บทความวิเคราะห์รายงานทางเศรษฐกิจ (ประจำเดือนมิถุนายน 2562)
ข้อมูลเดือนเมษายน 2562 จากตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน จะเห็นว่าดัชนีราคาผู้บริโภคมีค่าสูงขึ้น เพราะราคาน้ำมันมีความผันผวนและมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น ในขณะที่ราคาสินค้าจำพวกอาหารสดปรับตัวสูงขึ้นตามสภาพอากาศที่ร้อนทำให้ไม่ค่อยมีสินค้าออกมาในตลาด ส่งผลทำให้ราคามีการปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่วนภาคการผลิตมีการปรับตัวลดลง เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีความผันผวน ส่งผลให้คำสั่งซื้อจากต่างประเทศมีการชะลอตัวลงไป จึงทำให้ในเดือนนี้มีการผลิตสินค้าหดตัวลงมา ในขณะเดียวกันดุลการค้าปรับตัวน้อยลงแต่ยังมีทิศทางที่เป็นบวกอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการนำเข้ายังมีค่าที่ไม่สูงมากเท่าไรนัก จึงทำให้ไม่น่าเป็นห่วง อย่างไรก็ตามภาวะการเงินยังทรงตัวไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลง โดยปริมาณเงินฝากมีค่าน้อยลงแต่เงินให้สินเชื่อมีค่ามากขึ้น เนื่องจากในช่วงก่อนหน้านั้นประชาชนได้มีการออมเงินมากขึ้นไปมากแล้วภายหลังจากที่การลงทุนในด้านอื่นๆ มีความผันผวน ส่งผลให้ประชาชนมีการออมเงินปรับตัวลดลงมา ในขณะที่การปล่อยสินเชื่อมีการปรับตัวเพิ่มขื้น เนื่องจากธนาคารได้ทยอยปล่อยสินเชื่อออกมา ส่งผลให้การปล่อยสินเชื่อมีการขยายตัวขึ้นมา แต่ก็ยังคงมีความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาหนี้เสียตามมาอีกด้วย
ตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน
รายละเอียด |
มกราคม 62 |
กุมภาพันธ์ 62 |
มีนาคม 62 |
เมษายน 62 |
ดัชนีราคาผู้บริโภค |
101.71 |
101.95 |
102.37 |
102.82 |
ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม |
108.00 |
105.15 |
114.96 |
95.40 |
อัตราการใช้กำลังการผลิต |
70.46 |
69.07 |
74.25 |
63.89 |
ดุลการค้า |
-210.71 |
3,454.58 |
3,584.49 |
81.51 |
ดุลบัญชีเดินสะพัด |
2,012.00 |
6,504.72 |
6,080.26 |
1,784.32 |
เงินฝาก |
13,845.05 |
13,940.86 |
13,914.41 |
n.a. |
เงินให้สินเชื่อ |
15,129.54 |
15,226.91 |
15,457.89 |
n.a. |
ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย
หมายเหตุ: ดัชนีราคาผู้บริโภค มีปีฐานคือ 2558 เงินฝาก/เงินให้สินเชื่อ มีหน่วยเป็น พันล้านบาท
อัตราการใช้กำลังการผลิต มีหน่วยเป็น ร้อยละ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม มีปีฐานคือ 2559
ดุลการค้า ดุลบัญชีเดินสะพัด มีหน่วยเป็น ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา
ภาวะอสังหาริมทรัพย์ เดือนเมษายน 2562
• ด้านอุปทาน
- ที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เปรียบเทียบ ณ เม.ย. 61 กับ 62 มีรายละเอียดดังนี้
ปี |
จำนวน(ยูนิต) |
การเติบโต(%) |
ณ เม.ย. 61 |
43,082 |
28.82% |
ณ เม.ย. 62 |
24,622 |
-42.85% |
ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
- ประเภทที่อยู่อาศัยที่มีการจดทะเบียน ณ เม.ย. 62 เรียงตามลำดับมีรายละเอียดดังนี้
ประเภท |
จำนวน(ยูนิต) |
สัดส่วน(%) |
บ้านเดี่ยว |
9,650 |
39.19 |
อาคารชุด |
8,209 |
33.34 |
ทาวน์เฮ้าส์ |
5,816 |
23.62 |
อาคารพาณิชย์ |
538 |
2.19 |
บ้านแฝด |
409 |
1.66 |
รวม |
24,622 |
100.00 |
ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
• ด้านอุปสงค์
-การโอนกรรมสิทธิ์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เปรียบเทียบ ณ เม.ย. 61 กับ 62 มีรายละเอียดดังนี้
ปี |
จำนวน(ยูนิต) |
การเติบโต(%) |
ณ เม.ย. 61 |
55,337 |
43.83% |
ณ เม.ย. 62 |
57,845 |
4.53% |
ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
-ประเภทที่อยู่อาศัยที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ ณ เม.ย. 62 เรียงตามลำดับมีรายละเอียดดังนี้
ประเภท |
จำนวน(ยูนิต) |
สัดส่วน(%) |
อาคารชุด |
26,927 |
46.55 |
ทาวน์เฮ้าส์ |
17,566 |
30.37 |
บ้านเดี่ยว |
8,457 |
14.62 |
อาคารพาณิชย์ |
2,702 |
4.67 |
บ้านแฝด |
2,193 |
3.79 |
รวม |
57,845 |
100.00 |
ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
-
สินเชื่อที่อยู่อาศัยปล่อยใหม่บุคคลทั่วไปของสถาบันการเงินทั้งระบบ
- สินเชื่อที่อยู่อาศัยปล่อยใหม่ ณ ไตรมาส 1 ปี 62 มีจำนวนทั้งสิ้น 158,872 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้น 3.80% จาก ณ ไตรมาส 1 ปี 61 ที่สามารถปล่อยสินเชื่อได้ 153,061 ล้านบาท -
สินเชื่อที่อยู่อาศัยคงค้างบุคคลทั่วไปของสถาบันการเงินทั้งระบบ
- สินเชื่อที่อยู่อาศัยคงค้างบุคคลทั่วไป ณ ไตรมาส 1 ปี 62 มีจำนวนทั้งสิ้น 3,872,249 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้น 8.36% จาก ณ ไตรมาส 1 ปี 61 ที่มียอดคงค้างทั้งสิ้นอยู่ที่ 3,573,374 ล้านบาท - อัตราดอกเบี้ยที่อยู่อาศัยบุคคลทั่วไปลอยตัวเฉลี่ยของ 6 ธนาคารใหญ่ มีรายละเอียดดังนี้
ปี 62 |
อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย |
อัตราดอกเบี้ยนโยบาย ธปท. |
มกราคม-กุมภาพันธ์ |
6.27 |
1.75 |
มีนาคม-เมษายน |
6.35 |
1.75 |
ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
หมายเหตุ: 6 ธนาคาร ประกอบ ธ.อาคารสงเคราะห์, ธ.กสิกรไทย, ธ.กรุงเทพ,
ธ.กรุงศรีอยุธยา, ธ.กรุงไทย และ ธ.ไทยพาณิชย์
สรุปภาพรวมภาวะอสังหาริมทรัพย์เดือนเมษายน 2562
ภาพรวมของอุปทานมีการปรับตัวลดลง 42.85% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจมีอัตราเติบโตที่ค่อนข้างทรงตัว ประกอบกับภาวะการเมืองยังไม่มีความชัดเจนมากเท่าไรนัก ทำให้ผู้ประกอบการต่างรอดูสถานการณ์ไปก่อนว่าภาพการเมืองจะเป็นอย่างไรบ้าง ส่งผลให้อุปทานในตลาดมีการ หดตัวลงมา ในขณะที่ทางด้านอุปสงค์ปรับตัวเพิ่มขึ้น 4.53% เพราะผู้บริโภคยังมีความต้องการซื้อแต่ก็เพิ่มได้ไม่มากนัก เนื่องจากมาตรการ LTV ที่เริ่มมีผลบังคับใช้แล้ว ทั้งนี้ที่อยู่อาศัยประเภทอาคารชุดยังมียอดการโอนกรรมสิทธิ์มากที่สุด รองลงมาคือ ทาวน์เฮ้าส์ และบ้านเดี่ยว ส่วนสินเชื่อที่อยู่อาศัยมีการขยายตัวขึ้นมาเล็กน้อยตามภาวะเศรษฐกิจที่ยังขยายตัวได้ไม่มากนัก ส่งผลทำให้มีการปรับตัวสูงขึ้น 3.80% ณ ไตรมาส 1 ปี 62 ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่อยู่อาศัยทรงตัวที่ 6.35% โดยที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายมีค่าอยู่ที่ 1.75%
วิเคราะห์แนวทางการเตรียมการ Emerging Risk*
ทุกวันนี้เราต่างเผชิญกับภาวะที่ความเปลี่ยนแปลงในสภาพแวดล้อมมีเข้ามากันอย่างไม่หยุดหย่อน ซึ่งพบว่าความเปลี่ยนแปลงจำนวนมากมี “ความเร็ว” ที่อยู่เหนือความคาดหมายของนักอนาคตศาสตร์ (Futurists) หรือส่งผลกระทบต่อชีวิตและธุรกิจกันโดยมิได้ตั้งตัวทัน อาจถึงขั้นเกิดการหายไปของบางอย่างที่เราคุ้นเคย และเรียกกันไปว่า Disruption ดังตัวอย่างรอบตัวอย่างเช่นการใช้กล้องถ่ายรูป (แทนที่ด้วยสมาร์ทโฟน) หรือการส่งจดหมาย (แทนที่ด้วยอีเมล) เป็นต้น
หากไม่คิดอะไรมาก เราจะพยายามมองความเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นอย่างเลี่ยงไม่ได้หรือคิดว่ามันคือ “ธรรมชาติ” หรือ “ระบบ” ที่มันต้องเป็นไป และต้องพร้อมรับกับความสูญเสียที่ “หลีกเลี่ยงไม่ได้” ซึ่งอาจเรียกได้ว่ามันคือ Systemic Risks แต่สิ่งที่จะเรียกว่า Emerging Risks หรือความเสี่ยงอุบัติใหม่นั้นคือการตระหนักรู้ขององค์กรอย่างแท้จริงถึงความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นและจำเป็นต้องเตรียมการเพื่อรับมือกับมัน ซึ่งโดยลักษณะที่สำคัญของความเสี่ยงนี้คือมันเป็นสิ่งใหม่ ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่สามารถสร้างความเสียหายต่อองค์กรได้ ถึงแม้จะยังคาดการณ์ถึงระดับความเสียหายนั้นได้ยากก็ตาม
การบริหารความเสี่ยงองค์กร หรือ Enterprise Risk Management (ERM) โดยทั่วไปนั้นจะใช้การประเมินระดับความเสี่ยงในมิติของผลกระทบ (หรือความเสียหายที่เป็นไปได้) และโอกาสที่อาจเกิดขึ้นของความเสี่ยงนั้น ซึ่งวิธีการเช่นนี้อาจไม่ได้มีประสิทธิภาพนักสำหรับความเสี่ยงอุบัติใหม่ ซึ่งมักจะเป็นความเสี่ยงที่มีความไม่แน่นอนสูง โดยทั้งโอกาสที่อาจเกิดขึ้นและผลกระทบนั้นค่อนข้างยากที่จะประเมินได้ชัดเจนนัก ยกตัวอย่างกรณีของโครงสร้างและรูปแบบประชากรที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วไม่ว่าจะเป็นอายุ (สังคมสูงอายุ) หรือความหลากหลายทางเชื้อชาติที่มากขึ้น ทุกคนต่างรับรู้ได้และเห็นตรงกันว่าสามารถสร้างผลกระทบได้กับทุกองค์กร เพียงแต่ไม่มีข้อมูลในมิติของโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้นั้นอย่างเพียงพอที่จะประเมินระดับความเสี่ยงที่ชัดเจนและนำมาเป็นส่วนหนึ่งของความเสี่ยงองค์กรได้ ทั้งนี้ความเสี่ยงอุบัติใหม่ยังมีลักษณะเฉพาะอีกหลายประการ ได้แก่
• การขาดความเห็นสอดคล้องกันของผู้เกี่ยวข้องในความเสี่ยง เนื่องด้วยการที่ไม่เคยเกิดขึ้นหรือเป็นไปได้ยาก ดังกรณีของวิกฤติเศรษฐกิจส่วนใหญ่ที่มักจะมีสัญญาณเตือน แต่ก็จะไม่ได้รับความใส่ใจเท่าที่ควร
• การขาดความชัดเจนที่จะเชื่อมโยงความเสี่ยงไปสู่ความเสียหายทางธุรกิจ ดังกรณีของสื่อสังคมออนไลน์ที่มีความรวดเร็วในการเผยแพร่และสามารถสร้างผลกระทบได้อย่างกว้างขวาง
• ความยากที่จะสื่อสารสร้างความเข้าใจถึงความเสี่ยงให้กับผู้เกี่ยวข้องได้ ดังกรณีของเหตุการณ์ 9/11 ที่ก่อนหน้านั้นก็ได้มีข้อมูลบางอย่างที่บ่งชี้ถึงการเตรียมการของการก่อการร้ายในลักษณะเดียวกันนี้
• การที่ความเสี่ยงนั้นถูกรวมอยู่ในการดำเนินงานปกติมาอย่างยาวนาน โดยขาดความเข้าใจถึงปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างแท้จริง ดังกรณีของวิกฤติการณ์แฮมเบอร์เกอร์ปี 2008 ที่เริ่มต้นจากสินเชื่อประเภท Subprime และธุรกรรมของอนุพันธ์ทางการเงินที่สร้างผลตอบแทนที่ดีในช่วงเวลาก่อนหน้านั้น
ด้วยลักษณะดังกล่าวในหลายกรณีนั้น จะเห็นได้ว่าสามารถส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการเติบโตหรืออยู่รอดขององค์กรได้ หากละเลยหรือไม่ได้กำหนดเป็นความเสี่ยงองค์กรขึ้น ซึ่งความเสี่ยงอุบัติใหม่มักจะไม่ได้ถูกให้ความสำคัญในการกำหนดเป็นความเสี่ยงองค์กร เนื่องด้วยองค์กรส่วนใหญ่มักมุ่งให้ความสำคัญกับประเด็นภายในและประเด็นที่คนส่วนใหญ่รับรู้ได้ และองค์กรมักคิดว่าความเสี่ยงภายนอกเป็นประเด็นที่พิจารณาในระดับมหภาคเท่านั้น นอกจากนั้นองค์กรอาจมองข้ามความเสี่ยงอุบัติใหม่เหล่านี้ เนื่องจากกรอบและเครื่องมือการบริหารความเสี่ยงองค์กรที่มีอยู่ไม่ได้วิเคราะห์ถึงการเชื่อมโยงระหว่างกันของปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ซึ่งสามารถที่จะกำหนดระบุความเสี่ยงอุบัติใหม่ขององค์กรได้ดังนี้
• เริ่มแรกคือการทำความเข้าใจกับความเสี่ยงอุบัติใหม่และใช้กระบวนการบริหารความเสี่ยงขององค์กรดำเนินการ
• การบูรณาการกระบวนการวิเคราะห์ระบุความเสี่ยงอุบัติใหม่กับกระบวนการวางแผนเชิงกลยุทธ์ โดยกลยุทธ์ที่องค์กรเลือกดำเนินการทั้งหมดนั้น “จำต้องเผชิญ” กับความเสี่ยงที่มีอยู่เสมอ เพียงแต่ในระยะสั้นนี้อาจยังมีระดับความเสี่ยงไม่สูงมากนัก
• สร้างสมมติฐานที่เป็นไปได้และประเมินเทียบกับโมเดลการดำเนินธุรกิจขององค์กร ซึ่งจะต้องทบทวนให้รอบคอบ เพราะความเสี่ยงอุบัติใหม่ส่วนใหญ่จะถูกรับรู้ว่าไม่สามารถส่งผลกระทบอย่างรุนแรงในระยะสั้นได้
• การทบทวนที่ดีจะต้องวิเคราะห์ให้ได้ว่าความเสี่ยงเหล่านั้นจะ “เริ่ม” สร้างความเสียหายต่อองค์กรได้เมื่อใด ทั้งในแง่ของโอกาสเกิดที่มีมากขึ้นและผลกระทบที่รุนแรงขึ้น ซึ่งอาจมีสัญญาณที่ใช้เป็นตัวบ่งชี้หรือ Triggers เป็นจุดบอก
โอกาสที่จะเกิดขึ้นมักจะเป็นสิ่งที่อาจประเมินได้ยากกว่าในแง่ของการที่จะไปถึงจุดที่สามารถสร้างความเสียหายกับองค์กรได้ ซึ่งไม่ใช่โอกาสที่เรื่องนั้นๆ จะเกิดขึ้นได้ อันนี้ต้องไม่สับสน เช่น เริ่มมีการทำธุรกรรมด้วยคริปโตเคอเรนซีหรือสกุลเงินดิจิทัลอย่างแพร่หลายในช่วงปีที่ผ่านมา แต่เราอาจดำเนินธุรกิจบริการด้านการท่องเที่ยว เพราะฉะนั้นการวิเคราะห์ต้องโฟกัสไปที่กลุ่มนักเดินทางที่เป็นลูกค้าของเรา รวมทั้งผู้เกี่ยวข้องในห่วงโซ่บริการของเราเป็นสำคัญ จึงจะได้โอกาสของความเสี่ยงที่ถูกต้อง หรืออย่างกรณีการเติบโตของสังคมเมือง (Urbanization) ที่พูดถึงกันมานานแต่เพิ่งเผชิญกับผลกระทบรูปแบบหนึ่งในเรื่องของปัญหาฝุ่นควัน PM2.5 เป็นต้น
ดังนั้นผู้บริหารหรือผู้ปฏิบัติงานด้านความเสี่ยงองค์กรควรให้ความสำคัญกับแนวโน้มระดับมหภาคที่สามารถเชื่อมโยงส่งผลกระทบได้กับปัญหาระดับองค์กรหรืออุตสาหกรรม ซึ่งต้องอาศัยข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญหรือแหล่งข้อมูลต่างๆ ภายนอกที่องค์กรอาจไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรง ทำให้การวิเคราะห์ระบุความเสี่ยงอุบัติใหม่นี้จึงไม่สามารถใช้แนวทางการวิเคราะห์ความเสี่ยงแบบเดิมๆ ที่มุ่งค้นหาความเสี่ยงจากปัจจัยภายในหรือที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเป็นสำคัญ และสิ่งนี้ทำให้นักบริหารความเสี่ยงนั้น มีความสำคัญต่อการเพิ่มมูลค่าให้กับองค์กรได้ โดยการสื่อสารถึงประเด็นความเสี่ยงและจัดสรรทรัพยากรอย่างเหมาะสม รวมทั้งการร่วมกันทบทวนความเสี่ยงอุบัติใหม่อย่างสม่ำเสมอ
วิเคราะห์ภูมิภาคอาเซียนผ่านการค้าภาคบริการ
ในช่วงที่ผ่านมาการค้าภาคบริการ (Services Trade) มีบทบาทสำคัญมากขึ้นต่อเศรษฐกิจอาเซียน โดยมีมูลค่าการส่งออกและนำเข้าของภาคบริการสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา มีเพียงช่วงหลังวิกฤติการเงินโลกในปี 2550-2551 ที่มีการชะลอตัว ในช่วงดังกล่าวการส่งออกภาคบริการของอาเซียนเพิ่มขึ้นถึง 2.5 เท่า ส่วนการนำเข้าบริการมีมูลค่าเพิ่มขึ้น 2เท่า และในปี 2558 อาเซียนเปลี่ยนบทบาทจากผู้นำเข้าสุทธิ มาเป็นผู้ส่งออกสุทธิในภาคบริการ
เหตุใดการค้าภาคบริการจึงมีความสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ ในยุคที่เศรษฐกิจโลกอยู่ภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์ที่มีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารอย่างรวดเร็วนั้น ทำให้หลายบริการสามารถเข้าสู่การค้าระหว่างประเทศได้ ประกอบกับการเติบโตของการค้าภาคบริการที่ขยายตัวสูงกว่าการค้าภาคสินค้า จึงทำให้การค้าภาคบริการมีบทบาทที่มากขึ้นในเวทีการค้าระหว่างประเทศ นอกจากนี้การค้าภาคบริการยังมีส่วนช่วยในการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต โดยไม่ได้จำกัดอยู่เพียงเฉพาะภาคบริการที่มีการค้าระหว่างประเทศ หากแต่กระจายไปยังภาคบริการอื่นๆ รวมถึงภาคการผลิต เนื่องจากในทุกภาคการผลิตในระบบเศรษฐกิจมีภาคบริการเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการผลิตเสมอ ส่งผลให้มีแนวคิดใหม่ที่ว่าการค้าภาคบริการเป็นปัจจัยผลักดันให้เกิดความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในอนาคต
ในกลุ่มประเทศอาเซียน สมาชิกที่เป็นผู้ส่งออกและนำเข้าหลักในภาคบริการคือ สิงคโปร์ รองลงมาคือ ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ จากข้อมูลของ ASEAN Secretariat พบว่าการค้าภาคบริการของอาเซียนมีมูลค่าสูงใน 3 ภาคบริการหลักที่อาเซียนมีศักยภาพคือ ท่องเที่ยว ขนส่งและบริการธุรกิจอื่นๆอย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาภาคบริการของอาเซียนที่มีการเติบโตด้านการส่งออกสูง พบว่าอยู่ในกลุ่มของทรัพย์สินทางปัญญา ประกัน และบำนาญและบริการด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (Telecommunication and ICT) ส่วนภาคบริการที่มีการนำเข้าเติบโตสูงคือ บริการด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร การซ่อมบำรุงและการซ่อมแซม และบริการทางการเงิน
เป็นที่น่าสังเกตว่าการค้าภาคบริการในอาเซียนที่เติบโตสูงอยู่ในกลุ่มของ Modern Services ซึ่งเป็นการค้าภาคบริการที่สามารถดำเนินการผ่าน ICT ในขณะที่ภาคบริการในกลุ่ม Traditional Services เช่น ท่องเที่ยว ขนส่ง และบริการธุรกิจอื่นๆ เป็นส่วนที่มีประเทศสมาชิกอาเซียนมีศักยภาพในการส่งออก และเป็นส่วนที่สำคัญต่อระบบเศรษฐกิจ เมื่อมองถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจของอาเซียนในอนาคต คำถามหนึ่งที่สำคัญคือ ควรมีแนวทางการพัฒนาอย่างไรเพื่อให้เศรษฐกิจอาเซียนมีการเติบโตไปข้างหน้า โดยส่วนใหญ่จะระบุว่าการค้าภาคบริการเป็นปัจจัยหนึ่งที่มีความสำคัญและมีบทบาทมากขึ้นในเศรษฐกิจยุคปัจจุบัน ประกอบกับเมื่อพิจารณานโยบายการพัฒนาของหลายประเทศในอาเซียน พบว่ามีแนวทางการพัฒนาที่เน้นภาคบริการเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของการพัฒนาด้าน ICT ซึ่งเป็นพื้นฐานของเศรษฐกิจดิจิทัล
นอกจากนี้อาเซียนยังมีแนวโน้มที่จะได้รับประโยชน์จากการพัฒนาภาคบริการในระดับสูงเนื่องจากประเทศสมาชิกอาเซียนมีส่วนร่วมในห่วงโซ่มูลค่าโลก (Global Value Chain: GVC)ในระดับสูง ซึ่งเมื่อภาคบริการมีประสิทธิภาพมากขึ้น จะส่งผลไปยังกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในGVC
ในขณะที่การค้าภาคบริการมีความสำคัญมากขึ้นในอาเซียน การเปิดเสรีภาคบริการก็มีความคืบหน้าเช่นเดียวกัน โดยในวันที่ 23 เมษายน 2562 ในช่วงการประชุม AEM Retreat ครั้งที่ 25 ที่กระทรวงพาณิชย์ไทยเป็นเจ้าภาพ ณ จังหวัดภูเก็ต รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนได้ลงนามความตกลงว่าด้วยการค้าบริการอาเซียน (ASEAN Trade in Services Agreement :ATISA) ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ 180 วันหลังการลงนาม
ความตกลง ATISA ซึ่งมีมาตรฐานสูงและครอบคลุมในทุกสาขาบริการ จะมีส่วนช่วยในการยกระดับมาตรฐานการจัดทำกฎระเบียบด้านบริการของสมาชิกอาเซียนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และลดอุปสรรคทางการค้าที่เกินความจำเป็น รวมทั้งช่วยเพิ่มความโปร่งใสในการใช้มาตรการทางการค้าบริการของประเทศสมาชิกอาเซียน
โดยสรุปก็คือจากการค้าภาคบริการที่มีความสำคัญมากขึ้นต่ออาเซียน บทบาทในฐานะปัจจัยที่ขับเคลื่อนความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และการเปิดเสรีภาคบริการที่เพิ่มมากขึ้นภายใต้ ATISA ทำให้ทุกภาคส่วนควรมีการเตรียมความพร้อมเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคบริการ เพื่อให้สามารถรองรับการเปิดเสรีที่เพิ่มมากขึ้น และเป็นแนวทางในการพัฒนาเศรษฐกิจของอาเซียนในอนาคตต่อไปอีกด้วย
_______________
* แหล่งที่มาของข้อมูล : ดร.สุรเดช จองวรรณศิริ ผู้อำนวยการ TRIS Academy of Management
กลุ่มข้อมูลและวางแผนสื่อสารองค์กร
ฝ่ายสื่อสารองค์กร