Main Page > Financial Articles > แนวทางการวางแผนประกันเพื่อรองรับความเสี่ยงในอนาคต

แนวทางการวางแผนประกันเพื่อรองรับความเสี่ยงในอนาคต

แนวทางการวางแผนประกันเพื่อรองรับความเสี่ยงในอนาคต*

            เหตุการณ์วางระเบิดที่ศาลพระพรหม สร้างความสะเทือนใจคนไทยทั้งประเทศ หลายคนหันกลับมาวางแผนชีวิตในมุมมองใหม่ เพราะสิ่งที่ไม่คาดคิดอาจเกิดขึ้นได้เสมอ การสูญเสียมีผลต่อเนื่องถึงครอบครัวที่เราต้องรับผิดชอบดูแล จึงขอเสนอแนวทางการจัดสรรเงินลงทุนส่วนหนึ่งเพื่อการประกันชีวิต โดยหลักการทำประกันชีวิตมีให้เลือกหลายแบบ ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
            แบบ 1 แบบตลอดชีพที่ให้ความคุ้มครองตลอดชีวิต เมื่อเราไม่อยู่แล้ว ลูกหลานจะได้รับเงินจากบริษัทประกัน ซึ่งเป็นแบบมาตรฐาน จ่ายเบี้ยประกันรายปีต่อเนื่อง ซึ่งควรพิจารณาความสามารถในการจ่ายเบี้ยกับเงินที่จะได้รับ ถ้าเงินประกันที่ต้องการให้ลูกหลานมาก ก็ต้องจ่ายเบี้ยมาก ถ้าเงินประกันน้อยเกินไปลูกหลานก็ลำบากได้

            แบบ2 แบบสะสมทรัพย์ ผสมระหว่างการออมทรัพย์กับการประกันชีวิตมีกำหนดระยะเวลาในสัญญาทำประกัน ถ้าเราจากไปก่อนสัญญาครบกำหนด ลูกหลานก็ได้เงิน ถ้าอยู่จนถึงครบกำหนด ก็จะได้รับเงินคืนตามที่ตกลงกัน แบบนี้ควรดูอัตราดอกเบี้ยที่จะได้รับเทียบกับผลตอบแทนอื่น

            แบบ 3 แบบมีกำหนดระยะเวลา ในสัญญาจะกำหนดระยะเวลาเลยว่า ถ้าเราจากไปก่อนครบสัญญา ลูกหลานจะได้เงิน แต่ถ้าครบอายุสัญญาจะไม่ได้รับเงินคืน ประกันแบบนี้เบี้ยประกันจะถูกที่สุด เหมาะกับคนอาชีพที่มีความเสี่ยงสูงหรืออยู่ในวัยทำงาน เพิ่งเริ่มต้นสร้างครอบครัว และมีภาระมาก

            แบบ4 แบบบำนาญ เป็นการประกันชีวิตแบบใหม่ ที่จะจ่ายเงินจำนวนหนึ่งให้ทุกเดือนหรือทุกปีตั้งแต่เกษียณอายุ จนเราจากไปหรือเมื่ออายุ 80 หรือ 90 ปี ตามสัญญากำหนด เป็นการประกันให้เรามีรายได้เมื่อเราแก่มากกว่าการส่งเงินต่อให้ลูกหลาน เหมาะกับผู้ที่ทำงานเอกชน และต้องการความมั่นคงเมื่อยามสูงอายุ แบบนี้เป็นส่วนเสริมจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือกองทุนประกันสังคม และกองทุนการออมแห่งชาติ

            ดังนั้นจึงควรเลือกแบบประกันที่เหมาะกับเป้าหมายการใช้ชีวิตและสถานะทางการ เงินและควรจัดสัดส่วนรายได้บางส่วนเพื่อจ่ายเบี้ยประกันชีวิตประมาณ 5-10% ของรายได้ อาจปรับเพิ่มหรือลดตามการเปลี่ยนแปลงในชีวิตได้

            ปัจจุบันมีการออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ๆ ควบกับประกันชีวิตไปด้วย ที่เรียกว่า Unit Link เป็นกรมธรรม์ที่บริษัทประกันชีวิตขายควบกับกองทุนรวม ซึ่งทำให้ผู้ซื้อได้รับทั้งความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันชีวิตและได้ลงทุน ในกองทุนรวมเงินที่จ่ายซื้อกรมธรรม์ Unit Link จะถูกแบ่งเป็น 2 ส่วน ดังนี้

            ส่วนที่ 1 เป็นค่าเบี้ยประกันภัยสำหรับการให้ความคุ้มครองตามที่กรมธรรม์ประกันชีวิต กำหนดซึ่งบริษัทประกันชีวิตจะนำเงินส่วนนี้ไปบริหารเองและบริษัทจะเป็นผู้ รับความเสี่ยงจากการนำเบี้ยประกันไปลงทุนในหลักทรัพย์และทรัพย์สินประเภท ต่างๆ

            ส่วนที่ 2 จัดสรรเข้าเป็นส่วนเงินลงทุนตามสัดส่วนที่ระบุในกรมธรรม์ ซึ่งบริษัทประกันชีวิตจะนำไปซื้อหน่วยลงทุนของกองทุนรวมตามคำสั่งของผู้เอา ประกัน โดยบริษัทที่รับจัดการเงินจะออกหน่วยลงทุนให้แก่ผู้เอาประกัน สิ่งที่แตกต่างจากประกันชีวิตทั่วไปคือ ผลตอบแทนที่อาจได้มากขึ้นหรือน้อยลงจากกองทุนรวมที่ลงทุน ถ้าเศรษฐกิจดีขึ้น กองทุนรวมสร้างผลตอบแทนที่ดี ก็จะได้รับผลตอบแทนที่ดีไปด้วย

            โดยสรุปการจ่ายเบี้ยประกันเป็นการลงทุน ถือเป็นส่วนหนึ่งของการทำ Asset Allocation เป็นการป้องกันความเสี่ยง ถึงแม้ว่าจะได้ผลตอบแทนน้อยกว่าการลงทุนประเภทอื่นๆ ก็ตาม แต่เมื่อถึงจุดเสี่ยงที่สำคัญ การประกันก็ช่วยให้รอดพ้นวิกฤตได้มาก อย่างไรก็ตามความน่าเชื่อถือและความมั่นคงของบริษัทผู้รับประกันก็เป็นส่วน สำคัญที่ต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบ เพราะระยะเวลาในการประกันจะค่อนข้างมีเวลานานพอสมควร ถ้าหากว่าบริษัทประกันไม่มีความมั่นคงก็อาจจะส่งผลต่อเงินที่เราออมมาทั้ง ชีวิตได้เป็นอย่างดี


_____________________
* แหล่งที่มาของข้อมูล : ดร.ศุภกร สุนทรกิจ กรรมการบริหาร สายงาน Wealth Management บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย เวลท์ จำกัด

Financial Articles

18 SEP 2015

1703 Views

BAM Mobile Application

ค้นหาทรัพย์ง่ายๆ เพียงปลายนิ้วสัมผัส

บริการฝากขาย
อสังหาฯ
ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย