บทความวิเคราะห์รายงานทางเศรษฐกิจ (ประจำเดือนพฤศจิกายน 2559)
ข้อมูลเดือนกันยายน 2559 จากตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน จะเห็นว่าดัชนีราคาผู้บริโภคยังมีค่าเพิ่มขึ้น เพราะราคาน้ำมันมีความผันผวนและปรับตัวสูงขึ้น ในขณะที่สินค้าจำพวกอาหารสดเริ่มราคาทรงตัว ส่งผลทำให้ราคามีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมา ส่วนภาคการผลิตยังมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลกมีการฟื้นตัว ทำให้คำสั่งซื้อจากต่างประเทศยังมีเพิ่มเข้ามา จึงทำให้ในเดือนนี้มีการผลิตสินค้าออกมาได้สูงขึ้น ในขณะเดียวกันดุลการค้าปรับตัวเพิ่มขึ้นและยังมีทิศทางที่เป็นบวกอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการนำเข้ายังมีการปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้ไม่น่าเป็นห่วง อย่างไรก็ตามภาวะการเงินยังทรงตัวไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลง โดยปริมาณเงินฝากและเงินให้สินเชื่อมีค่าเพิ่มขึ้น เนื่องจากธนาคารได้มีการออกโปรโมชั่นเงินฝากออกมาบ้าง อีกทั้งตลาดหลักทรัพย์ฯ มีความผันผวน จึงทำให้ประชาชนหันมาฝากเงินเพิ่ม ส่งผลให้การฝากเงินปรับตัวสูงขึ้น ในขณะที่การปล่อยสินเชื่อมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมา เนื่องจากธนาคารได้มีการปล่อยสินเชื่อออกมาบ้าง เพื่อให้ได้ตามเป้าที่วางไว้ แต่ก็ยังคงมีความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาหนี้เสียตามมาอีกด้วย
ตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน
|
รายละเอียด |
มิถุนายน 59 |
กรกฎาคม 59 |
สิงหาคม 59 |
กันยายน 59 |
| ดัชนีราคาผู้บริโภค |
107.1 |
106.7 |
106.6 |
106.7 |
| ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม |
108.22 |
101.89 |
104.91 |
105.61 |
| อัตราการใช้กำลังการผลิต |
66.70 |
62.38 |
64.42 |
65.23 |
| ดุลการค้า |
3,454.66 |
2,515.78 |
2,736.19 |
3,721.02 |
| ดุลบัญชีเดินสะพัด |
3,115.56 |
3,557.13 |
3,802.18 |
2,928.79 |
| เงินฝาก |
12,437.41 |
12,390.81 |
12,437.55 |
n.a. |
| เงินให้สินเชื่อ |
13,751.77 |
13,686.31 |
13,733.72 |
n.a. |
ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย
หมายเหตุ: ดัชนีราคาผู้บริโภค มีปีฐานคือ 2554 เงินฝาก/เงินให้สินเชื่อ มีหน่วยเป็น พันล้านบาท
อัตราการใช้กำลังการผลิต มีหน่วยเป็น ร้อยละ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม มีปีฐานคือ 2554
ดุลการค้า ดุลบัญชีเดินสะพัด มีหน่วยเป็น ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา
ภาวะอสังหาริมทรัพย์ เดือนกันยายน 2559
• ด้านอุปทาน
- ที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เปรียบเทียบ ณ ก.ย. 58 กับ 59 มีรายละเอียดดังนี้
|
ปี |
จำนวน(ยูนิต) |
การเติบโต(%) |
|
ณ ก.ย. 58 |
92,542 |
NA |
|
ณ ก.ย. 59 |
93,412 |
0.94% |
ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
- ประเภทที่อยู่อาศัยที่มีการจดทะเบียน ณ ก.ย. 59 เรียงตามลำดับมีรายละเอียดดังนี้
|
ประเภท |
จำนวน(ยูนิต) |
สัดส่วน(%) |
|
อาคารชุด |
54,026 |
57.84 |
|
บ้านเดี่ยว |
24,150 |
25.85 |
|
ทาวน์เฮ้าส์ |
11,418 |
12.22 |
|
อาคารพาณิชย์ |
2,475 |
2.65 |
|
บ้านแฝด |
1,343 |
1.44 |
|
รวม |
93,412 |
100.00 |
ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
• ด้านอุปสงค์
-การโอนกรรมสิทธิ์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เปรียบเทียบ ณ ก.ย. 58 กับ 59 มีรายละเอียดดังนี้
|
ปี |
จำนวน(ยูนิต) |
การเติบโต(%) |
|
ณ ก.ย. 58 |
132,773 |
NA |
|
ณ ก.ย. 59 |
134,319 |
1.16% |
ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
-ประเภทที่อยู่อาศัยที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ ณ ก.ย. 59 เรียงตามลำดับมีรายละเอียดดังนี้
|
ประเภท |
จำนวน(ยูนิต) |
สัดส่วน(%) |
|
อาคารชุด |
69,216 |
51.53 |
|
ทาวน์เฮ้าส์ |
38,435 |
28.61 |
|
บ้านเดี่ยว |
15,729 |
11.71 |
|
อาคารพาณิชย์ |
7,303 |
5.44 |
|
บ้านแฝด |
3,636 |
2.71 |
|
รวม |
134,319 |
100.00 |
ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
- อัตราดอกเบี้ยที่อยู่อาศัยบุคคลทั่วไปลอยตัวเฉลี่ยของ 6 ธนาคารใหญ่ มีรายละเอียดดังนี้
|
ปี 59 |
อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย |
อัตราดอกเบี้ยนโยบาย ธปท. |
|
มกราคม-มีนาคม |
6.85 |
1.50 |
|
เมษายน |
6.73 |
1.50 |
|
พฤษภาคม-กันยายน |
6.69 |
1.50 |
ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
หมายเหตุ: 6 ธนาคาร ประกอบ ธ.อาคารสงเคราะห์, ธ.กสิกรไทย, ธ.กรุงเทพ,
ธ.กรุงศรีอยุธยา, ธ.กรุงไทย และ ธ.ไทยพาณิชย์
สรุปภาพภาวะอสังหาริมทรัพย์เดือนกันยายน 2559
ภาพรวมของอุปทานมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.94% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากผู้ประกอบการได้ทำการพัฒนาโครงการออกมาแต่ยังไม่เต็มที่ เพื่อดูว่าภาครัฐจะมีมาตรการใหม่ๆ อะไรออกมาบ้าง จึงทำให้อุปทานในตลาดมีการปรับตัวสูงขึ้นไปเพียงเล็กน้อย ในขณะที่ทางด้านอุปสงค์ปรับตัวสูงขึ้น 1.16% เพราะผู้ประกอบการได้ออกโปรโมชั่นเพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค หลังจาที่มาตรการภาครัฐได้สิ้นสุดลง ทำให้ผู้บริโภคยังมีการซื้ออยู่ต่อไป ทั้งนี้ที่อยู่อาศัยประเภทอาคารชุดยังมียอดการโอนกรรมสิทธิ์มากที่สุด รองลงมาคือทาวน์เฮ้าส์ และบ้านเดี่ยว ในขณะที่ดอกเบี้ยที่อยู่อาศัยทรงตัวอยู่ที่ 6.69% และอัตราดอกเบี้ยนโยบายไม่เปลี่ยนแปลงมีค่าอยู่ที่ 1.50%
วิเคราะห์แนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในเอเชีย*
ศตวรรษที่ 21 เป็นศตวรรษที่จุดศูนย์กลางของโลกจะเคลื่อนย้ายจากตะวันตกสู่ตะวันออกอย่างทวีปเอเชีย ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและซับซ้อนกว่าศตวรรษที่ผ่านมา ทำให้การพัฒนาประเทศในศตวรรษที่ 21 จำเป็นต้องมีความเข้าใจแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้น เพื่อที่จะทำให้สามารถกำหนดทิศทางและยุทธศาสตร์การพัฒนาได้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลง โดยแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในเอเชีย (Emerging Trends in Asia) จะมีทั้งหมด 4 ด้าน ได้แก่ เศรษฐกิจ พลังงาน สิ่งแวดล้อม และภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งสะท้อนภาพอนาคตในมิติที่สำคัญๆ ของเอเชีย และอาจเป็นประโยชน์ในการกำหนดทิศทางของประเทศไทยต่อไปได้ โดยมีรายละเอียดดังนี้
1.แนวโน้มทางด้านเศรษฐกิจ จะกล่าวถึงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจที่สำคัญในเอเชียใน 3 ระดับ ประกอบด้วย
- การเปลี่ยนแปลงในระดับโลก คือ ศูนย์กลางเศรษฐกิจโลกย้ายมายังเอเชีย โดยคาดว่าเศรษฐกิจเกิดใหม่ในเอเชียจะมีส่วนแบ่งในจีดีพีโลกเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 15 ในปี 2010 เป็นร้อยละ 38 ในปี 2030
- การเปลี่ยนแปลงระดับภูมิภาค คือ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจของเอเชีย อันเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงการไหลของการลงทุนโดยตรงระหว่างประเทศ นักลงทุนจะแสวงหาแหล่งลงทุนที่มีต้นทุนต่ำกว่าจีน การลงทุนจากจีนและทั่วโลกจะเข้าไปยังเศรษฐกิจเกิดใหม่ในเอเชียทำให้เกิดเครือข่ายการผลิตในภูมิภาคเอเชีย
- การเปลี่ยนแปลงระดับพื้นที่ คือ การเกิดขึ้นของพื้นที่หรือเขตเศรษฐกิจใหม่ๆ ในภูมิภาคเอเชีย การขยายตัวของพื้นที่เมือง (Urbanization) และจำนวนประชากรในเขตเมืองจะเพิ่มขึ้น และขนาดเศรษฐกิจของเมืองในประเทศกำลังพัฒนาจะมีขนาดใหญ่ขึ้น
2.แนวโน้มทางด้านพลังงาน ประกอบด้วย
- ความต้องการบริโภคพลังงานเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยคาดว่าจะเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 50 ในอีก 20 ปีข้างหน้า สัดส่วนความต้องการพลังงานในประเทศพัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรปมีแนวโน้มลดลง เนื่องจากการพัฒนาประสิทธิภาพของการใช้พลังงาน ขณะที่ประเทศกำลังพัฒนาจะมีส่วนแบ่งการบริโภคพลังงานสูงถึงร้อยละ 79 ของความต้องการพลังงานของโลกในปี 2030
- พลังงานสะอาดมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ได้แก่ แก๊สธรรมชาติ นิวเคลียร์ พลังงานทดแทน และพลังงานน้ำ แม้ว่าโครงสร้างการใช้พลังงานของโลกในอนาคตยังคงพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลเป็นพลังงานหลัก เนื่องจากหลายประเทศยังคงมีการอุดหนุนการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล และการค้นพบวิธีการขุดเจาะแบบใหม่จากชั้นหินดินดานน้ำมัน (Oil Shale) ทำให้ผลผลิตน้ำมันดิบยังขยายตัวต่อไปได้ อย่างไรก็ตามสัดส่วนความต้องการน้ำมันและถ่านหินมีแนวโน้มลดลงจากร้อยละ 66 ในปี 2007 เหลือ ร้อยละ 59 ในปี 2035
- การผลิตพลังงานจากคนจำนวนมาก (Crowdsourcing Energy) เป็นผลจากความพยายามทำให้เมืองที่แออัดกลายเป็นเมืองสีเขียว (Green City)โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งเสริมการใช้โซลาร์เซลเพื่อผลิตไฟฟ้าสำหรับครัวเรือน ทำให้มีไฟฟ้าที่เหลือใช้จำหน่ายเข้าสู่ระบบมากขึ้น
3.แนวโน้มทางด้านสิ่งแวดล้อม จะกล่าวถึงทิศทางด้านสิ่งแวดล้อมที่สำคัญ 3 ด้าน คือ
- ความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในปี 2030 จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 16 จากระดับในปัจจุบัน ส่งผลทำให้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มขึ้น 0.5-1.5 องศาเซลเซียสภายใน 20 ปีข้างหน้า ผลที่อาจตามมา คือ สภาพอากาศจะมีความแปรปรวนมากขึ้น และเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติที่รุนแรงมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่ออัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ความมั่นคงทางอาหาร และความเชื่อมั่นของนักลงทุน
- ความไม่เพียงพอของแหล่งทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การเพิ่มขึ้นของประชากรโลก การขยายตัวทางเศรษฐกิจ และการเพิ่มขึ้นของรายได้ของประชากรโลก จะทำให้ความต้องการใช้ทรัพยากรมากขึ้น ได้แก่ ความต้องการพลังงานจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 50 ความต้องการน้ำของโลกจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 40 และความต้องการอาหารของโลกจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 35 ของระดับความต้องการในปัจจุบัน ความต้องการใช้ทรัพยากรจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วอย่างไม่สอดคล้องกับความมีอยู่ของทรัพยากรในภูมิภาคนี้ ทำให้เอเชียจะเกิดความขาดแคลนและจำเป็นต้องพึ่งพาการนำเข้าทรัพยากรจากต่างประเทศ
- ความกังวลเรื่องสิ่งแวดล้อมเพิ่มสูงขึ้น การเพิ่มขึ้นของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ การใช้ทรัพยากรธรรมชาติและการขยายตัวของเมืองในภูมิภาคเอเชีย จะทำให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมรุนแรงขึ้น
4.แนวโน้มทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ ประกอบด้วย
- ประเทศจีนจะกลายเป็นมหาอำนาจใหม่ ซึ่งการก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจใหม่ของจีนทำให้เกิดเปลี่ยนแปลงการกระจายอำนาจภายในเอเชีย ซึ่งปฏิกิริยาของประเทศอื่นๆ ในเอเชียต่อการผงาดขึ้นมาของจีน เป็นไปได้อย่างน้อย 2 ทิศทาง
ทิศทางที่หนึ่ง คือ การยอมรับหรือเข้าร่วมเป็นกลุ่มเดียวกัน เพื่อแลกกับผลประโยชน์ที่จะได้รับจากการค้าและการลงทุนจากจีน
ทิศทางที่สอง คือ มองว่าการขยายอิทธิพลของจีนเป็นภัยคุกคาม ซึ่งประเทศใหญ่อาจตอบสนองด้วยการแข่งขันกับจีนหรือกีดกันจีนจากความร่วมมือระหว่างประเทศ ส่วนประเทศเล็กอาจถ่วงดุลอำนาจของจีนโดยการเป็นพันธมิตรและสร้างความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและความมั่นคงกับมหาอำนาจอื่น
- สหรัฐอเมริกาจะกลับมามีบทบาทในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เพื่อแสวงหาพันธมิตรด้านความมั่นคงในภูมิภาคเอเชียและปิดล้อมการแผ่ขยายอิทธิพลของจีน อย่างไรก็ดีการแทรกแซงของมหาอำนาจกลับทำให้กลไกด้านความมั่นคงในภูมิภาคขาดประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาความขัดแย้ง
- ประเทศอินเดียจะก้าวขึ้นเป็นขั้วอำนาจที่สามในภูมิภาค เนื่องด้วยเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่และได้รับการคาดการณ์ว่าจะกลายเป็นเศรษฐกิจขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลกในอนาคต และจะเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลกแซงหน้าจีน อินเดียเป็นประเทศที่มีความสามารถทางเทคโนโลยีและมีแรงงานที่มีทักษะสูงเป็นจำนวนมาก ยิ่งไปกว่านั้นอินเดียยังมีสมรรถนะทางการทหาร โดยเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศในโลกที่มีระเบิดปรมาณู ทำให้อินเดียกลายเป็นอีกขั้วอำนาจหนึ่งที่มาถ่วงดุลสหรัฐอเมริกาและจีน
โดยสรุปจะเห็นได้ว่าแนวโน้มทางการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นในเอเชียทั้ง 4 ด้าน ทำให้เห็นภาพว่าเอเชียกำลังจะอยู่ในเส้นทางของการพัฒนาความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ ทำให้มีความจำเป็นต้องใช้พลังงานและทรัพยากรจำนวนมาก แต่การพัฒนาเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วจะทำให้เกิดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะกลายเป็นข้อจำกัดของการเติบโตทางเศรษฐกิจในอนาคต นอกจากนี้การพัฒนาเศรษฐกิจของเอเชียยังทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาค อันเนื่องมาจากการแข่งขันและความสัมพันธ์ระหว่างมหาอำนาจเก่าและมหาอำนาจใหม่ในภูมิภาคเอเชีย ภายใต้แนวโน้มต่างๆ เหล่านี้ นับเป็นความท้าทายสำหรับประเทศต่างๆ ว่าจะกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศอย่างไร เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติมากที่สุด และมีความสมดุลของเป้าหมายต่อการพัฒนาในทุกๆ ด้านต่อไป
วิเคราะห์ความเสี่ยงและการกระจุกตัวของเศรษฐกิจโลก
ปัจจุบันเป็นช่วงหนึ่งที่เศรษฐกิจโลกมีการกระจุกตัวของความเสี่ยงพร้อมกันมากที่สุด และสามารถแบ่งความเสี่ยงเป็นสองกลุ่มโดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
กลุ่มที่หนึ่ง คือ ความเสี่ยงระยะสั้น
เป็นที่ทราบกันดีว่าเป็นความไม่แน่นอนที่จะกระทบเศรษฐกิจโลกและตลาดการเงินในระยะต่อไป เป็นความไม่แน่นอนที่บริษัทธุรกิจต้องพยายามบริหารจัดการหรือปรับตัวเพื่อลดผลกระทบ สิ่งที่สำคัญได้แก่
- เรื่อง Brexit ที่จะมีผลต่อต้นทุนการผลิตและการเติบโตของการค้า การลงทุน และการเติบโตของเศรษฐกิจยุโรปและอังกฤษ
- เรื่องแนวโน้มที่ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งจะกระทบต้นทุนการกู้ยืมทั่วโลก สร้างความผันผวนต่อการไหลเข้าออกของเงินลงทุนระหว่างประเทศ ซึ่งจะกระทบเสถียรภาพของประเทศตลาดเกิดใหม่
- ความเสี่ยงด้านการเมือง โดยเฉพาะข้อพิพาทหรือความตึงเครียดในหลายพื้นที่ในโลกที่กระทบความเชื่อมั่น กระทบความปลอดภัยในการทำธุรกิจ รวมถึงเป็นความเสี่ยงต่อการเกิดสงครามหรือความขัดแย้งใหญ่ในอนาคต
- การชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศตลาดเกิดใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศหัวรถจักรอย่างจีน บราซิล รัสเซีย และอินเดีย ดึงให้การขยายตัวและการสร้างรายได้ในประเทศตลาดเกิดใหม่ลดลง
ทั้งหมดเหล่านี้คือความเสี่ยงระยะสั้นที่จะกระทบการเติบโตของเศรษฐกิจโลก กระทบราคาสินทรัพย์ และเพิ่มความผันผวนในตลาดการเงิน
กลุ่มที่สอง คือ ความเสี่ยงระดับโครงสร้าง
ความเสี่ยงนี้จะเปลี่ยนโครงสร้างและความสัมพันธ์ต่างๆ ในระบบเศรษฐกิจโลกให้แตกต่างไปจากเดิม แต่ยังไม่สามารถคาดเดาได้ว่าผลกระทบที่จะเกิดขึ้นตามมาจะเป็นอย่างไร ตัวอย่างความเสี่ยงกลุ่มนี้จะประกอบไปด้วย
- เทคโนโลยี ที่การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการผลิตจะทำให้การให้ผลิตสินค้าและบริการในระบบเศรษฐกิจโลกเปลี่ยนไปทั้งในภาคธุรกิจและภาคราชการ ในเบื้องต้นประเมินว่ากว่าร้อยละ 40 ของธุรกิจในสหรัฐอเมริกาจะถูกกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ขณะที่ความพร้อมของภาคทางการที่จะบริหารผลกระทบเหล่านี้ รวมถึงผลที่เทคโนโลยีจะมีต่อการให้บริการของภาครัฐเองก็ยังไม่ชัดเจน ผลกระทบจากเทคโนโลยที่มีการพูดถึงมากที่สุด คือ ผลต่อการมีงานทำ คนจะตกงานมากขึ้น กลายเป็นจุดเปราะบางทางสังคมที่จะมีนัยต่อทั้งเศรษฐกิจและการเมือง
- ประชากร เรื่องประชากรที่จำนวนประชากรในโลกที่ปัจจุบันมี 7.4 พันล้านคน จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในเวลาสิบปีข้างหน้า ซึ่งจะโตเร็วกว่าอาหารและความพอเพียงของทรัพยากรธรรมชาติที่จะสนับสนุน ทำให้ทรัพยากรธรรมชาติจะขาดแคลนและเป็นปัญหาใหญ่
- ความเหลื่อมล้ำ ปัญหาความเหลื่อมล้ำเป็นประเด็นทั้งในประเทศอุตสาหกรรมและประเทศตลาดเกิดใหม่ที่การเติบโตทางเศรษฐกิจในอดีตได้ทำให้การกระจายรายได้แย่ลง เกิดขึ้นทั้งในประเทศที่มีการปกครองแบบสังคมนิยมและแบบประชาธิปไตย ตัวอย่างที่ดีคือ สหรัฐอเมริกาและจีนซึ่งแตกต่างกันมากในโมเดลการเติบโตของเศรษฐกิจและการเมือง แต่ทั้งสองประเทศก็มีระดับของปัญหาความเหลื่อมล้ำของรายได้ วัดโดยดัชนีจินี่ใกล้เคียงกัน ปัญหาความเหลื่อมล้ำเป็นประเด็นสำคัญด้านนโยบายที่ต้องแก้ไข แต่ก็ยังไม่มีประเทศไหนมีแนวทางชัดเจนที่จะดูแลเรื่องนี้
- ปัญหาผลิตภาพการผลิตหรือความสามารถที่จะเพิ่มผลผลิตจากปัจจัยการผลิตที่มีอยู่ ซึ่งคำตอบจะอยู่การปรับใช้เทคโนโลยีและคุณภาพของบุคลากร โดยเฉพาะการลงทุนด้านการศึกษา เมื่อผลิตภาพการผลิตไม่เพิ่ม โอกาสที่เศรษฐกิจโลกจะสามารถขยายผลผลิตในอัตราที่สูงขึ้นก็จะลดลง สร้างข้อจำกัดต่อการมีงานทำ การสร้างรายได้และคุณภาพชีวิต
- ภาระหนี้ทั้งของภาครัฐและเอกชนที่ได้เพิ่มสูงขึ้นมากในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ประมาณว่าหนี้ทั่วโลกขณะนี้มีเกือบ 240 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา เมื่อหนี้อยู่ในระดับที่สูงก็จำเป็นที่ลูกหนี้จะต้องลดหนี้ ลดการใช้จ่ายมากกว่าที่จะเพิ่มการใช้จ่าย นี้คือที่มาของกระบวนการลดหนี้ที่กำลังเกิดขึ้นทั้งในภาครัฐและภาคเอกชน และเป็นข้อจำกัดต่อการใช้จ่ายและเติบโตของเศรษฐกิจ
ความเสี่ยงระดับโครงสร้างต่างๆ เหล่านี้เป็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น แต่คาดเดายากว่าทิศทางและขนาดของผลกระทบที่จะมีต่อเศรษฐกิจโลกจะเป็นอย่างไร รุนแรงแค่ไหน และเมื่อรวมความเสี่ยงเหล่านี้กับความเสี่ยงระยะสั้นที่ได้กล่าวถึงไปแล้วก็ชัดเจนว่า เศรษฐกิจโลกปัจจุบันมีความเสี่ยงต่างๆ กระจุกตัวหนาแน่นไปหมดจริงๆ เป็นภาระให้ทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นภาคธุรกิจ รัฐบาล และประชาชนผู้บริโภคต้องปรับตัว แต่อาจไม่ช่วยให้บริหารผลกระทบจากความเสี่ยงเหล่านี้ได้ดีพอ เพราะเป็นการปรับตัวแบบต่างคนต่างอยู่มากกว่าที่จะช่วยกันแก้ปัญหา เช่น ในภาคประชาชนกระแสความชะลอตัวของโลกาภิวัตน์นับวันยิ่งจะมีมากขึ้น สังเกตจากปริมาณการค้าและการไหลเข้าออกของเงินทุนระหว่างประเทศที่ลดลง ขณะที่การเคลื่อนย้ายแรงงานข้ามประเทศก็ได้กลายเป็นประเด็นการเมืองไปแล้ว สิ่งเหล่านี้ชี้ว่าโลกขณะนี้กำลังเป็นโลกแบบไซโล (Silo) ต่างคนต่างอยู่ และใครที่ปรับตัวไม่ได้ทั้งในภาคธุรกิจและประชาชน ก็จะหันมาพึ่งรัฐบาลเพื่อความอยู่รอด ทำให้รัฐมีภาระมากขึ้น และมีบทบาทสูงขึ้นในระบบเศรษฐกิจ สวนทางกับแนวคิดกระแสหลักที่ภาครัฐควรที่จะต้องเล็กลง และให้กลไกตลาดทำงานเพื่อสร้างประสิทธิภาพและการเติบโตให้กับเศรษฐกิจ ซึ่งสิ่งตางๆ เหล่านี้ที่ได้กล่าวไปแล้วทำให้สถานการณ์ของเศรษฐกิจโลกยังคงมีความผันผวนอย่างต่อเนื่องต่อไป
_______________
* แหล่งที่มาของข้อมูล : ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์
กลุ่มข้อมูลและวางแผนสื่อสารองค์กร
ฝ่ายสื่อสารองค์กร