หน้าหลัก > บทความการเงิน > ลงทุนในกองทุน Healthcare ต้องให้เวลาเติบโต

ลงทุนในกองทุน Healthcare ต้องให้เวลาเติบโต

ลงทุนในกองทุน Healthcare ต้องให้เวลาเติบโต*

 

          นับแต่ช่วงกลางปี 2558 ที่ผ่านมาตลาดหุ้นทั่วโลกเริ่มผันผวนอย่างหนัก ทั้งๆที่เมื่อต้นปีผู้จัดการกองทุนต่างแนะนำให้ไปลงทุนในต่างประเทศ เพราะมีแนวโน้มสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่ามาก แต่แล้วความผิดหวังต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน และทำให้นักลงทุนได้รับผลขาดทุนจากการลงทุนในตลาดหุ้นทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมเฮลท์แคร์ที่ทำเอาผู้ลงทุนผิดหวังกับผลงานอย่างหนัก จะว่าไปแล้วกองทุนหุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์ถือเป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องการลงทุนที่ต้องให้เวลา และควรดูที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก เพราะจะเห็นได้ว่าสัดส่วนกลุ่มอุตสาหกรรมนี้อยู่ในอเมริกาและยุโรปเป็นส่วนใหญ่ ราคาหุ้นของกลุ่มบริษัทดังกล่าวในระยะสั้นจึงได้รับผลกระทบจากนโยบายเลือกตั้งประธานาธิบดีอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่หากวิเคราะห์ให้เข้าใจถึงพื้นฐานการลงทุน อย่างที่มาของรายได้บริษัทจะเห็นว่าสิ่งที่มีผลต่อรายได้ที่แท้จริงของบริษัทกลุ่มนี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงหรือได้รับผลกระทบแต่อย่างใด และในทางหนึ่งก็กลับทำผลประกอบการได้ดี และมีแนวโน้มดียิ่งขึ้นในอนาคตด้วยซ้ำ

 

          นักลงทุนต่างชาติได้ประเมินว่า EPS Growth ของกลุ่มอุตสาหกรรมนี้ว่าอยู่ที่ 12% ซึ่งจะเห็นว่าอยู่ในระดับที่น่าสนใจ สำหรับธุรกิจเฮลท์แคร์นั้น ที่ผ่านมามีความเชื่อมโยงกับลักษณะและชีวิตความเป็นอยู่ของประชากรโลก โดยปัจจัยหลักๆ ที่ทำให้กลุ่มอุตสาหกรรมนี้มีความน่าสนใจ คือ เชื่อว่าในอนาคตจะมีสัดส่วนผู้สูงอายุมากขึ้น และมีกลุ่มผู้มีรายได้ที่ดีขึ้นจะมีแนวโน้มใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพมากขึ้น ข้อเท็จจริงก็พิสูจน์แล้วว่าโลกมีแนวโน้มเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุจริง และประชากรในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ก็มีแนวโน้มคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นจริงๆ ทำให้ราคาหุ้นของกลุ่มธุรกิจนี้จึงปรับตัวขึ้นด้วยอัตราเร่งแซงหน้าตลาดหุ้นโดยรวมในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งไม่น่าแปลกใจที่เมื่อมีปัจจัยบางอย่างมากระทบก็ทำให้ราคาปรับตัวลดลงแรงจากการขายทำกำไร และก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าความต้องการที่มีมากขึ้นของผู้บริโภคก็ใช่ว่าจะทำกำไรให้กับธุรกิจเฮลท์แคร์หรือให้ผลเร็วทันใจในระยะสั้น เนื่องจากเป็นธุรกิจที่ต้องใช้เงินทุนสูงในการคิดค้นเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อให้ทันสมัยกับโรคภัยอยู่เสมอและบางครั้งความทุ่มเทที่จะคิดค้นก็อาจไม่ประสบความสำเร็จในระยะเวลาสั้นๆ หรือแม้แต่วิธีควบรวมกิจการที่ผู้ประกอบการหวังว่าจะมีสายการผลิตที่ครอบคลุมมากขึ้นอย่างรวดเร็ว สามารถป้อนหรือผลิตสินค้าให้ผู้บริโภคอย่างครบถ้วนทันความต้องการ ก็ทำให้บริษัทในธุรกิจนี้มักได้รับผลกระทบอยู่เนืองๆ จนส่งผลให้ราคาหุ้นมีความผันผวนสูงมาก

 

          สำหรับกลุ่มเทคโนโลยีชีวภาพที่พบว่าในช่วงปีที่ผ่านมีความผันผวนสูงมาก และทำผลงานได้ไม่ดี จะเห็นได้ว่าปัจจุบัน Forward P/E อยู่ในระดับที่น่าสนใจมาก คือ อยู่ที่ 12 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีที่อยู่ที่ระดับ 17 เท่า และพบว่าเคยสูงสุดถึง 28 เท่า เมื่อ 3 ปีก่อนหน้านี้ เพราะฉะนั้นในช่วงนี้ก็ถือว่าเป็นจังหวะที่น่าสนใจที่จะเริ่มลงทุนในบริษัทที่พื้นฐานดีมีอนาคต สิ่งที่น่าสนใจ คือ ทำไมนักลงทุนไทยถึงวิตกกังวลกับกลุ่มอุตสาหกรรมเฮลท์แคร์มาก อาจเป็นเพราะนักลงทุนในต่างประเทศมักคุ้นและเข้าใจกับลักษณะของธุรกิจพอสมควร อย่างกลุ่มอุตสาหกรรมเฮลท์แคร์ ซึ่งกำลังเข้าสู่วงจรเติบโตในขั้นต้น และอยู่ระหว่างการขยายตัว รวมทั้งมีระยะเวลาการลงทุนที่ยาว 3-5 ปี หรือบางครั้งก็ 10 ปี นักลงทุนในต่างประเทศจึงทนยอมรับความเสี่ยงจากความผันผวนในระยะสั้น และมองข้ามไปถึงโอกาสเติบโตในอนาคตด้วยปัจจัยพื้นฐานจริงๆ ของกลุ่มอุตสาหกรรมเฮลท์แคร์ว่า โลกในอนาคตไม่มีทางหลีกเลี่ยงสังคมผู้สูงอายุได้ และเทคโนโลยีด้านการรักษาก็ต้องมีการปรับปรุงและพัฒนาต่อไปได้อย่างแน่นอน ดังนั้นเมื่อนักลงทุนมั่นใจในพื้นฐานมากพอ จึงมีแนวโน้มที่จะกล้ามากกว่าที่จะกลัว โดยเฉพาะเมื่อราคาหุ้นปรับตัวลดลงยิ่งจะมองเป็นจังหวะและโอกาส ในระยะสั้นๆ อาจไม่ได้เห็นกลุ่มอุตสาหกรรมเฮลท์แคร์ทำผลงานได้ดีนัก เพราะปัจจัยรบกวนที่ยังคงมีอยู่ แต่เชื่อเถอะว่าในระยะยาวแล้ว ไม่อาจปฏิเสธกลุ่มอุตสาหกรรมนี้ได้จริงๆ เพียงแต่ต้องให้เวลาเท่านั้น เพื่อที่จะรอการเติบโตที่มากขึ้นในระยะยาวจากเหตุผลต่างๆ ดังที่ได้กล่าวไปแล้ว

          
_______________
* แหล่งที่มาของข้อมูล : นรี พฤกษยาภัย ผู้จัดการกองทุนอาวุโส กลุ่มกองทุนต่างประเทศ บลจ.ธนชาต

 

 

กลุ่มข้อมูลและวางแผนสื่อสารองค์กร
ฝ่ายสื่อสารองค์กร

บทความการเงิน

วันที่ 16 มิถุนายน 2559

1199 Views

BAM Mobile Application

ค้นหาทรัพย์ง่ายๆ เพียงปลายนิ้วสัมผัส

บริการฝากขาย
อสังหาฯ
ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย