) |
ณ มิ.ย. 61 |
91,966 |
32.95% |
ณ มิ.ย. 62 |
88,212 |
-4.08% |
ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
-ประเภทที่อยู่อาศัยที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ ณ มิ.ย. 62 เรียงตามลำดับมีรายละเอียดดังนี้
ประเภท |
จำนวน(ยูนิต) |
สัดส่วน(%) |
อาคารชุด |
40,428 |
45.83 |
ทาวน์เฮ้าส์ |
27,577 |
31.26 |
บ้านเดี่ยว |
12,732 |
14.44 |
อาคารพาณิชย์ |
4,194 |
4.75 |
บ้านแฝด |
3,281 |
3.72 |
รวม |
88,212 |
100.00 |
ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
-
สินเชื่อที่อยู่อาศัยปล่อยใหม่บุคคลทั่วไปของสถาบันการเงินทั้งระบบ
- สินเชื่อที่อยู่อาศัยปล่อยใหม่ ณ ไตรมาส 2 ปี 62 มีจำนวนทั้งสิ้น 155,196 ล้านบาท หดตัวลดลง9.83% จาก ณ ไตรมาส 2 ปี 61 ที่สามารถปล่อยสินเชื่อได้ 172,111 ล้านบาท
-
สินเชื่อที่อยู่อาศัยคงค้างบุคคลทั่วไปของสถาบันการเงินทั้งระบบ
- สินเชื่อที่อยู่อาศัยคงค้างบุคคลทั่วไป ณ ไตรมาส 2 ปี 62 มีจำนวนทั้งสิ้น 3,901,163 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้น 7.16% จาก ณ ไตรมาส 2 ปี 61 ที่มียอดคงค้างทั้งสิ้นอยู่ที่ 3,640,425 ล้านบาท - อัตราดอกเบี้ยที่อยู่อาศัยบุคคลทั่วไปลอยตัวเฉลี่ยของ 6 ธนาคารใหญ่ มีรายละเอียดดังนี้
ปี 62 |
อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย |
อัตราดอกเบี้ยนโยบาย ธปท. |
มกราคม-กุมภาพันธ์ |
6.27 |
1.75 |
มีนาคม-เมษายน |
6.35 |
1.75 |
พฤษภาคม |
6.27 |
1.75 |
มิถุนายน |
6.35 |
1.75 |
ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
หมายเหตุ: 6 ธนาคาร ประกอบ ธ.อาคารสงเคราะห์, ธ.กสิกรไทย, ธ.กรุงเทพ,
ธ.กรุงศรีอยุธยา, ธ.กรุงไทย และ ธ.ไทยพาณิชย์
สรุปภาพภาวะอสังหาริมทรัพย์เดือนมิถุนายน 2562
ภาพรวมของอุปทานมีการปรับตัวลดลง 24.14% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากมีปัจจัยลบค่อนข้างที่เข้ามากระทบส่งผลให้ภาวะเศรษฐกิจมีอัตราเติบโตที่ลดลงไปค่อนข้างมาก ทำให้ผู้ประกอบการชะลอการพัฒนาโครงการออกไปก่อน ส่งผลให้อุปทานในตลาดมีการหดตัวลงมา ในขณะเดียวกันทางด้าน อุปสงค์ก็ปรับตัวลดลง 4.08% เพราะมาตรการ LTV ที่ออกมาทำให้การขอสินเชื่อค่อนข้างมีความเข้มงวดเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ที่อยู่อาศัยประเภทอาคารชุดยังมียอดการโอนกรรมสิทธิ์มากที่สุด รองลงมาคือ ทาวน์เฮ้าส์ และ บ้านเดี่ยว ส่วนสินเชื่อที่อยู่อาศัยมีการหดตัวลงตามภาวะเศรษฐกิจที่ยังฟื้นตัวได้ไม่มากเท่าไรนัก ส่งผลทำให้มีการปรับตัวลดลงมา 9.83% ณ ไตรมาส 2 ปี 62 ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่อยู่อาศัยปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 6.35% โดยที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายมีค่าอยู่ที่ 1.75%
วิเคราะห์โอกาสและความเสี่ยงของเศรษฐกิจไทย*
โอกาสและความเสี่ยงของเศรษฐกิจไทยมีความเป็นไปได้ที่จะมาจากอุปสงค์โลกต่ำ ความเสี่ยงโลกสูง แต่ทางการไทยอนุรักษ์นิยมเกินไป ซึ่งสามารถที่จะทำการวิเคราะห์ลงไปในรายละเอียดได้ดังต่อไปนี้
1. ภูมิลักษณ์เศรษฐกิจโลก
ในส่วนของภูมิลักษณ์เศรษฐกิจโลกในปัจจุบันนั้น ยังแบ่งออกได้เป็นอีก 2 ประเด็นหลัก
ประเด็นแรก ได้แก่ ภาวะปัจจุบันที่เป็น New normal ที่ “โตต่ำ ค้าน้อย โภคภัณฑ์ถูก และผลตอบแทนการลงทุนต่ำและผันผวน” เศรษฐกิจโลกที่โตต่ำนั้น เกิดจากความต้องการในการใช้จ่ายหรือ Demand ทั่วโลกต่ำลง ซึ่งเป็นผลจากปัจจัยเชิงโครงสร้างอย่างภาวะสังคมสูงวัยที่เกิดขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศเจริญแล้ว ซึ่งทำให้ความต้องการจับจ่ายน้อยลง นอกจากนั้นหนี้ทั่วโลกที่เพิ่มขึ้นมาก (ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 250 ล้านล้านดอลลาร์ หรือกว่า 3 เท่าของ GDP โลก) ซึ่งเป็นผลจากรัฐบาลทั่วโลกกระตุ้นการจับจ่ายหลังวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ทำให้ภาครัฐในประเทศเจริญแล้วและภาคเอกชนในประเทศกำลังพัฒนาขาดเม็ดเงินที่จะจับจ่ายในปัจจุบัน
ในส่วนของการค้าน้อยลงนั้น เป็นผลทั้งจากประเทศขนาดใหญ่ โดยเฉพาะสหรัฐและจีนหันมาผลิตในประเทศมากขึ้น ผลจากเทคนิคการขุดเจาะน้ำมัน Shale gas/ oil ในสหรัฐ ที่ทำให้ราคาพลังงานและค่าขนส่งถูกลง และการที่ทางการจีนบังคับให้บริษัทข้ามชาติที่มาลงทุนในจีนนั้นมีการถ่ายโอนเทคโนโลยี ก็ทำให้ผู้ผลิตจีนสามารถผลิตสินค้าเทคโนโลยีชั้นสูงเองได้ นอกจากนั้นสงครามการค้าที่รุนแรงขึ้น ก็จะทำให้การค้าโลกลดต่ำลงเช่นกัน
ในส่วนของโภคภัณฑ์ถูกนั้น เป็นผลจากเทคนิคการผลิตใหม่ๆ ทำให้ปริมาณของโภคภัณฑ์นั้นเพิ่มขึ้นมหาศาล แต่ความต้องการที่ตกต่ำโดยเฉพาะเศรษฐกิจจีนที่ชะลอลง ทำให้ความต้องการสินค้าโภคภัณฑ์ในระยะยาวลดลง ทั้งโภคภัณฑ์หนัก เช่น สินแร่โลหะ (ที่ราคาเคลื่อนไหวสอดคล้องกับเศรษฐกิจจีน) โภคภัณฑ์เบา รวมถึงเชื้อเพลิง
ส่วนสุดท้ายได้แก่ผลตอบแทนการลงทุนที่ลดต่ำลงและผันผวน ซึ่งเกิดจากนโยบายการเงินทั่วโลกที่ลดดอกเบี้ยและเพิ่มสภาพคล่องหลังวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรที่ถือว่าเป็นสินทรัพย์ที่ไร้ความเสี่ยง (Risk-free Rate) ลดลง และสภาพคล่องมหาศาลที่ไหลเข้าสู่ตลาดเงินทุนก็กดให้ส่วนเพิ่มความเสี่ยง (Risk-premium) ลดลงเช่นกัน ผลตอบแทนการลงทุนทั่วโลกจึงต่ำและผันผวนมากขึ้นตามสภาพคล่อง
ประเด็นที่สองของภาพเศรษฐกิจโลก ได้แก่ ความเสี่ยงในระยะต่อไป ซึ่งมองว่า ได้แก่ “สงครามเย็น”ระหว่างสหรัฐและจีน ที่เริ่มด้วยสงครามการค้าและลุกลามเป็นสงครามเทคโนโลยี (Tech War) และอาจลามไปสู่สงครามด้านการเงิน โดยสหรัฐอาจห้ามธุรกิจจีนมาระดมทุนในสหรัฐ ซึ่งจีนอาจตอบโต้ด้วยการแบนธุรกิจบริการจากสหรัฐ ทั้งเกม รายการทีวี และห้ามนักท่องเที่ยวและนักเรียนจีนไปยังสหรัฐ และสุดท้ายอาจนำไปสู่สงครามด้านการทหาร ที่จะนำไปสู่ความตึงเครียดในมหาสมุทรแปซิฟิกและคาบสมุทรเกาหลี สั่งสมอาวุธนิวเคลียร์ เพิ่มระดับการจารกรรมเชิงพาณิชย์ ทางไซเบอร์ และทางทหาร และความเสี่ยงแห่งสงครามในอนาคต เมื่อโลกโตต่ำเพราะอุปสงค์อ่อนแอ (Weak demand) และอุปทานล้นเกิน (Excess supply) รวมถึงความเสี่ยงจากสงครามเย็นที่อาจกลายเป็นสงครามแล้วอาจทำให้ไทยเองกลับแย่ลงไป
2. เศรษฐกิจไทยที่กำลังเผชิญกับ “กับดักรายได้ปานกลาง” (Middle-income Trap)
ความสัมพันธ์ของหนี้สาธารณะและการเติบโตของรายได้ต่อหัวของประเทศพัฒนาแล้วและกำลังพัฒนาในการก้าวข้ามผ่านกับดักรายได้ปานกลาง (Middle-income Trap) โดยหากพิจารณาจากการขยายตัวเศรษฐกิจ จะเห็นว่าภาพของไทยก็ไม่ต่างจากโลก คือขยายตัวต่ำลงเรื่อยๆ และยิ่งเมื่อพิจารณารายได้ต่อหัวของคนไทยก็ยิ่งถดถอย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาการเติบโตของรายได้ต่อหัวรูปสกุลเงินท้องถิ่นในช่วง 6-7 ปีที่ผ่านมา จะพบว่ารายได้คนไทยเติบโตเกือบต่ำสุดในภูมิภาคที่ปีละประมาณ 2% ขณะที่อินเดีย จีน และ อินโดนิเซียโต 8-10% ต่อปีโดยตลอด
ภาพเหล่านี้เกิดจาก Demand ในประเทศที่อ่อนแอ ไม่ว่าจะพิจารณาจากดุลบัญชีเดินสะพัดที่เกินดุลเดือนละ 2-3 พันล้านดอลลาร์ เงินเฟ้อที่ต่ำกว่าเป้ามาตลอด อัตราการใช้กำลังการผลิตที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย และดัชนีค่าเงินบาทที่แข็งกว่า 20% เมื่อเทียบกับคู่ค้าในรอบ 5-6 ปีหลัง นอกจากจะเกิดจากนโยบายการเงินที่ตึงตัวเกินไป ยังเป็นผลจากนโยบายการคลังที่เข้มงวดเกินไป โดยเฉพาะการละเลยการลงทุนภาครัฐ ดังจะเห็นได้จากดัชนีความสามารถในการแข่งขันด้านโครงสร้างพื้นฐานของ WEF ที่ของไทยแทบไม่มีการพัฒนาเลยในรอบ 12 ปีที่ผ่านมา ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากนโยบายการคลังที่มุ่งเน้นแต่การเบิกจ่ายงบประจำ แต่ละเลยงบลงทุนมาโดยตลอด ประกอบกับกรอบความยั่งยืนทางการคลังที่ตึงตัวเกินไป เห็นได้จากภาระหนี้รัฐบาลกลางของไทยที่แทบจะต่ำที่สุดในโลก
ทั้งนี้ได้ลองศึกษาอย่างง่ายถึงระดับการก่อหนี้ของรัฐบาลกลางต่อผลของการที่ประเทศจะหลุดพ้นจากMiddle-income trap พบว่าประเทศมีหนี้สาธารณะในระดับที่เหมาะสม (เช่น ประมาณ 80-100% ของ GDP) จะทำให้รายได้ต่อหัวเติบโตในระดับ10% ต่อปีหรือมากกว่า และทำให้ประเทศหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลางได้ เพราะประเทศจะนำเงินที่ได้มาพัฒนาประเทศผ่านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งจำเป็นต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาว
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าหนทางหนึ่งที่ทำได้คือการผ่อนคลาย พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง ให้ภาคการคลังสามารถก่อหนี้ได้มากขึ้น ขณะที่ภาคการเงินก็ลดดอกเบี้ยให้ต่ำ เพื่อให้ต้นทุนทางการเงินของภาครัฐไม่สูงนัก ซึ่งสามารถทำได้เนื่องจากไม่มีความเสี่ยงเงินเฟ้อ รวมถึงทำนโยบายกึ่ง QE คืออนุญาตให้ธนาคารกลางเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลที่ออกเพื่อโครงการโครงสร้างพื้นฐานได้ ขณะที่ภาครัฐก็ควรพิจารณา “อัตราผลตอบแทนการลงทุนเชิงเศรษฐกิจ” (EIRR) แทนผลตอบแทนการลงทุนทั่วไป (IRR) เพื่อให้ประเทศไทยสามารถมีโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่อการพัฒนาในระยะยาวได้ อันจะเป็นสิ่งสำคัญในการช่วยสร้างโอกาสและลดความเสี่ยงในการเติบโตของไทยได้อย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต
วิเคราะห์โอกาสในการทำ FTA ระหว่างไทยกับอียู
ความผันผวนของเศรษฐกิจโลกในช่วงปีที่ผ่านมา ทั้งประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน ที่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานจีน ตลอดจนสถานการณ์ Brexit ที่ยังมีความไม่แน่นอนสูงและอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักรและกลุ่มประเทศที่ใช้เงินสกุลยูโร (Eurozone) รวมถึงปัจจัยภายในของไทยเองที่ภาคธุรกิจชะลอการลงทุนเพื่อรอความชัดเจนและนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลภายหลังการเลือกตั้ง ทำให้หลายหน่วยงานจากทั้งภาครัฐและเอกชนปรับลดคาดการณ์อัตราการขยายตัวของจีดีพีของไทยลงมาอยู่ที่ไม่ถึง 4% อย่างไรก็ดีท่ามกลางความไม่แน่นอนของสถานการณ์เศรษฐกิจโลกดังกล่าว การรื้อฟื้นการเจรจาความตกลงเปิดเขตการค้าเสรีไทย-สหภาพยุโรป (อียู) ที่หยุดชะงักไปกว่า 6 ปี ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี 2557 ดูจะมีความหวังมากขึ้นเมื่ออียูได้ส่งสัญญาณขานรับการจัดตั้งรัฐบาลภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อวันที่ 19 ก.ค.ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ข้อมติคณะมนตรีแห่งอียูเมื่อปี 2557 ระบุไว้ว่าอียูจะเริ่มเจรจาความตกลง FTA กับไทยอีกครั้งเมื่อมีการจัดตั้งรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งแล้ว ซึ่งต่อมาเมื่อปลายปี 2560 คณะมนตรีแห่งอียูได้ปรับข้อมติให้เริ่มสำรวจความเป็นไปได้ของการรื้อฟื้นการเจรจาความตกลง FTA กับไทยภายหลังความคืบหน้าการเตรียมการเลือกตั้ง โดยเฉพาะการประกาศใช้รัฐธรรมนูญปี 2560 ดังนั้นปัจจุบันจึงถือได้ว่าเงื่อนไขต่างๆ เอื้อต่อการรื้อฟื้นการเจรจาอย่างเป็นทางการ อีกทั้งในฝั่งของอียูเองก็เพิ่งได้คณะผู้บริหารชุดใหม่จากเลือกตั้งสภายุโรปเมื่อช่วงเดือนพฤษภาคม โดยนโยบายของคณะผู้บริหารชุดใหม่ซึ่งจะเริ่มปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายนปีนี้ จะมีความหมายต่ออนาคตของอียูและทิศทางการค้าระหว่างอียูกับไทยในช่วง 5 ปีข้างหน้าอย่างมีนัยสำคัญ
โอกาสของไทยจากความตกลงไทย-อียู FTA
การเจรจาความตกลง FTA ฉบับนี้จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับสินค้าไทยในตลาดอียูที่มีอัตราการขยายตัวอย่างต่อเนื่องและมีกำลังซื้อสูงสุดแห่งหนึ่งของโลก โดยเฉพาะในปัจจุบันที่อียูมีการจัดทำความตกลงการค้าเสรีครอบคลุมประเทศต่างๆ ที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับไทย อาทิ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และเวียดนาม ซึ่งจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของพลวัตทางการค้าระหว่างประเทศในอนาคตประโยชน์อันดับแรกของความตกลง FTA ฉบับนี้คือการลดภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมของไทย ที่ปัจจุบันไม่มีแต้มต่อทางการค้าเมื่อเทียบกับคู่แข่งบางประเทศ เช่น เวียดนาม หลังไทยถูกตัดสิทธิ GSP ไปเมื่อปี 2558 นอกจากนี้ความตกลง FTA จะช่วยลดมาตรการที่เป็นอุปสรรคทางการค้าอื่นๆ ทั้งในกลุ่มอาหาร แปรรูป ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และยานยนต์ โดยหากการเจรจาสำเร็จจะช่วยให้ไทยสามารถรักษาส่วนแบ่งตลาดในอียู โดยเฉพาะจากประเทศที่มีโครงสร้างสินค้าคล้ายคลึงกับไทยและมี FTA กับอียู เช่น เวียดนาม
นอกจากนี้ความตกลง FTA ฉบับนี้ ยังมีประโยชน์ในแง่การส่งเสริมการถ่ายทอดเทคโนโลยีและ know-how ต่างๆ จากการเข้ามาลงทุนของบริษัทอียูในไทย ซึ่งจะส่งผลดีต่อผู้ประกอบการภายในประเทศในสาขาที่มีมูลค่าเพิ่มสูงและอียูมีความเชี่ยวชาญ อาทิ ยานยนต์สมัยใหม่ การบินและโลจิสติกส์ นวัตกรรมด้านเกษตรและอาหาร ดิจิทัล อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ และหุ่นยนต์เพื่ออุตสาหกรรม เป็นต้น โดยเฉพาะในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) รวมทั้งจะเป็นแม่เหล็กที่ช่วยเหนี่ยวรั้งนักลงทุนรายเดิมที่มีความเสี่ยงจะย้ายการลงทุนไปที่อื่น และดึงดูดเม็ดเงินจากนักลงทุนรายใหม่ให้ใช้ไทยเป็นฐานการผลิตและส่งออก เพื่อจับตลาดที่มีกำลังซื้อสูงอย่างอียูได้อีกด้วย
ทั้งนี้ปัจจุบันอียูเป็นคู่ค้าสำคัญลำดับ 3 ของไทย โดยในปี 2561 การค้าสองฝ่ายมีมูลค่า 4.7 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 9.4 ของการค้าไทยกับโลก ซึ่งในจำนวนนี้ไทยส่งออกไปอียู 2.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ และนำเข้าจากอียู 2.2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ โดยเพิ่มขึ้น 5% และ 8% จากปี 2560 ตามลำดับ ด้านการลงทุน อียูเป็นนักลงทุนอันดับ 3 ของไทยรองจากญี่ปุ่นและอาเซียน โดยมีมูลค่าการลงทุนในไทย ณ สิ้นปี 2561 รวม 3.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ดีการเจรจาความตกลง FTA ไทย-อียูอาจไม่ใช่เรื่องง่ายและอาจต้องใช้เวลา โดยประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับการเจรจาความตกลงไทย-อียู FTA มีดังนี้
1.การทำความตกลง FTA กับอียู จะเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ในการทำความตกลงการค้าเสรีของไทย โดยเฉพาะประเด็นการเปิดเสรีภาคบริการ และการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ทั้งนี้มีข้อสังเกตว่าข้อบทใหม่ที่อียูใช้ในการเจรจาความตกลง FTA กับประเทศต่างๆ ในระยะหลัง คือ ข้อบทเรื่องการค้าและการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Trade and Sustainable Development) ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับมาตรฐานสิ่งแวดล้อมและมาตรฐานแรงงาน ทั้งนี้คาดว่าอียูจะใช้ความตกลง FTA กับสิงคโปร์และเวียดนามที่เพิ่งลงนามไปเมื่อเดือนตุลาคม 2561 และมิถุนายน 2562 ตามลำดับ เป็นต้นแบบในการเจรจากับไทย ซึ่งจากการสังเกตการเจรจาความตกลง FTA ระหว่างอียูกับเวียดนามและสิงคโปร์ พบว่าเนื้อหาการเจรจามีรายละเอียดและครอบคลุมกว้างขวางมากขึ้น ซึ่งจะทำให้การเจรจาใช้เวลาและทรัพยากรมากขึ้น รวมทั้งอาจเพิ่มแรงกดดันให้ไทยต้องยอมรับข้อเรียกร้องต่างๆ ของอียู ทั้งในเรื่องการเปิดตลาดยา รถยนต์ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และการยกระดับมาตรฐานสินค้าไทยให้สอดคล้องกับมาตรฐานอียูที่มีความเข้มงวดมากที่สุดมาตรฐานหนึ่งของโลก นอกจากนี้การเจรจายังรวมถึงเรื่องการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งเป็นผลประโยชน์สำคัญของอียู รวมทั้งกฎระเบียบด้านการแข่งขันทางการค้า การเข้าสู่ตลาดการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ การระงับข้อพิพาทในการลงทุนระหว่างภาคเอกชนกับรัฐ การค้าและการพัฒนาอย่างยั่งยืน และการปฏิบัติตามพันธกรณีขององค์การระหว่างประเทศต่างๆ กรณีล่าสุดเมื่อวันที่ 5 ก.ค. ที่ผ่านมา มีตัวอย่างของ FTA ระหว่างอียู-สาธารณรัฐเกาหลี ในกรณีสิทธิในด้านแรงงานที่อียูตัดสินใจจัดตั้งกลไกระงับข้อพิพาทต่อเรื่องการดำเนินตามพันธกรณี
2.สำหรับประเด็นการเปิดเสรีภาคบริการ ซึ่งถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานของระบบเศรษฐกิจของไทยและเป็นต้นทุนของการทำธุรกิจอื่นอาจส่งผลในแง่การเพิ่มประสิทธิภาพให้กับธุรกิจที่เกี่ยวข้อง แต่สิ่งที่ทางอียูต้องการผลักดันในเรื่องของการเปิดเสรีภาคบริการและการลงทุน คือการเข้าถึงตลาดที่อียูมีศักยภาพสูง โดยเฉพาะสาขาโทรคมนาคม การเงิน และการขนส่ง ซึ่งอาจนำไปสู่การผูกขาดทางการค้าในตลาดที่เป็นยุทธศาสตร์สำคัญเหล่านี้ในอนาคต จึงจำเป็นต้องมีการกำกับดูแลที่ดีจากภาครัฐ
3.ความพยายามจัดทำความตกลง FTA ระหว่างอียูกับกลุ่มประเทศอื่นๆ ในช่วงที่ผ่านมา อาทิ กลุ่มประเทศ Mercosur ซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตและส่งออกสินค้าเกษตรรายใหญ่ โดยเฉพาะในสินค้าที่ไทยเป็นเจ้าตลาดในอียู อาทิ เนื้อไก่และน้ำตาล เป็นที่น่าจับตามองเนื่องจากจะเป็นช่องทางให้สินค้าคู่แข่งจากประเทศเหล่านั้นมีความได้เปรียบสินค้าจากประเทศไทยมากขึ้น และจะส่งผลโดยตรงต่อความสามารถในการแข่งขันของไทยในตลาดยุโรป ตลอดจนสิทธิประโยชน์ที่ไทยจะได้รับจากการทำ FTA กับอียูในอนาคต
ทั้งนี้คาดว่าอียูจะยังคงผลักดันให้คู่เจรจาความตกลง FTA ต่างๆ ดำเนินการตามค่านิยมหลักของอียู อาทิ ประชาธิปไตยและระบบการค้าเสรีที่เป็นธรรม ตลอดจนสิทธิมนุษยชนต่อไป รวมทั้งประเด็นที่เป็นนโยบายสำคัญของอียู เช่น การรักษาสิ่งแวดล้อมและความเท่าเทียมทางเพศ ที่อาจได้รับการผลักดันให้เป็นมาตรฐานใหม่ในการเจรจาความตกลงการค้ากับอียูต่อไป
_______________
* แหล่งที่มาของข้อมูล : ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์ "Global Vision"
กลุ่มข้อมูลและวางแผนสื่อสารองค์กร
ฝ่ายสื่อสารองค์กร