เกี่ยวกับเรา
BAM ประกอบธุรกิจด้านการบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ โดยมีส่วนช่วยเหลือลูกหนี้และแก้ไขปัญหาสถาบันการเงิน เพิ่มเติม
ทรัพย์
อื่นๆ
ติดต่อเรา
0-2630-0700
0-2266-3377
99 ถนนสุรศักดิ์ แขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพฯ 10500
หน้าหลัก > บทความการเงิน > เลือกรูปแบบกองทุน LTF และ RMF ให้เหมาะต่อตัวคุณ
เลือกรูปแบบกองทุน LTF และ RMF ให้เหมาะต่อตัวคุณ*
ในช่วงปลายปีนักลงทุนอาจจะเริ่มหาการลงทุนที่ช่วยประหยัดภาษี เช่น กองทุน RMF และ LTF โดยเฉพาะกองทุน RMF นั้นก็มีให้เลือกลงทุนหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าการลงทุนในตราสารหนี้ ตราสารทุน การลงทุนในต่างประเทศ รวมถึงการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ทองคำ น้ำมัน เป็นต้น แต่ในการเลือกกองทุนที่จะลงทุนนั้น นอกจากต้องเลือกประเภทสินทรัพย์ที่กองทุนนั้นมีนโยบายที่จะลงทุนตามที่ได้ กล่าวมาแล้วนั้น สิ่งที่ไม่ควรมองข้ามไปได้ก็คือรูปแบบ หรือ Style ของการบริหารกองทุนนั้นๆ โดยในการจัดการกองทุนอาจจะแบ่งรูปแบบการลงทุนเป็น 3 รูปแบบหลักๆ คือ
1. Passive และ Enhance คือการลงทุนโดยกำหนดสัดส่วนการลงทุน หรือมีปัจจัยความเสี่ยงให้ใกล้เคียงดัชนีมาตรฐานที่อ้างอิง หรือมีการเบี่ยงเบนไปไม่มากนัก ดังนั้นผลตอบแทนจากการลงทุนในกองทุนประเภท Passive Fund และ Enhance Fund จะใกล้เคียงดัชนีอ้างอิง
2. Active คือการลงทุนโดยกำหนดสัดส่วนการลงทุน หรือมีปัจจัยความเสี่ยงให้แตกต่างดัชนีมาตรฐานที่อ้างอิงในระดับหนึ่ง เพื่อให้ได้ผลตอบแทนดีกว่าดัชนีมาตรฐานอ้างอิง อัตราผลตอบแทนอาจจะไม่ได้เป็นไปตามทิศทางตลาดทั้งหมด โดยผลตอบแทนจากการลงทุนในกองทุนประเภท Active Fund อาจจะแตกต่างจากดัชนีอ้างอิงมากหรือน้อยจะขึ้นอยู่กับระดับการเบี่ยงเบนสัด ส่วนการลงทุน หรือปัจจัยความเสี่ยงที่แตกต่างจากดัชนี
3. Absolute คือการลงทุนโดยไม่ได้กำหนดสัดส่วนการลงทุน หรือมีปัจจัยความเสี่ยงตามดัชนีมาตรฐานที่อ้างอิง แต่มุ่งสร้างผลตอบแทนตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ทำให้อัตราผลตอบแทนจะไม่เป็นไปตามทิศทางตลาด ดังนั้นผลตอบแทนจากการลงทุนในกองทุนประเภท Absolute Fund จะไม่เกี่ยวข้องกับดัชนีอ้างอิง
ซึ่งการบริหารกองทุนแบบ Absolute นั้นผู้จัดการกองทุนจะมีแนวคิดแตกต่างไปจากการบริหารแบบ Active กล่าวคือ ผู้จัดการกองทุนที่บริหารกองทุนแบบ Absolute มุ่งที่จะหาการลงทุนในตราสารที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวกโดยไม่สนใจว่าดัชนีจะขึ้น หรือลง ในขณะที่กองทุนที่บริหารแบบ Active จะมุ่งหาการลงทุนที่ให้ได้ผลตอบแทนมากกว่าตัวชี้วัด เช่น ต้องเลือกหุ้นที่มีแนวโน้มขึ้นมากกว่าดัชนีหากดัชนีปรับตัวขึ้น หรือมีแนวโน้มลดลงน้อยกว่าดัชนีหากดัชนีปรับตัวลดลง
นอกจากนั้นในกรณีที่ผู้จัดการกองทุนไม่มั่นใจสถานการณ์ของการลงทุน เช่น ตลาดมีความผันผวนสูงหรือจะมีการประกาศมาตรการสำคัญซึ่งอาจจะส่งผลทั้งในด้าน บวกหรือลบอย่างรุนแรง กองทุนที่มีนโยบายการลงทุนแบบ Absolute ผู้จัดการกองทุนอาจจะเลือกที่จะถือเงินสดแทน เนื่องจากเป้าหมายคือการไม่ขาดทุน แต่สำหรับการบริหารกองทุนแบบ Active จะต้องทำให้สัดส่วนการลงทุนใกล้เคียงกับตัวชี้วัด เนื่องจากหากหุ้นขึ้นหรือลงมากๆ ผลการดำเนินงานของกองทุน หรือ Performance ของกองทุนจะยังคงเป็นไปตามตัวชี้วัด หากเลือกที่จะถือเงินสดมากๆ หากหุ้นขึ้นมากจะทำให้อัตราผลตอบแทนของกองทุนแพ้ตัวชี้วัดมาก จึงทำให้ผู้จัดการหลีกเลี่ยงที่จะลดน้ำหนักหุ้นลง
ดังนั้นการเลือกแนวทางการลงทุนระหว่าง Absolute กับแบบ Active ก็จะขึ้นกับนักลงทุนว่านักลงทุนต้องการเลือกการลงทุนแบบใด โดยกองทุน Absolute ควรจะให้ความเสี่ยงที่ต่ำกว่าแต่ก็แลกมาด้วยอัตราผลตอบแทนที่มีแนวโน้มต่ำ กว่า ในขณะที่แบบ Passive Enhance หรือแบบ Active จะให้อัตราผลตอบแทนมากกว่าในระยะยาวถ้านักลงทุนสามารถรับความเสี่ยงได้ โดยนักลงทุนจะต้องศึกษาหนังสือชี้ชวนและพิจารณาว่ากองทุนประเภทใดและการ บริหารแบบใดเหมาะสมกับตัวนักลงทุนเอง หรือจะประเมินตนเองโดยใช้แบบสอบถามประเมินความเสี่ยงของผู้ลงทุนว่าจะสามารถ รับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน ก็จะทำให้รู้ว่าตนเองเหมาะสมกับกองทุนประเภทไหน
__________________________
* โดย คุณรุ่งโรจน์ นิลนพคุณ ผู้จัดการกองทุน บลจ.ฟินันซ่า หนังสือพิมพ์ผู้จัดการฉบับวันที่ 23 พฤศจิกายน 2555