หน้าหลัก > บทความการเงิน > ความผันผวน...โอกาสการลงทุนและการกระจายความเสี่ยง

ความผันผวน...โอกาสการลงทุนและการกระจายความเสี่ยง

ความผันผวน...โอกาสการลงทุนและการกระจายความเสี่ยง* 

          อาจกล่าวได้ว่าในปี 2013 นี้เป็นอีกปีหนึ่งที่มีปัจจัยต่างๆ ทั้งภายนอกและภายในประเทศเข้ามาสร้างความผันผวนให้ตลาดเงินและตลาดทุนของ ประเทศไทยอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเป็นการตัดสินใจของธนาคารกลางสหรัฐฯ ต่อการทำ QE Tapering, ปัญหาเพดานหนี้ และ Government  Shutdown รวมไปถึงการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศแถบเอเชีย ด้วยปัจจัยเหล่านี้ประกอบกับสภาพคล่องที่มีเป็นจำนวนมากนับตั้งแต่การเริ่ม มีมาตรการ QE1 ออกมาจนถึง QE3 ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกโดยเฉพาะตลาดหุ้นประเทศเกิดใหม่มีเม็ดเงินส่วนเพิ่ม (Hot Money) ไหลเข้ามาลงทุนเป็นจำนวนมาก ดังนั้นการที่มีปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เข้ามากระทบต่อสภาพแวดล้อมการลงทุนเพียงเล็กน้อยก็สามารถสร้างความผันผวนใน ตลาดได้แล้ว เพราะเม็ดเงินเหล่านี้จะวิ่งออกจากต้นทางที่คาดว่าจะมีผลตอบแทนในระดับต่ำไป สู่ผลตอบแทนสูงเสมอ

          ในส่วนของการลงทุนในหุ้นไทยนั้น ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในอีก 12 เดือนข้างหน้า ด้วยเหตุผลระยะยาวแล้ว ตลาดหุ้นไทยยังคงน่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นกำไรของบริษัทจดทะเบียนฯ ที่ยังคงเติบโตในอัตราเฉลี่ย 10%-15% ต่อปี แม้ว่าจะมีการชะลอตัวลงไปบ้าง ซึ่งเป็นผลมาจากนโยบายกระตุ้นการใช้จ่ายต่างๆ ได้ทยอยหมดลง แต่ถึงกระนั้นหากปีหน้าเป็นต้นไปเศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัวตามที่คาด การที่ประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศผู้ส่งออกจะกลายเป็นปัจจัยบวกอีกครั้ง เพราะนักลงทุนจะเริ่มหาหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของกำลังซื้อของ ประเทศที่พัฒนาแล้ว นอกจากนี้การลงทุนในโครงการสาธารณูปโภคต่างๆ ก็ถือว่ายังเป็นจุดขายอีกจุดหนึ่ง ซึ่งมองว่าจะทำให้เกิดการต่อยอดทางธุรกิจในระยะยาวและเพื่อเตรียมพร้อมในการ เข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปี 2015 ต่อไป

           อย่างไรก็ดีแม้ว่าในระยะยาวตลาดหุ้นไทยจะเป็นทางเลือกหลักในการจัดสรรเงิน ลงทุนตั้งต้น (Strategic Asset Allocation) ในส่วนของตราสารทุน แต่ระหว่างทางยังคงมีความเสี่ยงที่ต้องจับตามอง ได้แก่ ทิศทางการดำเนินนโยบายทางการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ ว่าท้ายที่สุดแล้วการยกเลิกมาตรการ QE จะเกิดขึ้นเมื่อใด, ข้อสรุปต่อเพดานหนี้ในช่วงต้นปี 2014 หลังเพิ่มเพดานหนี้ชั่วคราว 4 เดือน เพื่อให้มีเวลาในการพิจารณาในเชิงลึก, แนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศเอเชีย โดยเฉพาะประเทศจีน และปัญหาการเมืองภายในประเทศที่กลับมาเป็นประเด็นอีกครั้งในเดือนพฤศจิกายน ดังนั้นความไม่แน่นอนเหล่านี้จึงนำไปสู่ “ความผันผวน” ซึ่งขณะเดียวกันก็สร้าง “โอกาสการลงทุน” จึงนำไปสู่กลยุทธ์ที่เรียกว่า “การจัดสรรเงินลงทุนเชิงกลยุทธ์ (Tactical Asset Allocation)”

           โดยปกติแล้วนักลงทุนจะมีการจัดสรรเงินลงทุนไปยังสินทรัพย์ประเภทต่างๆ ตามระดับความเสี่ยงที่แต่ละคนยอมรับได้ เช่น ตราสารหนี้ / ตราสารทุน เท่ากับ 40% / 60% หรือ 20% / 80% เป็นต้น ในบางครั้งสถานการณ์ตลาดที่เปลี่ยนไปเป็นเหตุให้สินทรัพย์บางประเภทมีความ น่าสนใจในการลงทุนระยะสั้น นักลงทุนจึงเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ดังกล่าวชั่วคราว เพื่อเพิ่มอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน จะขอยกตัวอย่างในกรณีของตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ต้นปี 2013 เป็นต้นมา จะเห็นได้ว่า SET Index มีความผันผวนค่อนข้างมาก โดยในช่วงไตรมาสที่ 3 ดัชนีปรับตัวลงมาทำระดับต่ำสุดที่ 1275.76 จุด จากความกังวลต่อการยกเลิกมาตรการ QE และการชะลอตัวของเศรษฐกิจไทย ทำให้มีแรงเทขายทำกำไรอย่างหนัก โดยเฉพาะเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างชาติที่ไหลออกจากกลุ่มประเทศ Emerging Asia อย่างไรก็ดีนักลงทุนบางกลุ่มที่มองความผันผวนนี้เป็นโอกาสในการลงทุน ก็สามารถทำ Tactical Asset Allocation ได้โดยเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไทย ภายใต้กรอบความเสี่ยงสูงสุดที่รับได้ และลดสัดส่วนในเงินสด/พันธบัตรระยะสั้นชั่วคราว เนื่องจากมองว่าเป็นการปรับฐานระยะสั้น ซึ่งหลังจากนั้น 1-2 เดือน SET Index ก็กลับไปที่ระดับ 1,400-
1,450 จุด และนักลงทุนกลุ่มนี้ก็ปรับสัดส่วนการลงทุนกลับเข้าสู่ระดับตั้งต้นเพื่อกลับ เข้าสู่ระดับความเสี่ยงปกติที่ยอมรับได้ หลังจากที่ได้อัตราผลตอบแทนส่วนเพิ่มนี้ไปแล้ว ถึงอย่างนั้นก็ตามการทำ Tactical Asset Allocation มีสิ่งที่ต้องคำนึงถึง 2 ประการ คือ

           1. วินัยในการลงทุน ในบางครั้งอาจกำหนดเป้าหมายไว้ว่าถ้าสร้างผลตอบแทนได้แล้วสัก x% จะทำการปรับสัดส่วนสู่ระดับปกติ ซึ่งเป้าหมายดังกล่าวจะต้องไม่มากเกินกว่าจะบรรลุได้และไม่น้อยจนไม่คุ้มกับ ค่าใช้จ่ายในการทำกลยุทธ์ ซึ่งในปัจจุบันบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนต่างๆ ก็มีการออกกองทุนประเภททริกเกอร์ฟันด์ x% ซึ่งเป็นการตอบโจทย์การสร้างวินัยในการลงทุนได้เป็นอย่างดี

           2. กระจายความเสี่ยง นอกเหนือจากการมีวินัยการลงทุนแล้ว การกระจายความเสี่ยงตามประเภทสินทรัพย์หรือระหว่างกลุ่มอุตสาหกรรมก็เป็นอีก ด้านหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม โดยแนวโน้มในอนาคตนั้นการกระจายความเสี่ยงไปยังการลงทุนต่างประเทศก็จะเริ่ม มีการพูดถึงกันมากขึ้น ตามมุมมองการลงทุนในอนาคตที่เชื่อว่าเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วจะ เริ่มมีการฟื้นตัว ซึ่งในปัจจุบันบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนต่างๆ ก็มีการออกกองทุนรวมที่ลงทุนต่างประเทศ ซึ่งมีนโยบายที่หลากหลายเป็นทางเลือกให้แก่นักลงทุนมากยิ่งขึ้นเมื่อเทียบ กับในอดีต ดังนั้นในยามตลาดผันผวนจงอย่ากลัวที่จะลงทุน เพราะในทุกวิกฤตย่อมมีโอกาสเกิดขึ้นได้เสมอ





_________________
* โดย ทีมงานจัดการลงทุน บลจ.ทิสโก้

บทความการเงิน

วันที่ 26 ธันวาคม 2556

2954 Views

BAM Mobile Application

ค้นหาทรัพย์ง่ายๆ เพียงปลายนิ้วสัมผัส

บริการฝากขาย
อสังหาฯ
ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย