บทความวิเคราะห์รายงานทางเศรษฐกิจ (ประจำเดือนตุลาคม 2560)
ข้อมูลเดือนสิงหาคม 2560 จากตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน จะเห็นว่าดัชนีราคาผู้บริโภคมีค่าเพิ่มขึ้น เพราะราคาน้ำมันเริ่มมีทิศทางที่สูงขึ้นประกอบกับราคาสินค้าจำพวกอาหารสดมีราคาทรงตัวไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเท่าไรนัก ส่งผลทำให้ราคามีการปรับตัวสูงขึ้นมา ส่วนภาคการผลิตมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการเริ่มมีการผลิตสินค้าออกมาบ้างหลังจากได้ชะลอตัวไปในช่วงก่อนหน้า จึงทำให้ในเดือนนี้มีการผลิตสินค้าออกมาได้สูงขึ้น ในขณะเดียวกันดุลการค้าปรับตัวสูงขึ้นและยังมีทิศทางที่เป็นบวกอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการนำเข้ายังมีการปรับเพิ่มขึ้นไปไม่ได้มาก จึงทำให้ไม่น่าเป็นห่วง อย่างไรก็ตามภาวะการเงินยังทรงตัวไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลง โดยปริมาณเงินฝากและเงินให้สินเชื่อมีค่าเพิ่มขึ้น เนื่องจากการลงทุนในตลาดอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นตลาดหลักทรัพย์หรือตลาดพันธบัตรยังมีผลตอบแทนที่ไม่มากนัก ประกอบกับประชาชนเริ่มมีการนำเงินมาฝากมากขึ้นตามที่ธนาคารเริ่มมีโปรโมชั่นเงินฝาก จึงทำให้ประชาชนออมเงินมากขึ้นมา ส่งผลให้การฝากเงินปรับตัวสูงขึ้น ในขณะที่การปล่อยสินเชื่อมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากธนาคารได้มีการปล่อยสินเชื่อออกมาบ้าง จึงทำให้สินเชื่อมีการขยายตัวขึ้น แต่ก็ยังคงมีความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาหนี้เสียตามมาอีกด้วย
ตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน
|
รายละเอียด |
พฤษภาคม 60 |
มิถุนายน 60 |
กรกฎาคม 60 |
สิงหาคม 60 |
| ดัชนีราคาผู้บริโภค |
100.64 |
100.66 |
100.53 |
100.64 |
| ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม |
111.56 |
107.79 |
104.55 |
107.38 |
| อัตราการใช้กำลังการผลิต |
62.22 |
61.39 |
60.02 |
62.46 |
| ดุลการค้า |
2,173.51 |
2,941.07 |
1,343.92 |
3,398.91 |
| ดุลบัญชีเดินสะพัด |
839.31 |
4,080.35 |
2,764.02 |
4,656.94 |
| เงินฝาก |
12,789.19 |
12,831.13 |
12,857.62 |
n.a. |
| เงินให้สินเชื่อ |
14,053.61 |
14,108.87 |
14,269.89 |
n.a. |
ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย
หมายเหตุ: ดัชนีราคาผู้บริโภค มีปีฐานคือ 2558 เงินฝาก/เงินให้สินเชื่อ มีหน่วยเป็น พันล้านบาท
อัตราการใช้กำลังการผลิต มีหน่วยเป็น ร้อยละ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม มีปีฐานคือ 2554
ดุลการค้า ดุลบัญชีเดินสะพัด มีหน่วยเป็น ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา
ภาวะอสังหาริมทรัพย์ เดือนสิงหคม 2560
• ด้านอุปทาน
- ที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เปรียบเทียบ ณ ส.ค. 59 กับ 60 มีรายละเอียดดังนี้
|
ปี |
จำนวน(ยูนิต) |
การเติบโต(%) |
|
ณ ส.ค. 59 |
86,278 |
NA |
|
ณ ส.ค. 60 |
66,948 |
-22.40% |
ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
- ประเภทที่อยู่อาศัยที่มีการจดทะเบียน ณ ส.ค. 60 เรียงตามลำดับมีรายละเอียดดังนี้
|
ประเภท |
จำนวน(ยูนิต) |
สัดส่วน(%) |
|
อาคารชุด |
34,060 |
50.87 |
|
บ้านเดี่ยว |
19,935 |
29.78 |
|
ทาวน์เฮ้าส์ |
8,254 |
12.33 |
|
อาคารพาณิชย์ |
3,362 |
5.02 |
|
บ้านแฝด |
1,337 |
2.00 |
|
รวม |
66,948 |
100.00 |
ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
• ด้านอุปสงค์
-การโอนกรรมสิทธิ์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เปรียบเทียบ ณ ส.ค. 59 กับ 60 มีรายละเอียดดังนี้
|
ปี |
จำนวน(ยูนิต) |
การเติบโต(%) |
|
ณ ส.ค. 59 |
121,264 |
NA |
|
ณ ส.ค. 60 |
97,800 |
-19.35% |
ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
-ประเภทที่อยู่อาศัยที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ ณ ส.ค. 60 เรียงตามลำดับมีรายละเอียดดังนี้
|
ประเภท |
จำนวน(ยูนิต) |
สัดส่วน(%) |
|
อาคารชุด |
46,632 |
47.68 |
|
ทาวน์เฮ้าส์ |
29,961 |
30.64 |
|
บ้านเดี่ยว |
13,487 |
13.79 |
|
อาคารพาณิชย์ |
4,161 |
4.25 |
|
บ้านแฝด |
3,559 |
3.64 |
|
รวม |
97,800 |
100.00 |
ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
- อัตราดอกเบี้ยที่อยู่อาศัยบุคคลทั่วไปลอยตัวเฉลี่ยของ 6 ธนาคารใหญ่ มีรายละเอียดดังนี้
|
ปี 60 |
อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย |
อัตราดอกเบี้ยนโยบาย ธปท. |
|
มกราคม-เมษายน |
6.71 |
1.50 |
|
พฤษภาคม |
6.33 |
1.50 |
|
มิถุนายน-สิงหาคม |
6.31 |
1.50 |
ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
หมายเหตุ: 6 ธนาคาร ประกอบ ธ.อาคารสงเคราะห์, ธ.กสิกรไทย, ธ.กรุงเทพ,
ธ.กรุงศรีอยุธยา, ธ.กรุงไทย และ ธ.ไทยพาณิชย์
สรุปภาพภาวะอสังหาริมทรัพย์เดือนสิงหาคม 2560
ภาพรวมของอุปทานมีการปรับตัวลดลง 22.40% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจยังมีการฟื้นตัวได้อย่างช้าๆ รวมทั้งภาครัฐไม่มีมาตรการใหม่ๆ อะไรออกมา ผู้ประกอบการจึงไม่เร่งการพัฒนาโครงการออกมา ทำให้อุปทานในตลาดมีการปรับตัวลดลงไป ในขณะที่ทางด้านอุปสงค์ปรับตัวลดลง 19.35% เพราะสถาบันการเงินมีความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ หลังสัญญาณหนี้ด้อยคุณภาพยังมีการปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ต้องป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับหนี้ด้อยคุณภาพตามมา ถึงแม้ว่าผู้บริโภคยังมีความต้องการซื้ออยู่ก็ตาม ทั้งนี้ที่อยู่อาศัยประเภทอาคารชุดยังมียอดการโอนกรรมสิทธิ์มากที่สุด รองลงมาคือทาวน์เฮ้าส์ และบ้านเดี่ยว ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่อยู่อาศัยทรงตัวอยู่ที่ 6.31% โดยที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายไม่เปลี่ยนแปลงมีค่าอยู่ที่ 1.50%
วิเคราะห์การแข็งค่าของเงินบาท
การแข็งค่าของเงินบาทปีนี้เป็นข่าวมาตลอด เพราะความกังวลของผู้ประกอบการและนักลงทุนถึงผลของเงินบาทแข็งค่าที่จะมีต่อเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขัน โดยเฉพาะการส่งออกและการท่องเที่ยวที่กำลังเป็นตัวขับเคลื่อนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยขณะนี้ นอกจากนี้พร้อมกับการแข็งค่าของเงินบาท ตลาดหุ้นก็ดูเหมือนจะพุ่งแรง ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง สะท้อนการไหลเข้าของเงินทุนต่างประเทศที่กดดันให้เงินบาทยิ่งแข็งค่า ทำให้นักลงทุนหลายคนมีคำถามว่าทำไมเงินทุนต่างประเทศไหลเข้าประเทศไทยตอนนี้ ซึ่งสถานการณ์เงินบาทแข็งค่าจะมีต่อไปอีกนานแค่ไหนและจะมีผลต่อเศรษฐกิจอย่างไร โดยสามารถวิเคราะห์ได้ดังนี้
ค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์แข็งค่าต่อเนื่องมาตลอดของปีนี้ จากระดับ 35.80 บาทต่อหนึ่งดอลลาร์ สิ้นปีที่แล้ว เป็น 35.43 บาท สิ้นเดือน ม.ค. ปีนี้ 34.45 บาท สิ้นเดือน มี.ค. 33.99 บาท และสิ้นเดือน ส.ค. 33.21 บาท แข็งค่าขึ้นตลอด 8 เดือนแรก รวมแล้วประมาณ 7.1% ตั้งแต่ต้นปี การแข็งค่าของเงินบาทเป็นผลจากหลายปัจจัย ทั้งปัจจัยต่างประเทศและเศรษฐกิจในประเทศ แต่เท่าที่ประเมินดู ปัจจัยสำคัญที่กดดันให้เงินบาทแข็งค่าปีนี้คงมี 3 ปัจจัย
1. การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ คงจำได้ตอนต้นปี ความรู้สึกเกี่ยวกับเศรษฐกิจสหรัฐปรับตัวดีขึ้นมากจากความเข้าใจว่ารัฐบาลใหม่ภายใต้ประธานาธิบดีทรัมป์จะใช้จ่ายมากขึ้น โดยเฉพาะการลงทุนภาครัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐจะขยายตัวได้มากขึ้น กดดันให้อัตราเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้น ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐจะต้องปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้น ความรู้สึกนี้ทำให้เงินดอลลาร์เริ่มแข็งค่าขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นปี แต่หลังจากนั้นค่าเงินดอลลาร์ก็เริ่มอ่อนค่าลงเมื่อชัดเจนว่าการลงทุนภาครัฐของสหรัฐจะไม่สามารถเร่งรัดหรือขยายตัวได้ตามคาดจากอุปสรรคภายในระบบการเมืองของสหรัฐเอง เมื่อรัฐบาลสหรัฐไม่สามารถเร่งรัดการลงทุนได้ตามคาด ความรู้สึกที่ดีเกี่ยวกับเศรษฐกิจสหรัฐก็ถูกลดทอนลง พร้อมกันนี้ตัวเลขเศรษฐกิจอื่นๆ ก็ส่งสัญญาณว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐอาจไม่เข้มแข็งอย่างที่ได้คาดไว้ เช่น อัตราเงินเฟ้อที่ยังต่ำที่ 1.7% ในเดือน ก.ค. เหล่านี้ทำให้การคาดหวังเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐถูกลดทอนลงเช่นกันคือ ธนาคารกลางสหรัฐอาจไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในทุกการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินเหมือนที่เคยคาด ทำให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าและอ่อนค่าต่อเนื่อง หลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินสหรัฐเมื่อวันที่ 26 ก.ค. ที่ผ่านมา ที่ธนาคารกลางสหรัฐไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
2. ปัจจัยเศรษฐกิจไทยเอง โดยเฉพาะการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดที่มีต่อเนื่องช่วง 8 เดือนแรกปีนี้ ดุลบัญชีเดินสะพัดคือ ผลต่างระหว่างรายได้ที่เป็นเงินตราต่างประเทศที่ประเทศได้จากการส่งออกสินค้าและบริการ ซึ่งรวมถึงรายได้จากการท่องเที่ยว และรายจ่ายที่ประเทศจ่ายในรูปเงินตราต่างประเทศจากการนำเข้าสินค้าและบริการจากต่างประเทศ ผลต่างนี้ของประเทศไทยเป็นบวกตลอด 8 เดือนแรกปีนี้คือ ประเทศมีรายได้ที่เป็นเงินตราต่างประเทศมากกว่ารายจ่าย ทำให้เงินบาทแข็งค่า ที่ต้องตระหนักก็คือ อัตราเพิ่มของรายได้จากการส่งออกสินค้าและบริการอยู่ในเกณฑ์ต่ำ เทียบกับอัตราเพิ่มของรายจ่ายด้านการนำเข้า ซึ่งแสดงว่าการใช้จ่ายในประเทศอาจเริ่มฟื้นตัว แต่การส่งออกยังอ่อนแอ ดังนั้นจากนี้ไปคงเห็นการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดปรับลดลงมากขึ้นในระยะต่อไปและอาจกลายเป็นการขาดดุลซึ่งจะทำให้เงินบาทอ่อนค่า
3. เงินทุนต่างประเทศ ช่วง 8 เดือนแรกปีนี้ ประเทศไทยมีเงินทุนจากต่างประเทศไหลเข้ามากกว่าไหลออก กดดันให้เงินบาทแข็งค่า
ทั้งนี้จาก 3 ปัจจัย ที่ได้กล่าวไปนั้นที่ได้มีการผสมผสานกัน ส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าตั้งแต่ต้นปี แม้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยยังไม่มีความชัดเจน แต่เงินบาทก็ยังสามารถแข็งค่าได้ต่อเนื่อง ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการไหลเข้าของเงินทุนต่างประเทศ ที่มาจากความรู้สึกที่ดีขึ้นของนักลงทุนต่างประเทศเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลัง ที่นักลงทุนมองว่าเศรษฐกิจไทยกำลังปรับตัวดีขึ้นจาก
• เศรษฐกิจโลกที่ปรับตัวดีขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นปัจจัยบวกต่อการส่งออกของไทย แม้เงินบาทจะแข็งค่า
• รายได้เกษตรกรได้ประโยชน์จากราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลกที่ปรับตัวดีขึ้น ซึ่งน่าจะสนับสนุนการใช้จ่ายในประเทศให้ขยายตัว
• ความรู้สึกว่าโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐมีความชัดเจนมากกว่าสมัยก่อน บวกกับนโยบายรัฐบาลได้สร้างความชัดเจนให้กับนักลงทุนเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจไทย
• การท่องเที่ยวที่นักลงทุนประเมินว่าประเทศไทยจะได้ประโยชน์จากการเติบโตของกำลังซื้อในภูมิภาค
• นักลงทุนก็ไม่ค่อยมีที่ให้ลงทุน ในแง่ของตลาดต่างประเทศที่จะเข้าไปลงทุน เพราะราคาทรัพย์สินในหลายประเทศได้ปรับสูงขึ้นจนเกินปัจจัยพื้นฐาน
แต่สำหรับตลาดการเงินไทย นักลงทุนมองว่ายังสามารถปรับขึ้นได้อีกจากราคาสินทรัพย์ที่ยังไม่ถึงจุดอิ่มตัว ส่วนหนึ่งเพราะไม่ได้มีเงินทุนต่างประเทศไหลเข้ามากในช่วงก่อนหน้า ทำให้ตลาดการเงินไทยยังไม่เห็นความเสี่ยงเรื่องภาวะฟองสบู่ในราคาสินทรัพย์ นักลงทุนต่างชาติจึงได้กลับมาให้ความสนใจกับตลาดการเงินไทยมากขึ้น
โดยสรุปที่วิเคราะห์มาคงชัดเจนว่าการแข็งค่าของเงินบาทเป็นผลจากหลายปัจจัย ได้แก่ เศรษฐกิจต่างประเทศ ทิศทางเงินดอลลาร์ และการปรับพอร์ทของนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งเมื่อราคาสินทรัพย์ไทยได้ปรับสูงขึ้นถึงจุดหนึ่ง เงินทุนไหลเข้าคงชะลอ ขณะเดียวกันการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดก็จะลดลงและเปลี่ยนเป็นติดลบตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ 2 ปัจจัยนี้จะทำให้ค่าเงินบาทเริ่มกลับมาอ่อนค่า ซึ่งอาจเห็นได้ตั้งแต่ในช่วงปลาย ไตรมาส 4 ของปีนี้เป็นต้นไป
วิเคราะห์ทิศทางประเภทธุรกิจที่มีการเติบโตสูง
เมื่อสภาพแวดล้อมและภูมิอากาศของโลกในปัจจุบันอยู่ในภาวะที่ย่ำแย่ลง กอปรกับการที่ทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ทรัพยากรป่าไม้ เชื้อเพลิง ร่อยหรอลงแบบที่ไม่สามารถสร้างกลับคืนมาได้ ซึ่งมีผลมาจากการใช้ทรัพยากรอย่างฟุ่มเฟือยในการผลิตและการบริโภค ภายใต้กระแสโลกที่เปลี่ยนแปลงนี้ ประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมมีบทบาทสำคัญต่อการค้าระหว่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้มีการนำมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมมาใช้เป็นเงื่อนไขหนึ่งในการเจรจาและเงื่อนไขทางการค้า สำหรับในฝั่งของผู้บริโภคเอง ปัจจุบันมีผู้บริโภคจำนวนมากที่ให้ความสำคัญและแสวงหาสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งพฤติกรรมในการบริโภคดังกล่าวอาจะเป็นเงื่อนไขและโจทย์ที่ท้าทายให้กับภาคธุรกิจที่ต้องคิดวางแผนจริงจังอย่างเป็นระบบ เพื่อให้การรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนสามารถดำเนินการควบคู่ไปกับการสร้างผลกำไรให้กับองค์กรได้
หากพิจารณากระแสโลกเกี่ยวกับธุรกิจสีเขียว พบว่ามีธุรกิจหลายประเภทที่น่าจับตามอง เนื่องจากมีการเติบโตอย่างต่อเอง โดยเฉพาะธุรกิจรีไซเคิลขยะ ธุรกิจพลังงานจากชีวมวลโดยเฉพาะเชื้อเพลิงชีวมวลอัดเม็ด (Wood Pellet) และไม้สับ (Wood Chips) และธุรกิจโซล่าเซลล์บนหลังคาบ้านพักอาศัย (Solar PV Rooftop) เป็นต้น
ที่ผ่านมามูลค่าของตลาดรีไซเคิลขยะทั่วโลกขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเพิ่มขึ้นจาก 14 พันล้านยูโรในปี 2554 เป็น 21 พันล้านยูโรในปี 2558 จากรายงานของ Statista ปี 2017 ยังแสดงให้เห็นว่ามีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นแตะระดับ 35 พันล้านยูโรในปี 2563 การขยายตัวของธุรกิจรีไซเคิลขยะมีแรงหนุนมาจากหลายปัจจัย อาทิ อัตราการรีไซเคิลขยะที่ขยายตัวในหลายประเทศทั่วโลก ความต้องการในการบริโภคผลิตภัณฑ์สีเขียวของผู้บริโภค เป็นต้น
ประเภทของธุรกิจขยะรีไซเคิลที่เป็นดาวรุ่งที่น่าจับตามองสำหรับประเทศไทยคือธุรกิจเม็ดพลาสติก รีไซเคิล เนื่องจากเม็ดพลาสติกรีไซเคิลมีราคาถูกกว่าเม็ดพลาสติกใหม่ถูกนำไปใช้เป็นวัตถุดิบในหลายอุตสาหกรรมโดยเฉพาะอุตสาหกรรมสิ่งทอ สหภาพยุโรปได้กำหนดเงื่อนไขว่าผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ส่งไปจำหน่ายจะต้องมีเม็ดพลาสติกรีไซเคิลเป็นส่วนประกอบไม่ต่ำกว่า 30% อีกทั้งทางสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ได้ออกมาตรการสร้างแรงจูงใจให้กับภาคธุรกิจ โดยให้การยกเว้นภาษีนิติบุคคลเป็นระยะเวลา 8 ปี และยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักรที่นำมาใช้ในธุรกิจพลาสติกรีไซเคิล
ปัจจุบันธุรกิจเชื้อเพลิงชีวมวลอัดเม็ดและไม้สับได้รับความสนใจจากหลายประเทศ เช่น ประเทศ เกาหลีใต้และประเทศญี่ปุ่น ซึ่งความต้องการไม้อัดเม็ดและไม้สับในประเทศญี่ปุ่นได้รับแรงหนุนมาจากการที่ประเทศญี่ปุ่นประสบภัยพิบัตินิวเคลียร์ที่ฟุกุชิมะในปี 2554 ส่งผลให้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์หลายแห่งต้องทยอยปิดตัวลงและทำให้มีความจำเป็นต้องมีการใช้โรงไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ตั้งแต่ปี 2555 เป็นต้นมา ประเทศญี่ปุ่นมีปริมาณการนำเข้าชีวมวลอัดเม็ดเพื่อใช้ผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ดังนั้นการผลิตเชื้อเพลิงชีวมวลอัดเม็ดและไม้สับเพื่อส่งออกจึงมีความน่าสนใจ อย่างไรก็ดีญี่ปุ่นมีนโยบายนำเข้าเฉพาะไม้หรือผลิตภัณฑ์จากไม้ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานการปลูกป่าแบบยั่งยืน (FSC) ซึ่งเป็นมาตรฐานที่สากลยอมรับ ดังนั้นเพื่อตอบสนองต่อโอกาสทางธุรกิจนี้ ภาครัฐควรเร่งรัดดำเนินการ ส่งเสริม สนับสนุนการปลูกยางพาราแบบยั่งยืนตามข้อกำหนด FSC เพื่อจะช่วยให้สามารถผลิตชีวมวลอัดเม็ดที่มีศักยภาพทั้งด้านปริมาณและด้านคุณภาพสำหรับส่งออก
สำหรับในประเทศไทย ปัจจุบันได้มีการนำแนวคิดสีเขียวมาใช้ในการดำเนินธุรกิจในหลายลักษณะ เช่น นำน้ำที่ผ่านการบำบัดแล้วกลับมาใช้ใหม่ การใช้ไฟฟ้าที่ผลิตจากแผงโซล่าเซลล์ที่ติดตั้งบนหลังคา การนำเศษวัสดุเหลือใช้จากผลิตมาใช้ในการผลิตพลังงาน ฯลฯ โดยการมุ่งสร้างผลสำเร็จสูงสุดทางธุรกิจ (Quick Win) สำหรับธุรกิจน่าจะอยู่ที่การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการช่วยให้บริษัทประหยัดต้นทุนด้านพลังงานและน้ำ นอกเหนือจากประโยชน์ที่ธุรกิจได้รับในรูปของผลกำไรหรือการประหยัดต้นทุนแล้ว สังคมโดยรวมก็ได้รับประโยชน์จากธุรกิจสีเขียวด้วยเช่นกัน โดยชุมชนที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงไม่ได้รับผลกระทบจากน้ำเสีย ขยะ หรือเศษวัสดุเหลือใช้จากกระบวนการผลิตที่โรงงานนำมาทิ้งหรือปล่อยออกมาสู่ชุมชน ภาครัฐสามารถประหยัดงบประมาณในการบำบัดและฟื้นฟูสภาพแวดล้อมบริเวณที่ตั้งโรงงานอุตสาหกรรม ผู้บริโภคมีสินค้าที่ปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมไว้สำหรับเลือกบริโภค
ดังนั้นเมื่อมองไปในอนาคต จะเห็นได้ชัดว่าแนวโน้มของธุรกิจสีเขียวนอกจากจะเติบโตมากขึ้นแล้ว ยังมีแนวโน้มที่จะมีวิธีการใหม่ๆ ที่สร้างสรรค์มากขึ้น วันนี้ถึงยุคตื่นตัวหรือช่วงขาขึ้นของธุรกิจสีเขียว อย่างไรก็ดี ปัจจัยที่จะส่งเสริมให้ธุรกิจสีเขียวโตต่อได้และสร้างผลประโยชน์สู่สังคม ประกอบด้วย ภาครัฐควรให้การสนับสนุนผ่านทางนโยบายส่งเสริมการลงทุนอย่างต่อเนื่อง สนับสนุนให้ภาคธุรกิจสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อนำมาใช้ในการต่อยอดธุรกิจ อีกทั้งไม่สนับสนุนนโยบายอุดหนุนพลังงานน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นคู่แข่งหลักของพลังงานทดแทน นอกจากนี้ภาครัฐอาจจะส่งเสริมให้เกิดการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ภาคธุรกิจสามารถนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ได้ต่อไป
_______________
* แหล่งที่มาของข้อมูล : ดร.บัณฑิต นิจถาวร คอลัมนิสต์ประจำคอลัมน์ "เศรษฐศาสตร์บัณฑิต"
กลุ่มข้อมูลและวางแผนสื่อสารองค์กร
ฝ่ายสื่อสารองค์กร