บทความวิเคราะห์รายงานทางเศรษฐกิจ (ประจำเดือนธันวาคม 2561)
ข้อมูลเดือนตุลาคม 2561 จากตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน จะเห็นว่าดัชนีราคาผู้บริโภคมีค่าเพิ่มขึ้น เพราะราคาน้ำมันมีการปรับตัวสูงขึ้นมาบ้าง ในขณะที่ราคาสินค้าจำพวกอาหารสดมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นด้วย ส่งผลทำให้ราคามีการปรับตัวสูงขึ้นมา ส่วนภาคการผลิตมีการปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการเริ่มเร่งการผลิตสินค้าออกมา เพราะเข้าสู่ช่วงปลายปีที่ต้องมีการผลิตสินค้ามากขึ้นตามคำสั่งของต่างประเทศที่มีการทยอยการสั่งผลิตสินค้าเข้ามา จึงทำให้ในเดือนนี้มีการผลิตสินค้าออกมาได้เพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกันดุลการค้าปรับตัวน้อยลงแต่ยังมีทิศทางที่เป็นบวกอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการนำเข้ายังมีการปรับลดลงไปค่อนข้างมาก จึงทำให้ไม่น่าเป็นห่วง อย่างไรก็ตามภาวะการเงินยังทรงตัวไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลง โดยปริมาณเงินฝากมีค่าลดลงแต่เงินให้สินเชื่อมีค่าเพิ่มขึ้น เนื่องจากธนาคารไม่มีแคมเปญเงินฝากใหม่ออกมา ทำให้ประชาชนไม่มีการนำเงินมาฝากเท่าไรนัก ส่งผลให้ประชาชนมีการออมเงินน้อยลง ในขณะที่การปล่อยสินเชื่อมีการปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากธนาคารทยอยปล่อยสินเชื่อออกมาหลังจากที่ช่วงก่อนหน้าได้มีการชะลอการปล่อยสินเชื่อออกไป จึงทำให้การปล่อยสินเชื่อปรับตัวได้ดีขึ้น แต่ก็ยังคงมีความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาหนี้เสียตามมาอีกด้วย
ตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน
|
รายละเอียด |
กรกฎาคม 61 |
สิงหาคม 61 |
กันยายน 61 |
ตุลาคม 61 |
| ดัชนีราคาผู้บริโภค |
102.00 |
102.27 |
102.57 |
102.63 |
| ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม |
111.78 |
111.39 |
111.00 |
115.38 |
| อัตราการใช้กำลังการผลิต |
66.68 |
66.34 |
66.09 |
67.75 |
| ดุลการค้า |
857.75 |
603.77 |
1,962.73 |
1,255.48 |
| ดุลบัญชีเดินสะพัด |
1,086.46 |
752.60 |
2,369.23 |
1,887.61 |
| เงินฝาก |
13,482.21 |
13,438.02 |
13,419.13 |
n.a. |
| เงินให้สินเชื่อ |
14,919.50 |
15,085.68 |
15,095.26 |
n.a. |
ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย
หมายเหตุ: ดัชนีราคาผู้บริโภค มีปีฐานคือ 2558 เงินฝาก/เงินให้สินเชื่อ มีหน่วยเป็น พันล้านบาท
อัตราการใช้กำลังการผลิต มีหน่วยเป็น ร้อยละ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม มีปีฐานคือ 2554
ดุลการค้า ดุลบัญชีเดินสะพัด มีหน่วยเป็น ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา
ภาวะอสังหาริมทรัพย์ เดือนตุลาคม 2561
• ด้านอุปทาน
- ที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เปรียบเทียบ ณ ต.ค. 60 กับ 61 มีรายละเอียดดังนี้
|
ปี |
จำนวน(ยูนิต) |
การเติบโต(%) |
|
ณ ต.ค. 60 |
93,489 |
-17.96% |
|
ณ ต.ค. 61 |
99,090 |
5.99% |
ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
- ประเภทที่อยู่อาศัยที่มีการจดทะเบียน ณ ต.ค. 61 เรียงตามลำดับมีรายละเอียดดังนี้
|
ประเภท |
จำนวน(ยูนิต) |
สัดส่วน(%) |
|
อาคารชุด |
51,115 |
51.58 |
|
บ้านเดี่ยว |
27,413 |
27.66 |
|
ทาวน์เฮ้าส์ |
16,147 |
16.30 |
|
อาคารพาณิชย์ |
3,080 |
3.11 |
|
บ้านแฝด |
1,335 |
1.35 |
|
รวม |
99,090 |
100.00 |
ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
• ด้านอุปสงค์
-การโอนกรรมสิทธิ์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เปรียบเทียบ ณ ต.ค. 60 กับ 61 มีรายละเอียดดังนี้
|
ปี |
จำนวน(ยูนิต) |
การเติบโต(%) |
|
ณ ต.ค. 60 |
126,135 |
-14.02% |
|
ณ ต.ค. 61 |
157,057 |
24.52% |
ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
-ประเภทที่อยู่อาศัยที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ ณ ต.ค. 61 เรียงตามลำดับมีรายละเอียดดังนี้
|
ประเภท |
จำนวน(ยูนิต) |
สัดส่วน(%) |
|
อาคารชุด |
77,531 |
49.22 |
|
ทาวน์เฮ้าส์ |
44,933 |
28.53 |
|
บ้านเดี่ยว |
21,823 |
13.86 |
|
อาคารพาณิชย์ |
7,722 |
4.90 |
|
บ้านแฝด |
5,498 |
3.49 |
|
รวม |
157,057 |
100.00 |
ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
- อัตราดอกเบี้ยที่อยู่อาศัยบุคคลทั่วไปลอยตัวเฉลี่ยของ 6 ธนาคารใหญ่ มีรายละเอียดดังนี้
|
ปี 61 |
อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย |
อัตราดอกเบี้ยนโยบาย ธปท. |
|
มกราคม-มีนาคม |
6.31 |
1.50 |
|
เมษายน |
6.35 |
1.50 |
|
พฤษภาคม-ตุลาคม |
6.27 |
1.50 |
ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
หมายเหตุ: 6 ธนาคาร ประกอบ ธ.อาคารสงเคราะห์, ธ.กสิกรไทย, ธ.กรุงเทพ,
ธ.กรุงศรีอยุธยา, ธ.กรุงไทย และ ธ.ไทยพาณิชย์
สรุปภาพภาวะอสังหาริมทรัพย์เดือนตุลาคม 2561
ภาพรวมของอุปทานมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น 5.99% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจยังมีทิศทางเติบโต ประกอบกับภาครัฐเร่งการลงทุนในโครงการต่างๆ ให้เป็นไปตามเป้าที่วางไว้ ทำให้ผู้ประกอบการมั่นใจและพัฒนาโครงการอยู่ต่อไป ส่งผลให้อุปทานในตลาดมีการปรับตัวสูงขึ้น ในขณะที่ทางด้านอุปสงค์ปรับตัวเพิ่มขึ้น 24.52% เพราะสถาบันการเงินมีการปล่อยสินเชื่อตามแนวโน้มเศรษฐกิจที่ยังขยายตัว แต่ก็มีความระมัดระวังเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับหนี้ด้อยคุณภาพตามมา รวมไปถึงผู้บริโภคยังมีความต้องการซื้อ ทั้งนี้ที่อยู่อาศัยประเภทอาคารชุดยังมียอดการโอนกรรมสิทธิ์มากที่สุด รองลงมาคือ ทาวน์เฮ้าส์ และบ้านเดี่ยว ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่อยู่อาศัยทรงตัวที่ 6.27% โดยที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายไม่เปลี่ยนแปลงมีค่าอยู่ที่ 1.50%
วิเคราะห์ทิศทางเศรษฐกิจโลกและไทยกับความผันผวนในปี 2562*
ทิศทางของเศรษฐกิจโลกในปีหน้ามีแนวโน้มว่าเศรษฐกิจโลกจะอ่อนแอกว่าปีนี้ เพราะปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจโลกอ่อนแอลงมากจากปัจจัยสนับสนุนต่างๆ ที่กำลังหมดบทบาทลง และจะไม่สนับสนุนเศรษฐกิจโลกเหมือนเดิม กล่าวคือ ภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำจะหมดไป ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อในปีหน้าเพื่อให้นโยบายการเงินกลับเข้าสู่ระดับปกติ แรงกระตุ้นจากการลดภาษีของรัฐบาลทรัมป์ที่จะเริ่มหมดลง ราคาน้ำมันจะปรับสูงขึ้นแต่จะผันผวน สะท้อนภาวะตลาดและมาตรการของสหรัฐอเมริกาที่ห้ามซื้อขายน้ำมันดิบกับอิหร่าน ที่สำคัญที่สุดเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาและจีนจะขยายตัวในอัตราที่ลดลง จากปัญหาข้อพิพาททางการค้าระหว่างสองประเทศนี้ ที่จะทำให้การค้าโลกชะลอ รวมถึงผลจากปัญหาภูมิศาสตร์การเมืองที่มีอยู่ในเศรษฐกิจโลกขณะนี้ สิ่งเหล่านี้ทำให้ปัจจัยสนับสนุนเศรษฐกิจโลกมีน้อยลงเทียบกับปีก่อน สะท้อนความอ่อนแอของปัจจัยพื้นฐานที่กระทบความต้องการใช้จ่ายและกำไรของภาคธุรกิจ
แต่ที่จะกระทบเศรษฐกิจโลกมากปีหน้า คือ ความไม่แน่นอนที่มาจากข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนที่ได้ยืดเยื้อมานานและจะไม่ยุติง่ายๆ เพราะสหรัฐอเมริกาได้ประกาศขึ้นอัตราภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเกือบทั้งหมดร้อยละ 25 ในปีหน้า การศึกษาผลกระทบของไอเอ็มเอฟในประเด็นนี้ชี้ว่าการเพิ่มภาษีจะกระทบทั้งสหรัฐอเมริกาและจีน และส่งผ่านมาถึงเศรษฐกิจโลก กล่าวคือ ประมาณว่าผลของการเพิ่มภาษีจะทำให้การขยายตัวเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาลดลงร้อยละ 0.9 ปีหน้า ของจีนลดลงประมาณร้อยละ 0.6 และเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวลดลงเพราะผลกระทบนี้ประมาณร้อยละ 0.4 ผ่านผลกระทบต่อการค้าโลกและเศรษฐกิจประเทศต่างๆ ที่ไม่แน่นอนก็คือ ข้อพิพาทนี้จะจบลงเมื่อไร ซึ่งไม่มีใครตอบได้ แม้แต่คู่กรณีเอง เพราะข้อพิพาทได้กลายเป็นปัญหาการเมืองระหว่างประเทศหรือภูมิศาสตร์การเมืองไปแล้ว ทำให้การแก้ไขปัญหาจะยากและยืดเยื้อ ความไม่แน่นอนนี้ทำให้บริษัทเอกชนเริ่มปรับตัว ย้ายฐานการผลิตออกจากจีน ออกจากห่วงโซ่การผลิตของจีน และกล้าแข่งขันกับจีนในสินค้าที่จีนส่งไปขายในสหรัฐอเมริกา
อีกประเด็นที่จะเป็นปัจจัยลบต่อเศรษฐกิจโลกปีหน้า คือ ความเสี่ยงของการเกิดวิกฤติเศรษฐกิจในประเทศอย่างอิตาลีและประเทศตลาดเกิดใหม่ปีหน้า จากที่หลายประเทศมีอาการความอ่อนแอในแง่เสถียรภาพเศรษฐกิจ เช่น อาร์เจนติน่า แอฟริกาใต้ ปากีสถาน อียิปต์ ศรีลังกา และตุรกี ที่สาเหตุหลักมาจากการก่อหนี้ต่างประเทศที่ได้เพิ่มสูงขึ้นมากช่วงก่อนหน้า ทำให้เศรษฐกิจประเทศเหล่านี้ขยายตัวได้มาก แต่พออัตราดอกเบี้ยในตลาดโลกเปลี่ยนเป็นขาขึ้น ก็เกิดเงินทุนไหลออก กดดันให้ค่าเงินของประเทศเหล่านี้อ่อนลง และเศรษฐกิจเริ่มชะลอตัวลง ทำให้ความสามารถในการชำระหนี้เป็นปัญหา หนี้เสียเพิ่มสูงขึ้น กระทบความสามารถในการหารายได้ของธุรกิจที่มีภาระหนี้ต้องชำระ พลวัตในลักษณะนี้ ในอดีตได้นำไปสู่การเกิดวิกฤติเศรษฐกิจในประเทศที่มีหนี้มาก เพราะความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัทธุรกิจถูกกระทบ ทำให้มีความห่วงใยว่าถ้าธนาคารกลางสหรัฐอเมริกายังเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อในปีหน้า โอกาสที่ประเทศตลาดเกิดใหม่ที่มีหนี้มากจะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ เพราะไม่สามารถชำระหนี้ต่างประเทศได้ ก็เป็นความเสี่ยงที่ประมาทไม่ได้ ซึ่งจะมีผลต่อเศรษฐกิจโลก นี่เป็นอีกความไม่แน่นอนหนึ่งที่กระทบความเชื่อมั่นของนักลงทุน
จากความไม่แน่นอนและปัจจัยความอ่อนแอที่กล่าวนี้ รวมถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาและจีน ตลาดหุ้นทั่วโลกได้ปรับลดลงต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา สะท้อนความห่วงใยที่นักลงทุนมีต่อปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจโลก ประมาณการเศรษฐกิจโลกปีหน้าจากหลายสำนัก เช่น ไอเอ็มเอฟ เอเอ็มอาร์โอ ธนาคารโลก จึงให้เศรษฐกิจโลกขยายตัวเท่ากับหรือลดลงกว่าปีนี้ ซึ่งจะกระทบต่อเศรษฐกิจไทย เพราะไทยเป็นเศรษฐกิจเปิดที่โมเดลการเติบโตพึ่งการส่งออกและการท่องเที่ยวเป็นหลัก เมื่อเศรษฐกิจโลกชะลอ ก็จะกระทบการส่งออกและการท่องเที่ยวที่เศรษฐกิจไทยได้ประโยชน์
สำหรับเศรษฐกิจไทยเอง ปัจจัยที่จะสำคัญต่อเศรษฐกิจปีหน้า นอกเหนือจากเศรษฐกิจโลก คือ ความไม่แน่นอนของสถานการณ์การเมืองในประเทศที่จะมีการเลือกตั้ง ซึ่งไม่ชัดเจนว่าใครจะเป็นผู้นำรัฐบาล รัฐบาลใหม่จะมีนโยบายอย่างไร ใกล้เคียงหรือแตกต่างเทียบกับรัฐบาลปัจจุบัน และอายุของรัฐบาลจะอยู่ได้นานแค่ไหน เหล่านี้คือความไม่แน่นอนที่ขณะนี้กระทบการตัดสินใจของภาคธุรกิจ ทำให้นักลงทุนรอดูสถานการณ์และไม่ตัดสินใจ
นอกจากปัญหาการเมือง ปีหน้าเศรษฐกิจไทยก็จะต้องอดทนกับปัญหาต่างๆ ที่ประเทศมี แต่ยังไม่มีการแก้ไข ไม่มีการปฏิรูป เช่น ปัญหาความสามารถในการแข่งขัน และโมเดลเศรษฐกิจที่พึ่งภาคส่งออกและท่องเที่ยว ทำให้การเติบโตของเศรษฐกิจไม่กระจาย แต่กระจุกตัวเฉพาะในธุรกิจที่ได้ประโยชน์จากภาคต่างประเทศ นอกจากนี้ก็มีปัญหาธรรมาภิบาลที่เป็นจุดอ่อนสำคัญของประเทศ นำไปสู่ปัญหาคอร์รัปชันและการบังคับใช้กฎหมายที่อ่อนแอ กระทบแรงจูงใจทางเศรษฐกิจ ก่อให้เกิดการผูกขาดทางธุรกิจ กระทบการลงทุนและการตัดสินใจในการทำธุรกิจ และเมื่อปัญหาที่อยู่ไม่มีการแก้ไข เศรษฐกิจไทยก็ไม่มีอะไรใหม่ที่จะเป็นฐานของการเติบโตในอนาคต กลายเป็นว่าปีหน้าคงจะเป็นอีกปีของเศรษฐกิจบนพื้นฐานเดิมๆ ที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
ด้วยเหตุนี้ประมาณการเศรษฐกิจของสำนักต่างๆ ทั้งภาครัฐ ต่างประเทศ และเอกชน มองแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปีหน้าไม่ดีเท่าปีนี้ การขยายตัวของเศรษฐกิจปีหน้าจะต่ำกว่าปีนี้ในอัตราประมาณ 3.8 - 4.3% ต่ำกว่าอัตราเฉลี่ยของภูมิภาค การใช้จ่ายของประชาชนจะถูกจำกัด โดยการเติบโตของรายได้ที่ช้าและระดับหนี้ครัวเรือนที่สูง ขณะที่การใช้จ่ายภาครัฐก็จะมีข้อจำกัดจากอัตราการเบิกจ่ายที่ต่ำ ทำให้การเติบโตของเศรษฐกิจจะเป็นแบบตั้งรับ (Passive) ที่สะท้อนโมเมนตัมของเศรษฐกิจโลกและการค้าโลกเป็นหลัก ซึ่งจากภาพรวมที่วิเคราะห์ไปแล้วดังกล่าวข้างต้นจึงทำให้เห็นภาพว่าเศรษฐกิจโลกและไทยคงจะมีความผันผวนที่มากขึ้น ดังนั้นผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกคนจำเป็นที่จะต้องเตรียมตัวและติดตามสถานการณ์ต่างๆ อย่างใกล้ชิด เพื่อที่จะได้รองรับกับความเสี่ยงที่จะตามได้เป็นอย่างดี
เครื่องมือการวิเคราะห์พฤติกรรมมนุษย์สำหรับการกำหนดนโยบายให้มีประสิทธิภาพ
ทำไมแนวคิดนโยบายดีๆ พอนำไปใช้จริงแล้วถึงไม่ตอบโจทย์สร้างการเปลี่ยนแปลงทางสังคม สาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งก็เพราะพฤติกรรมของมนุษย์นั้นยากที่จะคาดการณ์ได้ ดังนั้นการกำหนดนโยบายออกมาให้ถูกใจประชาชนนั้นจึงเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างมาก เพราะพฤติกรรมคนแตกต่างกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพฤติกรรมของคนในแต่ละบริบท แต่ละพื้นที่ก็แตกต่างกันไปด้วย
การที่รัฐบาลคิดนโยบายหรือมีความคิดดีๆ แต่เมื่อประกาศเป็นนโยบายแล้วกลับไม่ตอบโจทย์ประชาชนจนสร้างการเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรมที่ดีและยั่งยืน นับเป็นปัญหาสำคัญที่หลายประเทศทั่วโลกต่างเผชิญคล้ายๆ กัน เพราะแม้แต่ความคิดที่ดีที่สุดก็อาจล้มเหลวได้ในระหว่างการนำไปสู่การปฏิบัติ ข้อจำกัดสำคัญในขั้นตอนของการกำหนดนโยบายที่หลายประเทศประสบปัญหา คือ มักจะไม่มีเวลาทดลองและทดสอบเพื่อให้ได้หลักฐานเชิงประจักษ์ต่างๆ ว่านโยบายต่างๆ สร้างผลกระทบจริงกับประชาชน และหากจะทำการทดลองจริงๆ ก็ดูจะใช้เวลาที่นานเป็นปี
แต่ขณะนี้มีตัวอย่างโมเดลที่น่าสนใจในการช่วยทดสอบพฤติกรรมของประชาชนก่อนจะออกเป็นนโยบาย ซึ่งประเทศอังกฤษได้มีการติดตั้งแพลตฟอร์มหนึ่งขึ้นมา ชื่อ “Predictiv” ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มออนไลน์สำหรับการทดสอบพฤติกรรมของประชาชน และมีส่วนช่วยภาครัฐในการทดสอบว่านโยบายและมาตรการใหม่ๆ จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีหรือไม่ ก่อนที่จะนำนโยบายไปใช้ในวงกว้าง
แพลตฟอร์ม Predictiv ได้เปิดตัวในปี 2016 โดยหน่วยงานที่ชื่อว่า Behavioral Insights Team (BIT) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ใช้แนวคิดเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมในการออกแบบนโยบายสาธารณะและได้สร้างเครื่องมือดิจิทัลเพื่อแก้ไขปัญหาทางสังคม โดยเน้นการออกแบบโครงการที่ช่วยสะกิด (Nudge) ให้คนเลือกพฤติกรรมที่ดีได้อย่างง่ายๆ เช่น ออกแบบฟอร์มภาษีที่ช่วยสะกิดให้คนจ่ายภาษีตรงเวลา หรือการออกแบบบิลค่าไฟเพื่อให้คนอยากใช้ไฟอย่างประหยัด เป็นต้น
ทั้งนี้จากปัญหาข้อจำกัดด้านเวลาและความเป็นจริงทางการเมือง บางครั้งอาจทำให้ยากที่จะ “ทดลองนโยบายในภาคสนาม” ได้ แพลตฟอร์ม Predictiv จึงเป็นทางออกสำคัญ เพราะเป็นแพลตฟอร์มการวิจัยพฤติกรรมแบบออนไลน์ที่ออกแบบโดยนักวิทยาศาสตร์ด้านพฤติกรรมเพื่อทดสอบว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับพฤติกรรมของคนเมื่อได้รับผลจากนโยบายต่างๆ โดยสามารถเปรียบเทียบผลการทดลองระหว่างกลุ่มตัวอย่างประชาชนที่เป็นกลุ่มควบคุม (Control Group) กับกลุ่มตัวอย่างประชาชนที่จะได้รับผลทางนโยบาย (Intervention Group) ซึ่งเป็นวิธีการมาตรฐานที่เรียกว่า Randomised Controlled Trials (RCT) ที่น่าสนใจคือ แพลตฟอร์ม Predictiv นี้มีฐานข้อมูลประชาชนที่พร้อมจะเข้าร่วมทดลองขนาดใหญ่แล้วถึง 4 ล้านคน
ในทางปฏิบัติหน่วยงานที่ต้องการออกนโยบายของอังกฤษสามารถนำนโยบายของตนมาทดสอบบน Predictiv ซึ่งจะทำให้ได้รับทราบผลกระทบต่อพฤติกรรมของประชาชนเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม แพลตฟอร์มนี้จึงทำให้หน่วยงานสามารถทราบได้โดยเร็วว่านโยบายมีผลกระทบให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมจริง เป็นไปตามที่ตั้งใจไว้ โดยมีหลักฐานเชิงประจักษ์รองรับอย่างรวดเร็วภายในเวลาเพียง 1-2 สัปดาห์ เทียบกับในแบบเดิมที่ต้องออกแบบการทดลองเอง ซึ่งจะใช้เวลานานเป็นปีและมีต้นทุนสูงมาก จนกระทั่งหน่วยงานส่วนใหญ่อาจตัดสินใจออกนโยบายไปเลยโดยข้ามขั้นตอนการทดสอบพฤติกรรมประชาชนไป
อังกฤษได้อาศัยแพลตฟอร์มนี้ทดสอบพฤติกรรมคนมากกว่า 30 ครั้ง และนำผลการวิจัยที่ได้จากการทดสอบเชิงพฤติกรรมนี้ไปสู่การกำหนดนโยบายของรัฐบาล ตัวอย่างที่ Predictiv นำมาใช้เพื่อทดสอบพฤติกรรมประชาชน เช่น การเปลี่ยนแปลงรูปแบบใบแจ้งยอดบัตรเครดิตที่จะส่งผลให้มียอดการชำระเงินรายเดือนเพิ่มขึ้น การเปลี่ยนแปลงแบบฟอร์มความยินยอมให้ข้อมูลส่วนตัวที่จะช่วยให้ประชาชนยินยอมตกลงให้ข้อมูลกับภาครัฐเพิ่มขึ้น การเปลี่ยนแปลงแบบฟอร์มภาษีออนไลน์ที่จะช่วยเพิ่มความถูกต้องของข้อมูลที่ผู้เสียภาษีกรอกให้ เป็นต้น
จากการศึกษาโมเดลนี้ทำให้เห็นประโยชน์สำคัญ คือ แพลตฟอร์มนี้ช่วยให้รัฐบาลสามารถทดสอบประสิทธิภาพนโยบาย โครงการและบริการภาครัฐผ่านทางออนไลน์จึงเป็นวิธีที่เร็ว ถูก และง่ายกว่าในการทดสอบหรือวิจัยในภาคสนาม รวมทั้งช่วยเอื้อให้หน่วยงานต่างๆ ทดสอบแนวคิดของตนก่อนจะออกมาตรการหรือนโยบายใดๆ ออกไป
จากบทเรียนที่ได้เรียนรู้จาก Predictiv ทำให้คิดย้อนไปถึงการประกาศนโยบายของประเทศไทยในอดีตที่บางครั้งอาจไม่ตอบโจทย์ประชาชนเสมอไป หรือบางนโยบายอาจถูกใจประชาชนในระยะสั้น แต่สร้างความเสียหายให้กับประเทศในระยะยาวก็มีให้ได้เห็นกันมาหลายตัวอย่าง ดังนั้นการเข้าใจพฤติกรรมของประชาชนได้อย่างลึกซึ้ง จึงเป็นหัวใจสำคัญของการออกแบบนโยบายสาธารณะ พร้อมๆ กันนั้นการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี แพลตฟอร์มออนไลน์ในยุคดิจิทัล เพื่อทำการทดสอบผลกระทบจากนโยบายต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของประชาชนจำนวนมากได้ในเวลาอันสั้นและต้นทุนไม่สูงนัก จึงนับว่าเป็นหนึ่งในนวัตกรรมที่น่าจะเหมาะกับยุคไทยแลนด์ 4.0 เป็นอย่างดี อันจะเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยทำให้การวางนโนบายมีประสิทธิภาพได้มากยิ่งขึ้นตามมาอีกด้วย
_______________
* แหล่งที่มาของข้อมูล : ดร.บัณฑิต นิจถาวร คอลัมนิสต์ประจำคอลัมน์ "เศรษฐศาสตร์บัณฑิต"
กลุ่มข้อมูลและวางแผนสื่อสารองค์กร
ฝ่ายสื่อสารองค์กร