Main Page > Economic Articles > บทความวิเคราะห์รายงานทางเศรษฐกิจ (ประจำเดือนสิงหาคม 2565)

บทความวิเคราะห์รายงานทางเศรษฐกิจ (ประจำเดือนสิงหาคม 2565)

        ข้อมูลเดือนมิถุนายน 2565 จากตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน จะเห็นว่าดัชนีราคาผู้บริโภคมีค่าสูงขึ้น เพราะราคาน้ำมันยังมีราคาที่สูงอยู่ต่อไป ในขณะที่ราคาสินค้าจำพวกอาหารสดก็มีราคาที่ปรับตัวสูงขึ้น จึงส่งผลทำให้ราคามีทิศทางที่ปรับตัวสูงขึ้นในเดือนนี้ ส่วนภาคการผลิตยังมีการขยายตัวขึ้นมา เนื่องจากสถานการณ์ของโควิดในต่างประเทศมีการผ่อนคลายมากขึ้น ส่งผลให้ผู้ประกอบการยังเร่งการผลิตตามคำสั่งซื้อที่เริ่มทยอยเข้ามา จึงทำให้ในเดือนนี้มีการผลิตสินค้าที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ในขณะเดียวกันดุลการค้าปรับตัวดีขึ้นและยังมีทิศทางที่เป็นบวกอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการนำเข้ายังมีค่าที่ไม่สูงมากเท่าไรนัก จึงทำให้ไม่น่าเป็นห่วง อย่างไรก็ตามภาวะการเงินยังทรงตัวไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลง โดยปริมาณเงินฝากและเงินให้สินเชื่อมีค่าเพิ่มขึ้น เนื่องจากประชาชนมีการออมสูงขึ้น เนื่องจากต้องการเก็บเงินไว้เพื่อรองรับกับความผันผวนที่ยังมีอยู่ จึงส่งผลให้การออมเงินมีการขยายตัวขึ้นมา ในขณะที่การปล่อยสินเชื่อมีค่ามากขึ้น เนื่องจากเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวแต่ยังคงผันผวนทำให้ธนาคารเริ่มปล่อยสินเชื่อออกมาบ้าง แต่ยังมีความระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อจากตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่เป็นไปอย่างช้าๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาหนี้เสียตามมาอีกด้วย

ตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน

เดือน / รายละเอียด

มีนาคม 65

เมษายน 65

พฤษภาคม 65

มิถุนายน 65

ดัชนีราคาผู้บริโภค

104.79

105.15

106.62

107.58

ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม

109.17

90.29

97.33

97.55

อัตราการใช้กำลังการผลิต

69.33

58.54

62.30

62.41

ดุลการค้า

5,200.34

1,125.80

1,985.45

2,058.62

ดุลบัญชีเดินสะพัด

920.40

-3,057.07

-3,716.16

-1,873.32

เงินฝาก

16,834.39

16,873.17

16,959.28

n.a.

เงินให้สินเชื่อ

18,205.67

18,120.15

18,457.64

n.a.

ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย

หมายเหตุ : 
ดัชนีราคาผู้บริโภค มีปีฐานคือ 2562  เงินฝาก/เงินให้สินเชื่อ มีหน่วยเป็น พันล้านบาท
อัตราการใช้กำลังการผลิต มีหน่วยเป็นร้อยละ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม มีปีฐานคือ 2559
ดุลการค้า ดุลบัญชีเดินสะพัด มีหน่วยเป็น ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา

ภาวะอสังหาริมทรัพย์ เดือนมิถุนายน 2565

  • ด้านอุปทาน
         - ที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เปรียบเทียบ ณ มิ.ย. 64 กับ 65 มีรายละเอียดดังนี้

ปี

จำนวน (ยูนิต)

การเติบโต (%)

ณ มิ.ย. 64

46,800

-15.48%

ณ มิ.ย. 65

39,602

-15.38%

ที่มา : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์

     - ประเภทที่อยู่อาศัยที่มีการจดทะเบียน ณ มิ.ย. 65 เรียงตามลำดับมีรายละเอียดดังนี้

ประเภท

จำนวน (ยูนิต)

สัดส่วน (%)

อาคารชุด

16,812

42.45

บ้านเดี่ยว

14,559

36.76

ทาวน์เฮ้าส์

4,958

12.52

บ้านแฝด

1,863

4.71

อาคารพาณิชย์

1,410

3.56

รวม

39,602

100.00

ที่มา : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์

  • ด้านอุปสงค์
         - การโอนกรรมสิทธิ์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เปรียบเทียบ ณ มิ.ย. 64 กับ 65 มีรายละเอียดดังนี้

ปี

จำนวน (ยูนิต)

การเติบโต (%)

ณ มิ.ย. 64

83,999

-10.07%

ณ มิ.ย. 65

87,330

3.97%

ที่มา : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์

     - ประเภทที่อยู่อาศัยที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ ณ มิ.ย. 65 เรียงตามลำดับมีรายละเอียดดังนี้

ประเภท

จำนวน (ยูนิต)

สัดส่วน (%)

อาคารชุด

34,978

40.05

ทาวน์เฮ้าส์

28,281

32.38

บ้านเดี่ยว

15,580

17.84

บ้านแฝด

4,505

5.16

อาคารพาณิชย์

3,986

4.57

รวม

87,330

100.00

ที่มา : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์

  • อัตราดอกเบี้ยที่อยู่อาศัยบุคคลทั่วไปลอยตัวเฉลี่ยของ 6 ธนาคารใหญ่ มีรายละเอียดดังนี้

ปี 65

อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย

6 ธนาคาร

อัตราดอกเบี้ย

นโยบาย ธปท.

มกราคม-มิถุนายน

5.87

0.50

ที่มา : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์

หมายเหตุ : 6 ธนาคาร ประกอบด้วย ธ.อาคารสงเคราะห์, ธ.กสิกรไทย, ธ.กรุงเทพ, ธ.กรุงศรีอยุธยา,

ธ.กรุงไทย และ ธ.ไทยพาณิชย์

สรุปภาพรวมภาวะอสังหาริมทรัพย์เดือนมิถุนายน 2565

                ภาพรวมของอุปทานมีการปรับตัวลดลง 15.38% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังฟื้นตัวได้ไม่ดี ท่ามกลางความผันผวนที่ยังมีอยู่ อีกทั้งการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ยังไม่ได้ปรับตัวลดลงไป จึงทำให้ผู้ประกอบการชะลอการพัฒนาโครงการออกมา เพื่อรอดูสถานการณ์ให้มีความชัดเจนมากขึ้น ส่งผลให้อุปทานในตลาดมีทิศทางที่หดตัวลงมา ในขณะเดียวกันทางด้านอุปสงค์ก็มีทิศทางที่ขยายตัวขึ้นมาได้ที่ 3.97% เพราะผู้บริโภคเริ่มมีรายได้ที่ดีขึ้นท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นมา ทั้งนี้ที่อยู่อาศัยประเภทอาคารชุดยังมียอดการโอนกรรมสิทธิ์มากที่สุด รองลงมาคือ ทาวน์เฮ้าส์ และบ้านเดี่ยว ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่อยู่อาศัยและอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยยังทรงตัวอยู่ที่ 5.87% และ 0.50% ตามลำดับ

วิเคราะห์เศรษฐกิจนอกระบบพลังเศรษฐกิจของประเทศ

ที่มาของภาพ :  https://www.alnap.org/system/files/styles/grid-4-mobile/private/content/resource/cover/publication-on-informal-economy-4email.png?itok=fwC9I1M0&timestamp=1508289132

        กิจกรรมในระบบเศรษฐกิจแบ่งได้เป็นสองกลุ่ม คือ กิจกรรมที่ถูกกฏหมายและที่ผิดกฎหมาย กิจกรรมที่ถูกกฎหมายก็แบ่งได้เป็นอีกสองกลุ่ม คือ กิจกรรมเศรษฐกิจในระบบและนอกระบบ

​        ​​​​​​กิจกรรมในระบบ หมายถึง กิจกรรมที่ลงทะเบียนกับภาครัฐ อยู่ในระบบข้อมูลของราชการ เป็นฐานภาษีของภาครัฐ กำกับดูแลโดยระเบียบทางการและได้ประโยชน์จากมาตรการภาครัฐ เช่น แรงงานได้รับสวัสดิการสังคม ตรงข้าม กิจกรรมนอกระบบ หมายถึง กิจกรรมเศรษฐกิจที่ถูกกฏหมายแต่ไม่ได้ลงทะเบียนกับภาครัฐ อยู่นอกมาตรการของทางการ ไม่เสียภาษี และไม่ได้ประโยชน์จากมาตรการทางการ เช่น พ่อค้าแม่ค้าแผงลอย ช่างฝีมือที่ประกอบอาชีพด้วยตนเอง

        ทุกประเทศมีเศรษฐกิจนอกระบบ จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับระดับของการพัฒนาประเทศ กองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือไอเอ็มเอฟในปี 2019 เคยศึกษาเรื่องนี้ใช้ข้อมูล 158 ประเทศทั่วโลกช่วงปี 1991-2015 พบว่าเศรษฐกิจนอกระบบทั่วโลกจะเฉลี่ยประมาณ 31.9 เปอร์เซ็นต์ของระบบเศรษฐกิจ สูงสุดอยู่ที่ประเทศซิมบับเว 60.6 เปอร์เซ็นต์ ต่ำสุดประเทศสวิตเซอร์แลนด์และออสเตรีย ที่ 7.2 และ 8.9 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ ของไทยอยู่ที่ 50.6 เปอร์เซ็นต์ ก่อนที่จะลดเหลือ 43.1 เปอร์เซนต์ในปี 2015 ซึ่งถือว่าสูง ประมาณการอื่นๆ เช่น ของสถาบันนิด้าในปี 2007 ก็ออกมาใกล้เคียงกันที่ร้อยละ 39 ประเทศไทยจึงมีขนาดของเศรษฐกิจนอกระบบค่อนข้างใหญ่ และเป็นที่มาของการจ้างงานและเป็นฐานรายได้ของคนจํานวนมาก มีการประเมินว่ากว่าร้อยละ 60 ของกำลังแรงงานไทยทํางานอยู่ในเศรษฐกิจนอกระบบ จึงชัดเจนว่าการพัฒนาเศรษฐกิจนอกระบบให้เติบโตและมีความสามารถในการผลิตสูงขึ้น ก็คือการพัฒนาพลังทางเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของคนในประเทศ

        ปัจจุบันคนจํานวนมากยังมองธุรกิจนอกระบบว่าเป็นส่วนของสังคมที่ไม่ทันสมัย ไม่เจริญ เป็นวิถีชีวิตของผู้มีรายได้น้อยที่ต้องหาเลี้ยงชีพ เป็นการต่อสู้กับความยากจนของคนในสังคม แต่จริงๆ แล้ว ทุกธุรกิจก็เริ่มต้นแบบนี้ เริ่มจากผู้ประกอบการที่อยากทำธุรกิจเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว ซึ่งอาจเริ่มในระบบหรือนอกระบบ ต้องต่อสู้กับความไม่พร้อมและความไม่มีต่างๆ มากในตอนแรกจนกิจการสามารถลืมตาอ้าปากได้จากนั้นถ้าได้รับการสนับสนุนก็สามารถพัฒนาเป็นธุรกิจหรือบริษัทขนาดเล็กในระบบ โตเป็นธุรกิจเอสเอ็มอี เป็นธุรกิจขนาดกลาง เป็นบริษัทจดทะเบียน และอาจไปได้ถึงเป็นบริษัทขนาดใหญ่ของประเทศ นี่ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันแต่เป็นแผนการเดินทางที่เป็นไปได้ของธุรกิจ เป็นการเดินทางไกลที่อาจใช้เวลากว่าหนึ่งชั่วอายุคน แต่เป็นหนทางที่สามารถสร้างความสำเร็จได้ เจ้าสัวประเทศไทยหลายตระกูลจากเสื่อผืนหมอนใบก็เดินทางบนถนนสายนี้

        ดังนั้นสิ่งแรกที่ต้องตระหนักคือเศรษฐกิจนอกระบบเป็นส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจของประเทศที่มีศักยภาพที่จะเติบโต สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเศรษฐกิจและสร้างการมีงานทําให้กับคนในประเทศ สิ่งแรกที่รัฐควรทำคือนําเศรษฐกิจนอกระบบเข้าระบบ คือ ลดขนาดธุรกิจนอกระบบในระบบเศรษฐกิจลง และเริ่มพัฒนาผู้ประกอบการเหล่านี้ เพื่อให้บรรลุศักยภาพที่ประเทศมีในด้านการผลิตและการให้บริการ ซึ่งถ้าทําได้ประโยชน์ต่อประเทศและเศรษฐกิจจะมหาศาล โดยมีข้อเสนอแนะดังต่อไปนี้
        1. ผู้ประกอบการในธุรกิจนอกระบบเป็นคนกลุ่มใหญ่ของประเทศ การพัฒนาคือการทำให้ผลิตภาพหรือความสามารถในการผลิตของคนกลุ่มนี้สูงขึ้น ทั้งในเรื่องความรู้ ทักษะ โอกาส และการบริหารจัดการ เพื่อนําไปสู่การเติบโตของรายได้และพลังทางเศรษฐกิจของประเทศ
        2. การพัฒนาจะมีผลโดยตรงต่อการลดความยากจนและลดความเหลื่อมลํ้า เพราะคนจํานวนมากจะมีโอกาสมากขึ้นในการหารายได้และมีความหวังที่จะเติบโต แต่การดึงผู้ประกอบการนอกระบบเข้าในระบบควรต้องทําอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่เฉียบขาดรุนแรง โดยทําให้เกิดผลแบบวินวินที่ทั้งรัฐและผู้ประกอบการได้ประโยชน์ เพราะธุรกิจนอกระบบเป็นฐานรายได้เดียวของคนจำนวนมาก และยังเป็น Social safety net ที่สำคัญของสังคม คือเป็นช่องทางทํามาหากินให้กับคนในสังคมที่ไม่มีโอกาสอื่นหรือในยามฉุกเฉิน ทำให้ทุกประเทศจึงยังมีเศรษฐกิจนอกระบบอยู่ขนานไปกับเศรษฐกิจในระบบแม้จะเป็นสัดส่วนที่ตํ่ามากก็ตาม
        3. ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ต้องการอยู่ในระบบและทำธุรกิจอย่างถูกต้อง การอยู่นอกระบบจึงเป็นการตัดสินใจทางธุรกิจที่เลือกจะอยู่นอกระบบ เพราะไม่สามารถสู้กับต้นทุนหรือภาระของการอยู่ในระบบได้ พูดง่ายๆ คือถูกผลักดันให้เลือกอยู่นอกระบบ เพราะมาตรการหรือวิธีการบริหารจัดการของภาครัฐ เช่น ความไม่เป็นระบบในการจัดเก็บภาษี มาตรการรัฐที่สร้างภาระให้กับผู้ประกอบการรายใหม่อย่างเกินพอดี เช่น เงื่อนไขการจ้างแรงงาน ทําให้ผู้ประกอบการที่ยังไม่พร้อมรับภาระเลือกที่จะอยู่นอกระบบแทน หรือมาตรการรัฐเอื้อผู้ประกอบการรายใหญ่ทำให้การแข่งขันไม่เป็นธรรมระหว่างรายเล็กกับรายใหญ่ ผลักให้ผู้ประกอบการรายเล็กออกไปนอกระบบแทน

        สิ่งต่างๆ เหล่านี้คือสิ่งที่ควรแก้ไข เพื่อลดแรงจูงใจไม่ให้ออกไปนอกระบบ สนับสนุนด้วยมาตรการอื่นๆ ที่สร้างแรงจูงใจให้ผู้ประกอบการอยากอยู่ในระบบ เป็นต้น และจะเป็นการทำให้เกิดเศรษฐกิจในระบบมากขึ้น ซึ่งจะช่วยสร้างให้เกิดพลังการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศได้เป็นอย่างดี

วิเคราะห์การส่งออกในระยะถัดไปมีความเสี่ยงที่มากขึ้น

        ในภาพรวมการส่งออกรายสินค้าพบว่าแม้ส่วนใหญ่ยังขยายตัวได้ แต่มีบางหมวดสำคัญที่หดตัวหรือชะลอตัวลง ดังนี้

        1. สินค้าเกษตรขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง โดยได้รับอานิสงส์ทั้งด้านปริมาณผลผลิตในไทยที่ดีตามปริมาณน้ำฝนและน้ำในเขื่อนที่เพียงพอและการสนับสนุนจากภาครัฐ และด้านราคาจากการชะงักของอุปทานสินค้าเกษตรในตลาดโลกจากสงครามในยูเครน และมาตรการห้ามการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารในบางประเทศ โดยสินค้าที่เป็นปัจจัยหนุนสำคัญ ได้แก่ ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็งและแห้ง ข้าว และยางพารา
        2. สินค้าอุตสาหกรรมเกษตรขยายตัวได้ดี โดยสินค้าที่เป็นปัจจัยหนุนสำคัญ ได้แก่ ไขมันและน้ำมันจากพืชและสัตว์ น้ำตาลทราย อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ผลไม้กระป๋องและแปรรูป ไก่แปรรูป และอาหารสัตว์เลี้ยง
        3. สินค้าอุตสาหกรรม โดยมีสินค้าที่เป็นปัจจัยหนุนสำคัญ ได้แก่ สินค้ากลุ่มอากาศยานและทองคำ ซึ่งไม่ได้สะท้อนภาพการส่งออกที่แท้จริง ตามมาด้วยผลิตภัณฑ์อะลูมิเนียม เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เป็นต้น  โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์ที่กลับมาขยายตัว และเป็นการกลับมาขยายตัวได้ครั้งแรกในรอบ 3 เดือน สะท้อนถึงปัญหาขาดแคลนชิปที่ยังยืดเยื้อเริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้นในช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ดีรถยนต์และส่วนประกอบยังคงเป็นสินค้าฉุดการส่งออกของไทย จากอุปสงค์โดยรวมของโลกที่ชะลอตัวจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ
        4. สินค้าแร่และเชื้อเพลิง ทั้งนี้การส่งออกเชื้อเพลิงของไทยอาจชะลอตัวลงจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกและค่าการกลั่นที่ปรับตัวลดลงตามความกังวลว่าเศรษฐกิจในประเทศสำคัญหลายประเทศจะเข้าสู่ภาวะถดถอย

​        ​​​​​​ด้านการส่งออกรายตลาดพบว่าการส่งออกไปอาเซียนและอินเดียเป็นตลาดหนุนสำคัญ โดยขยายตัวได้สูงที่สุดในรอบ 6 และ 12 เดือน ถึง 35.6% และ 77.7% ตามลำดับ มูลค่าการส่งออกไปยังสปป.ลาวและเมียนมายังคงขยายตัวได้ดีในเดือนมิถุนายนที่ 10% และ 15.4% ตามลำดับ โดยคาดว่าปัญหาการขาดแคลนเงินทุนสำรองระหว่างประเทศในสปป.ลาวและเมียนมาจะมีผลกระทบต่อการส่งออกของไทยอย่างจำกัด เนื่องจากการส่งออกน้ำมันสำเร็จรูป ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกหลัก ยังได้อานิสงส์จากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่สูงขึ้นและอุปสงค์ที่ฟื้นตัว นอกจากนี้การค้าชายแดนบางส่วนจะใช้เงินบาทในการชำระและมีการทำข้อตกลงจ่ายเงินล่วงหน้าไว้แล้ว ซึ่งจะลดผลกระทบจากปัญหาดังกล่าว ทั้งนี้ความเสี่ยงต่อการส่งออกไทยจะมาจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจสปป.ลาวและเมียนมา และมาตรการห้ามนำเข้าสินค้า เช่น รถยนต์ในเมียนมา ซึ่งจะเป็นความเสี่ยงต่อการส่งออกไทยในระยะต่อไป ในขณะที่การส่งออกไปจีน ญี่ปุ่น และฮ่องกง เป็นตลาดฉุดสำคัญ โดยเฉพาะมูลค่าการส่งออกไปจีนที่เริ่มหดตัว สะท้อนถึงความกังวลของเศรษฐกิจที่ยังซบเซาโดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์และความเสี่ยงในการปิดเมือง รวมถึงภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวอาจทำให้การนำเข้าวัตถุดิบการผลิตของจีนชะลอตัวลง ทั้งนี้ในระยะถัดไปหากพิจารณาถึงระดับราคาสินค้าที่ยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ปริมาณนำเข้าโดยรวมของจีนและปริมาณการส่งออกของไทยไปจีนอาจลดลง สอดคล้องกับการส่งออกไปสหรัฐฯ ที่ขยายตัวต่ำสุดในรอบ 14 เดือน จากความกังวลของความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยที่เพิ่มสูงขึ้น และการส่งออกไปยุโรป (EU28) ที่ได้รับผลกระทบจากสงครามโดยตรงจากอุปทานด้านพลังงานและเป็นตลาดส่งออกสำคัญของไทย ขณะที่การส่งออกไปรัสเซียและยูเครนยังคงหดตัว แต่ไม่ได้มีนัยต่อเศรษฐกิจไทยมากนัก เนื่องจากเป็นตลาดส่งออกขนาดเล็กของไทย

        ส่งออกไทยขยายตัวได้ดีในช่วงครึ่งแรกของปีและคาดว่าจะยังคงขยายตัวได้ต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปีจากอานิสงส์เงินบาทที่มีแนวโน้มอ่อนค่า ทำให้หลายกลุ่มสินค้าได้รับประโยชน์โดยเฉพาะสินค้าที่พึ่งพาปัจจัยการผลิตนำเข้าน้อยและพึ่งพาตลาดต่างประเทศสูง แต่หากพิจารณาถึงองค์ประกอบของการขยายตัวในช่วงที่ผ่านมาพบว่าการขยายตัวมาจากปัจจัยด้านราคามากขึ้น จากการขาดแคลนสินค้าเกษตรในตลาดโลก และระดับราคาสินค้าส่งออกที่อยู่ในระดับสูง โดยในระยะถัดไปที่ภาวะเศรษฐกิจโลกมีความเสี่ยงชะลอตัวเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับข้อมูลดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิต (Global Manufacturing PMI) ที่อยู่ในระดับที่ต่ำที่สุดในรอบ 22 เดือน และดัชนีคำสั่งซื้อจากต่างประเทศ (Export orders) ที่อยู่ในระดับหดตัวติดต่อกัน 4 เดือน ในช่วงครึ่งปีหลัง ทำให้คาดการณ์ว่าการส่งออกของไทยจะชะลอตัวลงโดยเฉพาะจากด้านปริมาณ ตามกำลังซื้อของประเทศผู้นำเข้า ทั้งจากปัจจัยเงินเฟ้อที่เร่งตัวสูงขึ้นทั่วโลกส่งผลให้ธนาคารกลางในหลายประเทศจำเป็นต้องนำเอามาตรการการเงินที่ตึงตัวมาใช้เร็วและแรงมากขึ้น ตลาดจีนที่ยังมีความเสี่ยงจากการนำมาตรการควบคุมโรคที่เข้มข้นมาใช้และจากการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจในประเทศ ตลาดยุโรปที่มีความเสี่ยงจากภาวะสงคราม ตลาดสปป.ลาวและเมียนมาที่มีความเสี่ยงด้านเสถียรภาพภายในประเทศ ความผันผวนในตลาดการเงินของศรีลังกาและปากีสถานที่อาจกระทบต่อไปยังประเทศกำลังพัฒนาอื่น รวมถึงปัญหาการชะงักของอุปทานที่ยังคงมีอยู่และอาจส่งผลกระทบต่อเนื่องไปจนถึงปี 2566 กระทบต่อไปยังสินค้าขั้นปลายต่างๆ โดยเฉพาะรถยนต์ แม้แรงกดดันด้านราคาเซมิคอนดักเตอร์และราคาวัตถุดิบต่างๆ จะเริ่มส่งสัญญาณดีขึ้นก็ตาม

กลุ่มประชาสัมพันธ์

ฝ่ายสื่อสารองค์กรและนักลงทุนสัมพันธ์

 

แหล่งที่มาของข้อมูล : ดร.บัณฑิต นิจถาวร เศรษฐศาสตร์บัณฑิต

Economic Articles

19 AUG 2022

683 Views

BAM Mobile Application

ค้นหาทรัพย์ง่ายๆ เพียงปลายนิ้วสัมผัส

บริการฝากขาย
อสังหาฯ
ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย