รายงานภาวะเศรษฐกิจและการเงิน เดือนสิงหาคม 2557
ข้อมูลเดือนสิงหาคม 2557 จากตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน จะเห็นว่าดัชนีราคาผู้บริโภคมีค่าลดลงเล็กน้อย เพราะสินค้าในหมวดอาหารสำเร็จรูปไม่ได้ปรับตัวลดลงมากเท่าไรนัก ส่วนราคาน้ำมันก็มีความผันผวนและมีราคาที่ทรงตัวไม่เปลี่ยนแปลง ส่วนภาคการผลิตปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากในช่วงก่อนหน้านั้นผู้ผลิตได้มีการชะลอการผลิตไปบ้างแล้ว ในขณะเดียวกันดุลการค้าปรับตัวดีขึ้นและยังมีทิศทางที่เป็นบวก เนื่องจากการนำเข้าปรับตัวลดลงไปค่อนข้างมาก อย่างไรก็ตามภาวะการเงินยังทรงตัวไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงมากนัก โดยปริมาณเงินฝากและเงินให้สินเชื่อมีค่าเพิ่มขึ้น สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะธนาคารพาณิชย์เริ่มมีการออกแคมเปญทางการเงินใหม่มากขึ้น ส่งผลทำให้ประชาชนได้มีการนำเงินมาฝากเพิ่มขึ้นบ้าง สำหรับการปล่อยสินเชื่อมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังจากที่ภาวะเศรษฐกิจเริ่มมีแนวโน้มของการฟื้นตัวขึ้น
ตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน
|
รายละเอียด |
พฤษภาคม 57 |
มิถุนายน 57 |
กรกฎาคม 57 |
สิงหาคม 57 |
| ดัชนีราคาผู้บริโภค |
107.9 |
107.8 |
107.7 |
107.6 |
| ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม |
170.18 |
165.61 |
165.32 |
171.53 |
| อัตราการใช้กำลังการผลิต |
60.46 |
60.23 |
59.25 |
60.70 |
| ดุลการค้า |
1,629.49 |
3,863.13 |
1,450.19 |
2,198.94 |
| ดุลบัญชีเดินสะพัด |
-664.48 |
1,838.33 |
-863.63 |
239.17 |
| เงินฝาก |
11,202.60 |
11,232.62 |
11,304.59 |
n.a. |
| เงินให้สินเชื่อ |
12,681.76 |
12,451.38 |
12,687.81 |
n.a. |
ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย
หมายเหตุ: ดัชนีราคาผู้บริโภค มีปีฐานคือ 2545 เงินฝาก/เงินให้สินเชื่อ มีหน่วยเป็น พันล้านบาท
อัตราการใช้กำลังการผลิต มีหน่วยเป็น ร้อยละ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม มีปีฐานคือ 2543
ดุลการค้า ดุลบัญชีเดินสะพัด มีหน่วยเป็น ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา
ภาวะอสังหาริมทรัพย์ เดือนสิงหาคม 2557
• ด้านอุปทาน
- ที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เปรียบเทียบ ณ ส.ค. 56 กับ 57 มีรายละเอียดดังนี้
|
ปี |
จำนวน(ยูนิต) |
การเติบโต(%) |
|
ณ ส.ค. 56 |
81,901 |
NA |
|
ณ ส.ค. 57 |
72,418 |
-11.58% |
ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
- ประเภทที่อยู่อาศัยที่มีการจดทะเบียน ณ ส.ค. 57 เรียงตามลำดับมีรายละเอียดดังนี้
|
ประเภท |
จำนวน(ยูนิต) |
สัดส่วน(%) |
|
อาคารชุด |
35,048 |
48.40 |
|
บ้านเดี่ยว |
22,035 |
30.43 |
|
ทาวน์เฮ้าส์ |
9,036 |
12.48 |
|
อาคารพาณิชย์ |
4,477 |
6.18 |
|
บ้านแฝด |
1,822 |
2.51 |
|
รวม |
72,418 |
100.00 |
ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
• ด้านอุปสงค์
- การโอนกรรมสิทธิ์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เปรียบเทียบ ณ ส.ค. 56 กับ 57 มีรายละเอียดดังนี้
|
ปี |
จำนวน(ยูนิต) |
การเติบโต(%) |
|
ณ ส.ค. 56 |
111,547 |
NA |
|
ณ ส.ค. 57 |
105,185 |
-5.70% |
ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
- ประเภทที่อยู่อาศัยที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ ณ ส.ค. 57 เรียงตามลำดับมีรายละเอียดดังนี้
|
ประเภท |
จำนวน(ยูนิต) |
สัดส่วน(%) |
|
อาคารชุด |
43,704 |
41.55 |
|
ทาวน์เฮ้าส์ |
32,579 |
30.97 |
|
บ้านเดี่ยว |
17,579 |
16.71 |
|
อาคารพาณิชย์ |
7,850 |
7.46 |
|
บ้านแฝด |
3,473 |
3.31 |
|
รวม |
105,185 |
100.00 |
ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
• อัตราดอกเบี้ยที่อยู่อาศัยบุคคลทั่วไปลอยตัวเฉลี่ยของ 6 ธนาคารใหญ่ มีรายละเอียดดังนี้
|
ปี 57 |
อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย |
อัตราดอกเบี้ยนโยบาย ธปท. |
|
มกราคม |
7.03 |
2.25 |
|
กุมภาพันธ์ |
7.12 |
2.25 |
|
มีนาคม-พฤษภาคม |
7.03 |
2.00 |
|
มิถุนายน |
7.09 |
2.00 |
|
กรกฎาคม-สิงหาคม |
7.05 |
2.00 |
ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
หมายเหตุ: 6 ธนาคาร ประกอบ ธ.อาคารสงเคราะห์, ธ.กสิกรไทย, ธ.กรุงเทพ,
ธ.กรุงศรีอยุธยา, ธ.กรุงไทย และ ธ.ไทยพาณิชย์
สรุปภาพภาวะอสังหาริมทรัพย์เดือนสิงหาคม 2557
ภาพรวมของอุปทานมีการปรับลดลง 11.58% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่การปรับตัวที่ลดลงเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการเริ่มมีการพัฒนาโครงการใหม่ออกมาบ้าง หลังจากปัจจัยลบทางการเมืองได้คลี่คลายไปเรียบร้อยแล้ว ในขณะที่ทางด้านอุปสงค์หดตัวลง 5.70% เนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ยังไม่เต็มที่ ประกอบกับภาระหนี้ครัวเรือนที่ยังมีทิศทางที่สูงอยู่ ส่งผลให้ผู้บริโภคมีการชะลอการตัดสินใจซื้อออกไปก่อน ทั้งนี้ที่อยู่อาศัยประเภทอาคารชุดยังมียอดการโอนกรรมสิทธิ์มากที่สุด อย่างไรก็ตามภาพรวมของอสังหาริมทรัพย์น่าจะปรับตัวค่อยๆ ดีขึ้นหลังจากที่เศรษฐกิจมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวได้มากขึ้นในระยะถัดไป ในขณะที่ดอกเบี้ยที่อยู่อาศัยยังทรงตัวอยู่ที่ 7.05% โดยที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายยังมีค่าเท่าเดิมไม่เปลี่ยนแปลงที่ 2.00%
โจทย์ที่ยากของธนาคารกลางทั่วโลก*
ทิศทางที่สวนกันระหว่างตลาดการเงินโลกที่ปรับตัวขาขึ้นกับภาวะเศรษฐกิจของประเทศที่ส่วนใหญ่เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวหรือขยายตัวในอัตราที่ต่ำลง นับวันจะยิ่งชัดเจนขึ้นล่าสุดดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวดีเป็นสถิติใหม่ที่ระดับ 17,402 ขณะที่ดัชนี DAX ของตลาดหลักทรัพย์เยอรมันปิดทะลุระดับ 9,500 แม้เศรษฐกิจโลกจะมีปัญหามากและตัวเลขเศรษฐกิจโลกล่าสุดก็ยังไม่ดี โดยเฉพาะกลุ่มประเทศยูโรโซนที่การฟื้นตัวยังอ่อนแอ ความไม่สอดคล้องนี้เป็นผลจากการผ่อนคลายนโยบายการเงินของประเทศอุตสาหกรรมหลัก ที่ทำให้ สภาพคล่องในตลาดการเงินโลกมีมากจากการอัดฉีดสภาพคล่องของธนาคารกลางตั้งแต่ปี 2008 เมื่อเกิดวิกฤติเศรษฐกิจโลก นำไปสู่ราคาหลักทรัพย์ทางการเงินที่ปรับสูงขึ้น โดยไม่สะท้อนปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ และถ้าสถานการณ์แบบนี้ยังมีต่อไป ความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะฟองสบู่ในตลาดการเงินก็จะมีมากตามไปด้วย เพื่อลดความเสี่ยง ธนาคารกลางควรต้องเริ่มปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้น แต่ภาวะเศรษฐกิจที่การฟื้นตัวไม่เข้มแข็งได้เป็นข้อจำกัดต่อการตัดสินใจดังกล่าว เมื่อดอกเบี้ยยังไม่ปรับขึ้น ตลาดการเงินก็ยิ่งจะร้อนแรง พร้อมกับความเสี่ยงของการเกิดภาวะฟองสบู่ที่จะเพิ่มสูงขึ้น โจทย์ก็คือธนาคารกลางจะเดินต่ออย่างไรในการทำนโยบายการเงินจากนี้ไป โจทย์นี้เป็นโจทย์ไม่ใช่เฉพาะแต่ธนาคารกลางในประเทศอุตสาหกรรมหลัก แต่ธนาคารกลางในเอเชียรวมถึงธนาคารแห่งประเทศไทยก็ต้องตอบโจทย์นี้ เพราะราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไทยก็ปรับสูงขึ้นเร็วเกินภาวะเศรษฐกิจของประเทศที่ยังไม่แสดงการฟื้นตัวอย่างที่อยากเห็น
เศรษฐกิจโลกปีนี้ไม่ได้ฟื้นตัวเข้มแข็งเหมือนที่หลายฝ่ายได้คาดการณ์เมื่อตอนต้นปี ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐได้ส่งสัญญาณว่าภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำคงจะมีอยู่ต่อไป เพื่อดูแลการฟื้นตัวของเศรษฐกิจแม้การลดทอนมาตรการคิวอีจะจบลงในเดือนตุลาคม สัญญาณนี้ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกตอบรับในทางบวก มีการไหลกลับของเงินลงทุนเข้าตลาดเอเชีย เพื่อหาผลตอบแทนในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยสหรัฐยังไม่ปรับขึ้น นำมาสู่ภาวะขาขึ้นของตลาดหุ้นในเอเชีย รวมถึงประเทศไทย แม้การขยายตัวของเศรษฐกิจเอเชียปีนี้จะต่ำลงกว่าปีที่แล้ว ในกรณีของไทยตลาดหุ้นปรับขึ้นประมาณร้อยละ 21.9 ตั้งแต่ต้นปี แม้เศรษฐกิจช่วงครึ่งปีแรกจะขยายตัวติดลบ และเศรษฐกิจช่วงสองเดือนแรกในช่วงครึ่งปีหลังก็ยังไม่มีโมเมนตั้มฟื้นตัวที่ชัดเจน
ถ้าจะมองเศรษฐกิจโลกย้อนกลับไปประมาณห้าปีตั้งแต่เกิดวิกฤติปี 2008 ความไม่สอดคล้องระหว่างตลาดการเงินกับภาวะเศรษฐกิจได้เกิดขึ้นตลอดในช่วงห้าปีที่ผ่านมา ตั้งแต่เดือนมีนาคมปี 2009 ถึงปัจจุบัน ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐ S&P 500 ปรับสูงขึ้นเกือบสองร้อยเปอร์เซ็นต์ ขณะที่อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกเฉลี่ยเพียงร้อยละ 2.8 ต่อปี ลดลงมาจากระดับปรกติในอดีต ความไม่สอดคล้องนี้เป็นผลจากการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าระบบการเงิน โดยธนาคารกลางประเทศอุตสาหกรรมหลักเพื่อการดูแลเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ เฉพาะระหว่างปี 2006 ถึง 2011 ที่มีการเก็บตัวเลขวงเงินการอัดฉีดสภาพคล่องของธนาคารกลุ่มประเทศ G4 คือ สหรัฐอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น และสหราชอาณาจักร รวมแล้วมีมากกว่าสามล้านล้านปอนด์หรือประมาณห้าล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ นี้คือตัวเลข ณ สิ้นปี 2011 แต่การอัดฉีดสภาพคล่องก็มีต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน ทำให้ปริมาณสภาพคล่องที่มีการอัดฉีดเข้าระบบการเงินโลกขณะนี้มีมหาศาล สภาพคล่องเหล่านี้ไม่ได้ถูกนำไปปล่อยเป็นสินเชื่อเพื่อกระตุ้นภาคเศรษฐกิจจริง (เป็นผลให้เศรษฐกิจไม่ฟื้น) แต่ได้ถูกนำไปลงทุนในตลาดการเงินทำให้ราคาหลักทรัพย์ โดยเฉพาะหุ้นทั่วโลกปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง ทั้งที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกยังอ่อนแอ แต่สภาพคล่องที่มีมากก็ได้ทำให้ความเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาเสถียรภาพในระบบการเงินโลกลดลง สะท้อนจากดัชนีที่วัดความผันผวนในตลาดการเงิน เช่น ดัชนี CBOE VIX Volatility Index ที่ลดลงร้อยละ 85.6 จากระดับสูงสุดเดือนพฤศจิกายนปี 2008 นอกจากนี้สภาพคล่องที่มีมากก็ทำให้ตลาดพันธบัตรปรับตัวดีขึ้น ต้นทุนการระดมเงินระยะยาวในประเทศกลุ่ม G4 ลดลง เช่น ผลตอบแทนการถือครองพันธบัตรอายุ 10 ปีลดลงประมาณหนึ่งถึงสามเปอร์เซ็นต์ ซึ่งจะช่วยให้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัว
ในภาพรวมการอัดฉีดสภาพคล่องได้นำมาสู่ประเด็นด้านนโยบายที่สำคัญ 3 ประเด็น คือ
1. แม้อัตราดอกเบี้ยระยะยาวจะลดลง หุ้นจะขึ้น และสภาพคล่องในระบบมีมาก แต่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่เข้มแข็งก็ยังไม่เกิด ส่วนหนึ่งก็เพราะปัญหาสำคัญในเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจประเทศอุตสาหกรรมหลักที่มีอยู่ โดยเฉพาะปัญหาในภาคสถาบันการเงินที่ยังไม่ได้แก้ไข ทำให้ภาคเอกชนไม่มีความมั่นใจในทิศทางระยะยาวของเศรษฐกิจ ปัจจัยนี้ทำให้ภาคเอกชนยังไม่ลงทุน การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจึงยังอ่อนแอ
2. เมื่อการเติบโตของเศรษฐกิจไม่เข้มแข็ง ตลาดการเงินโลกจึงต้องพึ่งการอัดฉีดสภาพคล่องของธนาคารกลางเป็นสำคัญในการหารายได้ และยิ่งนานวันการพึ่งพาก็ยิ่งจะมาก ประเด็นนี้ทำให้ตลาดการเงินโลกอ่อนไหวมากเป็นพิเศษต่อท่าทีของธนาคารกลางว่าจะปรับทิศทางอัตราดอกเบี้ยหรือไม่ นำมาสู่ความผันผวนที่มีมากจนเกินเหตุ
3. ภาวะดังกล่าวทำให้ธนาคารกลางอยู่ในภาวะจำยอมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และได้กลายเป็นสถาบันที่ต้องรับผิดชอบต่อความเป็นความตายของเศรษฐกิจโดยปริยาย เพราะต้องดูแลทั้งอัตราเงินเฟ้อ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และเสถียรภาพของระบบการเงิน ขณะที่นโยบายด้านอื่นๆ เช่น นโยบายการคลังก็มีข้อจำกัดจากปัญหาหนี้สาธารณะ และการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างที่จำเป็นต่อเศรษฐกิจในระยะยาวที่ต้องทำก็ขับเคลื่อนไปได้ยาก เพราะไม่มีการสนับสนุนจากฝ่ายการเมือง
ความน่ากลัวของสถานการณ์ขณะนี้ก็คือ ตลาดการเงินยังปรับตัวเป็นขาขึ้นต่อเนื่อง ทั้งๆ ที่ภาวะเศรษฐกิจโดยพื้นฐานยังไม่ดี สร้างความไม่สมดุลที่มากขึ้นที่จะนำไปสู่ความเสี่ยงของการเกิดภาวะฟองสบู่ และถ้าจะหลีกเลี่ยงไม่ให้ภาวะฟองสบู่เกิด ตลาดการเงินก็ต้องปรับตัว โดยราคาหุ้นต้องเริ่มปรับลงให้สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจ หรือไม่เศรษฐกิจก็ต้องขยายตัวได้มากกว่านี้ เพื่อให้ระดับของกิจกรรมเศรษฐกิจสอดคล้องกับตลาดการเงินที่ได้ปรับสูงไปล่วงหน้าแล้ว
ในแง่นโยบาย ทางเลือกของนโยบายการเงินคงมี 2 ทาง ดังนี้
1. ตลาดหุ้นควรมีแนวโน้มปรับตัวลดลง ซึ่งจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่ออัตราดอกเบี้ยนโยบายเริ่มปรับสูงขึ้นเพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดปัญหาฟองสบู่ ในประเทศที่การฟื้นตัวเริ่มเข้มแข็ง เช่น สหรัฐอเมริกา อัตราดอกเบี้ยนโยบายควรเริ่มปรับสูงขึ้นแต่เนิ่นๆ แต่สำหรับประเทศที่การฟื้นตัวยังไม่เข้มแข็ง การขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะไม่สอดคล้องกับเศรษฐกิจที่ยังอ่อนแอและไม่พร้อมที่จะรับมือกับอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น
2. กระตุ้นเศรษฐกิจต่อเพื่อให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้ดีขึ้น สอดคล้องกับภาวะตลาดการเงินที่ได้ปรับตัวไปแล้วล่วงหน้า ซึ่งหมายถึงต้องมีการอัดฉีดสภาพคล่องต่อไป แต่ถ้าดำเนินนโยบายนี้ต่อไป สภาพคล่องที่มีมากก็จะยิ่งทำให้ความร้อนแรงในตลาดหุ้นมีมากและมีความเสี่ยงต่อภาวะฟองสบู่ก็จะมีมากขึ้นไปอีก อันนี้คือกรณีของกลุ่มประเทศยูโรโซนที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังคงอ่อนแอ
ดังนั้นธนาคารกลางจะทำอย่างไร คงขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจของแต่ละประเทศเป็นสำคัญ ขณะนี้กำลังมีการคาดเดากันว่าธนาคารกลางไหนจะเป็นธนาคารแรกที่จะขึ้นดอกเบี้ย สำหรับประเทศไทยอัตราดอกเบี้ยคงจะอยู่ในระดับนี้ต่อไป เพื่อให้เศรษฐกิจมีการฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่องก่อนที่จะมีทิศทางในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีหน้าต่อไป
ความสำคัญของกรอบอัตราเงินเฟ้อ
กรอบอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยรายไตรมาสที่ร้อยละ 0.5 - 3.0 ต่อปี เป็นเป้าหมายนโยบายการเงินของปี 2557 ซึ่งเป็นเป้าหมายเดิมที่ใช้ต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2552 โดยกรอบเป้าหมายดังกล่าวไม่ได้กระทบต่อแนวทางการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แต่อย่างใด โดย ธปท. ได้ดำเนินนโยบายการเงินภายใต้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อแบบยืดหยุ่น (คือการดำเนินนโยบายเพื่อดูแลเงินเฟ้อ ควบคู่กับการเติบโตทางเศรษฐกิจและเสถียรภาพการเงิน) ซึ่งที่ผ่านมาก็มีส่วนช่วยดูแลเสถียรภาพด้านราคาให้อยู่ในเกณฑ์ดี ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่อเนื่องและเหมาะสมกับระดับศักยภาพของประเทศ อีกทั้งยังช่วยรักษาเสถียรภาพการเงินได้ในระดับหนึ่ง
ประเทศไทยไม่ใช่ประเทศเดียวที่ธนาคารกลางดำเนินนโยบายการเงินโดยยึดกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ มีอีกหลายประเทศที่ธนาคารกลางประกาศใช้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ ไม่ว่าจะเป็นประเทศกลุ่มพัฒนาแล้วหรือกลุ่มที่กำลังพัฒนา อาทิ นิวซีแลนด์ อังกฤษ ออสเตรเลีย แคนาดา เกาหลีใต้ และอินโดนีเซีย เป็นต้น แม้กระทั่งธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นที่ในระยะหลังหันมาประกาศเป้าหมายเงินเฟ้อที่ชัดเจนให้สาธารณชนทราบว่าเป็นเป้าหมายของนโยบายการเงินในระยะยาว สะท้อนให้เห็นถึงหนึ่งในพันธกิจหลักของธนาคารกลางทั่วโลก คือ การรักษาเสถียรภาพด้านราคา
การกำหนดและประกาศเป้าหมายเงินเฟ้อให้ประชาชนรับรู้ถือเป็นกลยุทธ์สำคัญในการดูแลเงินเฟ้อของธนาคารกลางด้วยการยึดเหนี่ยวการคาดการณ์เงินเฟ้อของประชาชนในอนาคต โดยเฉพาะในระยะปานกลางถึงระยะยาว การมีเป้าหมายเงินเฟ้อที่ชัดเจนให้ประชาชนได้ยึดถือและอ้างอิงนั้น หากประชาชนเชื่อมั่นว่าธนาคารกลางจะดูแลให้อัตราเงินเฟ้อในอนาคตอยู่ ณ ระดับใกล้เคียงกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ แม้จะมีปัจจัยใดมากระทบทำให้เงินเฟ้อปรับสูงขึ้นหรือต่ำลงจากเป้าหมาย ประชาชนจะไม่เปลี่ยนการคาดการณ์เงินเฟ้อในอนาคต เพราะเชื่อว่าธนาคารกลางจะทำให้เงินเฟ้อกลับเข้าสู่ระดับเป้าหมายที่กำหนดไว้ในที่สุด ส่งผลให้ประชาชนไม่เปลี่ยนพฤติกรรมในด้านต่างๆ ทั้งการบริโภค การลงทุน หรือแม้แต่การปรับเปลี่ยนค่าจ้างและราคาสินค้า ซึ่งท้ายสุดแล้วสิ่งเหล่านี้จะทำให้เงินเฟ้อที่เกิดขึ้นจริงกลับเข้าสู่เป้าหมายเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางกำหนดไว้
ทั้งนี้จากงานศึกษาเชิงประจักษ์ในต่างประเทศต่างแสดงให้เห็นว่าการกำหนดกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อมีส่วนช่วยลดระดับความผันผวนของอัตราเงินเฟ้อ และช่วยยึดเหนี่ยวการคาดการณ์เงินเฟ้อในอนาคตของสาธารณชน รวมทั้งช่วยลดผลกระทบต่อเงินเฟ้อจากปัจจัยที่ไม่คาดคิด อาทิเช่น ราคาน้ำมันโลกที่พุ่งสูงขึ้น เป็นต้น
การที่ประเทศมีอัตราเงินเฟ้อที่ไม่ผันผวนและอยู่ในระดับต่ำตามที่ธนาคารกลางกำหนด รวมทั้งยังอยู่ในวิสัยที่ประชาชนสามารถคาดการณ์ได้นั้นจะช่วยลดความไม่แน่นอนเรื่องต้นทุนการกู้ยืมระยะยาว และเป็นการเสริมสร้างบรรยากาศที่ดีในการตัดสินใจบริโภค ออม และลงทุนแก่ภาคเอกชน รวมทั้งยังช่วยรักษาขีดความสามารถในแข่งขันกับประเทศอื่นๆ ซึ่งทั้งหมดนี้ถือเป็นหัวใจสำคัญที่จะนำไปสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศที่ยั่งยืน
ดังนั้นกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อที่ชัดเจนกับการดำเนินนโยบายการเงินที่โปร่งใสและยึดมั่นในหลักการของธนาคารกลางจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจในระยะยาว เพราะเป้าหมายเงินเฟ้อที่ชัดเจนและเหมาะสมจะเป็นตัวชี้นำการตัดสินใจวางแผนใช้จ่ายและลงทุน ซึ่งจะเชื่อมโยงไปสู่พฤติกรรมของประชาชนในทุกภาคส่วน อันจะทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจดำเนินไปได้อย่างราบรื่น แต่สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากขาดความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อธนาคารกลางว่าจะรักษาอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในกรอบเป้าหมายตามที่ได้สัญญาไว้
_______________
* โดย ดร.บัณฑิต นิจถาวร คอลัมนิสต์ประจำคอลัมน์ "เศรษฐศาสตร์บัณฑิต" หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
กลุ่มข้อมูลและวางแผนสื่อสารองค์กร
ฝ่ายสื่อสารองค์กร