เกี่ยวกับเรา
BAM ประกอบธุรกิจด้านการบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ โดยมีส่วนช่วยเหลือลูกหนี้และแก้ไขปัญหาสถาบันการเงิน เพิ่มเติม
ทรัพย์
อื่นๆ
ติดต่อเรา
0-2630-0700
0-2266-3377
99 ถนนสุรศักดิ์ แขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพฯ 10500
หน้าหลัก > บทความการเงิน > การลงทุนท่ามกลางความผันผวนของค่าเงิน
การลงทุนท่ามกลางความผันผวนของค่าเงิน*
หากมองย้อนกลับไปในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงเวลาของวิกฤตหนี้สาธารณะของประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรปและปัญหา ความอ่อนแอทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา สถานการณ์ในช่วงเวลานั้นมีผลทำให้เกิดกระแสเงินลงทุนจากต่างชาติไหลเข้าสู่ ประเทศในกลุ่มภูมิภาคเอเชียตามความแข็งแรงของระบบเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย ที่สามารถขยายตัวอยู่ในระดับที่ดีกว่า แต่สำหรับสถานการณ์ในปัจจุบันที่มีการไหลเข้าของเม็ดเงินลงทุนต่างชาติใน ปริมาณมาก จนกดดันให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นไปกว่า 3.3% จากระดับ 30.7 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงปลายปี 2555 มาอยู่ที่ระดับ 29.7 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ในวันที่ 21 ม.ค. 2556 โดยเป็นผลมาจากสภาพคล่องส่วนเกินในระบบการเงินของโลก อันเกิดจากแนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจของหลายๆ ประเทศผ่านมาตรการอัดฉีดเม็ดเงินมูลค่ามหาศาลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจของตนเอง
ทั้งนี้นักลงทุนบางกลุ่มมีการประเมินว่าทิศทางของค่าเงินบาทไทยในปีนี้อาจมี โอกาสแข็งค่าจนถึงระดับ 28 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ หากสถานการณ์การไหลเข้าของเม็ดเงินต่างชาติยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการไหลเข้าของเม็ดเงินในรอบนี้เริ่มแสดงให้เห็นถึงสัญญาณหรือความเป็นไป ได้ของการเก็งกำไรในอัตราแลกเปลี่ยน รวมไปถึงการเก็งกำไรในตลาดหุ้น และในตราสารหนี้ระยะสั้น จนก่อให้เกิดความกังวลตามมาว่าหากกระแสเงินลงทุนมีการเปลี่ยนทิศทางหรือเกิด การไหลออกอย่างฉับพลันจะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของค่าเงินบาทไทย และราคาของหลักทรัพย์ทั้งในตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
โดยประเด็นที่หลายฝ่ายกำลังเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิดในขณะนี้ คือ แนวโน้มหรือความเป็นไปได้ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะมีการนำนโยบายทางการเงินหรือมาตรการใดๆ ออกมาใช้เพื่อดูแลเสถียรภาพของเงินบาทไม่ให้เกิดความผันผวนหากเกิดการ เปลี่ยนทิศของกระแสเงินทุน และถึงแม้ว่า ธปท.จะออกมาให้ความเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ค่าเงินบาทในปัจจุบันว่าเป็นไปใน ทิศทางเดียวกันกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค รวมถึงการเฝ้าติดตามการเก็งกำไรในอัตราแลกเปลี่ยนอย่างใกล้ชิดแล้วก็ตาม แต่นักลงทุนยังคงให้ความสำคัญต่อทุกมาตรการที่ ธปท. อาจจะนำออกมาใช้ เนื่องจากจะมีผลต่อการลงทุนด้วยกันทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตามสำหรับการลงทุนในตลาดตราสารหนี้อาจจะไม่ได้รับผลกระทบในส่วนที่ เกี่ยวกับการปรับตัวลดลงด้านราคามากนัก เนื่องจากโดยทั่วไปแล้วราคาตราสารหนี้มักมีการเคลื่อนไหวอยู่เพียงในช่วง แคบๆ โดยเฉพาะสำหรับการลงทุนที่เป็นการถือครองตราสารหนี้เอาไว้จนครบกำหนดไถ่ถอน (Hold to Maturity) ที่ไม่ว่าอย่างไรผู้ลงทุนก็จะได้รับผลตอบแทนในอัตราที่ค่อนข้างแน่นอน แต่หากเป็นการซื้อตราสารหนี้โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเก็งกำไรในช่วงเวลาสั้นๆ โอกาสที่จะได้รับผลกระทบทางด้านราคาหากเกิดสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดก็จะอยู่ใน ระดับที่สูงกว่าตามไปด้วย
สำหรับประเด็นเรื่องอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่หลายฝ่ายกำลังจับตามองว่าจะ เคลื่อนไหวไปในทิศทางใด และจะมีโอกาสปรับลดลงหรือไม่ โดยอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 2.75% ต่อปีในปัจจุบัน ธปท.มีความเห็นว่าอยู่ในระดับที่เหมาะสมกับสภาพทางเศรษฐกิจภายในประเทศไทย แล้ว แต่อย่างไรก็ตาม ธปท. พร้อมที่จะปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินรวมถึงอัตราดอกเบี้ยให้มีความเหมาะสมกับ สภาพเศรษฐกิจในช่วงเวลานั้นๆ โดยจะพิจารณาถึงเสถียรภาพโดยรวมของประเทศเป็นหลัก จึงเป็นประเด็นที่ต้องมีการติดตามอย่างต่อเนื่องต่อไป ซึ่งจะมีผลต่อภาพรวมของการลงทุนได้ในอนาคต
___________________
* โดยพอพิศ ยอดแสง ฝ่ายวิจัยและพัฒนาตลาด สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย หนังสือพิมพ์ผู้จัดการฉบับวันที่ 29 มกราคม 2556