หน้าหลัก > บทความการเงิน > หลักการพิจารณาตลาดหุ้นราคาถูกหรือแพง

หลักการพิจารณาตลาดหุ้นราคาถูกหรือแพง

หลักการพิจารณาตลาดหุ้นราคาถูกหรือแพง*

 

          การดูหุ้นรายตัวหรือตลาดหุ้นทั้งตลาดว่าถูกหรือแพงนั้น ข้อแรกคือต้องเข้าใจก่อนว่าเอาราคาหุ้นมาเทียบกันตรงๆ เลยไม่ได้ เพราะหุ้นแต่ละตัวสร้างกำไรให้ไม่เท่ากัน ราคาที่แท้จริงของหุ้น คือ ค่า P/E (P/E ratio หรือ Price to Earning Ratio) หรือ ราคาหุ้นหารด้วยกำไรต่อหุ้น ซึ่งค่า P/E นั้น คือ ราคาหุ้นที่แท้จริง ตัวอย่างเช่น หุ้นบริษัทหนึ่งราคา 300 บาท แต่บริษัทมีกำไร 30 บาทต่อปี (P/E = 300/30 = 10 เท่า) ก็ดูไม่แพงนัก แต่เมื่อเทียบกับอีกบริษัทหนึ่งซึ่งราคาหุ้น 20 บาท แต่มีกำไรเพียง 1 บาท (P/E = 20/1 = 20 เท่า) คือถ้า P/E ยิ่งสูงหรือราคาหารด้วยกำไรสูงก็เรียกว่าแพง หรืออย่างเช่น ดัชนีฮั่งเส็งของฮ่องกงอยู่ที่สองหมื่นกว่า จะเทียบกับ SET Index ของไทยที่พันห้าร้อยได้อย่างไร เมื่อนำกำไรของแต่ละตลาดมาหารเปลี่ยนเป็นค่า P/E ก็สามารถเทียบ P/E ของทั้งสองตลาดได้

 

          เมื่อเข้าใจพื้นฐานเรื่องราคาแล้วก็มาเริ่มดูว่าถูกแพงเทียบกับอะไร ซึ่งมีหลายมิติมากที่นักลงทุนมืออาชีพใช้ศึกษาเพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุน โดยมีรายละเอียดดังนี้


          มิติแรก ต้องดูว่านอกจาก P/E ที่สูงนั้น มีส่วนกำไรของบริษัทในตลาดนั้นๆ จะโตมากไหม เช่น สองตลาดมี P/E ที่เท่ากัน แต่ตลาดหนึ่งกำไรปีหน้าคาดว่าจะโต 5% แต่อีกตลาดคาดว่ากำไรจะโต 10% แม้ว่าข้างต้นบอกว่า P/E เท่ากัน คือ ราคาที่แท้จริงเท่ากัน แต่บริษัทที่คาดว่ากำไรจะโตมากกว่าก็จะถูกกว่า เพราะพอกำไรปีหน้ามากขึ้น หรือตัว E ที่เป็นตัวหารมากขึ้น P/E ก็ลดลง คือถ้า P/E เท่ากันแน่นอนว่าก็ควรเลือกตลาดที่คาดว่ากำไรจะโตมากกว่า พูดง่ายๆ คือถ้ากำไรโตมาก นักลงทุนก็ยอมจ่ายราคาแพง เพราะปีหน้าพอกำไรเพิ่มขึ้นค่า P/E ก็ลดลงกลายเป็นถูกเอง

 

          มิติที่สอง การดูค่า P/E เทียบกับสถิติในอดีตว่าค่า P/E นั้นเคยแกว่งตัวอยู่ในช่วงใด โดยปกติแล้วค่า P/E ของตลาดมักจะแกว่งตัวอยู่ประมาณ 10-18 เท่า โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 14 เท่า ถ้าช่วงไหนค่า P/E ตลาดเข้าไปใกล้ 16-18 เท่า ก็มักจะคุยกันติดปากว่าตลาดเริ่มแพง แต่ถ้าช่วงไหนค่า P/E ตลาดอยู่ 10-12 เท่า ก็มักจะบอกกันว่าถูกแล้วน่าทยอยสะสม

 

          มิติที่สาม การดูค่า P/E ตลาดไทยเมื่อเทียบกับตลาดอื่น เนื่องจากไทยไม่ได้เป็นตลาดปิดอยู่คนเดียวในโลก ปัจจุบันเงินทุนเคลื่อนไหวเสรี ผู้จัดการกองทุนระดับโลกที่ดูแลเงินเป็นหลายล้านเหรียญ สามารถย้ายเงินจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง ก็จะต้องเปรียบเทียบว่าตลาดไหนถูกแพง เช่น อาจจะมองว่าตลาดไทยมี P/E ที่ 16.5 เท่า จะดูแพงเมื่อเทียบกับสถิติในอดีต แต่ถ้าตลาดเพื่อนบ้านอื่นๆ เช่น ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย หรือแม้แต่อินเดีย ที่มีอัตราการเติบโตของกำไรพอๆ กัน ก็มีค่า P/E ของตลาดที่ 16-18 เท่า ซึ่งแบบนี้ไทยก็ไม่ได้แพงกว่าประเทศอื่นในสายตาของนักลงทุนต่างชาติ

 

          มิติที่สี่ เรื่องค่าเงิน ในมุมมองของนักลงทุนต่างชาติหรือผู้จัดการกองทุนระดับโลกแล้ว เวลามาซื้อตลาดหุ้นไทยเมื่อมีกำไร (หรือขาดทุนก็ตาม) แต่เมื่อขายแล้วก็ต้องแลกเงินกลับเป็นดอลลาร์ ยูโร หรือ เยนกลับประเทศ ฉะนั้นค่า P/E ที่ใช้เปรียบเทียบความถูกแพงของตลาดหุ้นต่างๆ นั้น จริงๆ แล้วต้องทอนด้วยค่าเงินด้วย จะเอา P/E มาเทียบกันตรงๆ เลยไม่ได้ ส่วนการทอนค่าเงินนั้นก็ใช้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยของสองสกุลเงินมาเป็นตัวทอน ก่อนที่จะนำค่า P/E และการเติบโตของกำไรของตลาดต่างๆ มาเทียบกัน

 

          โดยสรุปถ้าเข้าใจวิธีการมองตลาดทั้ง 4 มิติแล้ว ก็จะสามารถปรับพอร์ตให้เหมาะสมได้ อาจขายทำกำไรบ้างในยามที่ตลาดแพง และเก็บเงินไว้ลงทุนเพิ่มในยามที่ตลาดปรับลงมาถูก เพื่อสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนให้ได้มากที่สุด

        
_______________
* แหล่งที่มาของข้อมูล : สมิทธ์ พนมยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนไทยพาณิชย์ จำกัด 

 

 

กลุ่มข้อมูลและวางแผนสื่อสารองค์กร
ฝ่ายสื่อสารองค์กร

บทความการเงิน

วันที่ 21 ตุลาคม 2559

4404 Views

BAM Mobile Application

ค้นหาทรัพย์ง่ายๆ เพียงปลายนิ้วสัมผัส

บริการฝากขาย
อสังหาฯ
ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย