หน้าหลัก > บทความการเงิน > การกระจายการลงทุนแบบ 60/40*

การกระจายการลงทุนแบบ 60/40*

        การลงทุนแบบเน้นกระจายสินทรัพย์เพื่อการลงทุนอย่าง 60/40 หรือการลงทุนในหุ้นด้วยสัดส่วน 60% และอีก 40% ลงทุนในตราสารหนี้นั้น เชื่อว่าจะช่วยปกป้องเงินลงทุนของนักลงทุนได้ดีในยามที่อยู่ในภาวะตลาดหมี เนื่องจากราคาสินทรัพย์ทั้ง 2 มักวิ่งสวนทางกัน ดังนั้นในยามที่ราคาหุ้นปรับลดลง ตราสารหนี้ก็มักจะมีผลตอบแทนที่ดีในช่วงดังกล่าว ทั้งนี้กองทุนขนาดใหญ่ไม่ว่าจะเป็น BlackRock, Capital Group, Fidelity Investments, T. Rowe Price และ Vanguard Group ให้ความเห็นว่าแม้ในปีที่แล้วจะเป็นปีที่อัตราเงินเฟ้อมีอิทธิพลต่อการตลาดเงินตลาดทุนอย่างมาก และทำให้ทั้งราคาหุ้นและตราสารหนี้ก็เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางเดียวกัน แต่การลงทุนในตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนสูงๆ ก็ยังช่วย Portfolio ได้ ดังนั้นการกระจายการลงทุนจึงยังเป็นสิ่งที่เหมาะสมภายใต้ตลาดที่ผันผวนอย่างมาก

        ในปีที่ผ่านมานอกจากการลงทุนในตราสารหนี้จะไม่ได้รับผลตอบแทนที่ดีแล้ว ตลาดหุ้นก็ปรับลดลงอย่างมาก โดย Morningstar US Market Index ลดลง 19.4% และ Morningstar US Core Bond Index ลดลง 12.9% และทำให้ Portfolio ที่ลงทุนแบบ 60/40 ก็ให้ผลตอบแทนที่ไม่ดีไปด้วย อย่างเช่น Morningstar US Moderate Target Allocation Index ปรับลดลง 15.3% เช่นกัน

        หลักการกระจายการลงทุนคือเพื่อให้ Portfolio ได้รับผลตอบแทนจากสินทรัพย์ที่มีความหลากหลายเพื่อกระจายความเสี่ยง บางสินทรัพย์อาจขาดทุนมากๆ ขณะที่อีกสินทรัพย์ยังคงให้ผลตอบแทนที่ดี นับแต่อดีตหุ้นและตราสารหนี้มักจะมีความสัมพันธ์ในทิศทางตรงข้ามกันเสมอ ในภาวะที่เศรษฐกิจอ่อนแอเงินเฟ้อลดลง ทั้งตลาดหุ้นและ Bond yield ต่างปรับลดลง ซึ่งดีต่อตราสารหนี้เพราะราคาจะสูงขึ้นแทน ดังนั้นแม้ว่าสัดส่วนที่ลงทุนในหุ้น 60% จะให้ผลตอบแทนที่ไม่ดี แต่อีก 40% ที่ลงทุนในตราสารหนี้จะให้ผลตอบแทนที่ดีมาทดแทน อย่างไรก็ดีด้วยอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นในปีที่ผ่านมา กลับทำให้ทั้งตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ปรับลดลงไปด้วยกันทั้งคู่และนำมาซึ่งผลขาดทุนของนักลงทุนอย่างมาก

        ทั้งนี้ในอดีตตั้งแต่สมัยประธาน Fed ยุค  Alan Greenspan ความสัมพันธ์กับหุ้นและบอนด์ก็อยู่ในทิศทางตรงข้ามกัน เมื่อเศรษฐกิจเริ่มอ่อนแอ เงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ ตลาดหุ้นปรับลง Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งผลให้บอนด์ยิลปรับลดลงและราคาตราสารหนี้ปรับเพิ่มขึ้นแทน และนักลงทุนอาจใช้ Put options เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากภาวะตลาดหุ้นขาลงอีกด้วย (ยกเว้นในปี 1970 ที่ตลาดหุ้นและบอนด์ปรับลดลงพร้อมกัน เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อที่สูงอย่างมาก)

        นอกจากอัตราเงินเฟ้อที่สูงทำให้การกระจายลงทุนแบบ 60/40 ไม่ได้ผลตอบแทนที่ดีแล้ว อัตราดอกเบี้ยระดับต่ำยังเป็นอีกปัญหาที่สำคัญ เพราะเมื่ออัตราดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาขึ้นเมื่อไหร่ การคำนวณราคาตราสารหนี้ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจะทำให้ราคาตราสารปรับลดลงอย่างมาก และทำให้นักลงทุนขาดทุนจากตราสารอย่างไรก็ดีเชื่อว่าการกระจายการลงทุนแบบ 60/40 จะกลับมาให้ผลตอบแทนที่ดีแก่นักลงทุนอีกครั้ง เมื่อแนวโน้มเศรษฐกิจค่อยๆ ฟื้นตัว และอัตราเงินเฟ้อลดลงโดยไม่เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในอนาคต ซึ่งคาดว่าจะทำให้ตลาดตราสารหนี้กลับมาอยู่ในภาวะปกติ ที่ให้อัตราผลตอบแทนที่สูงเพื่อชดเชยอัตราเงินเฟ้อได้ อย่างเช่นในปี 2023 ที่เชื่อว่าจะเป็นปีที่ดีทั้งสำหรับตลาดหุ้นและบอนด์จากภาวะที่เศรษฐกิจค่อยๆ ฟื้นตัว และเงินเฟ้อปรับลดลง ดังนั้นการเลือกลงทุนด้วยสัดส่วนการลงทุนที่เหมาะสมระหว่างหุ้นและบอนด์ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก

        โดยสรุปกลยุทธ์กระจายการลงทุนแบบ 60/40 เหมาะสำหรับการลงทุนแบบระยะยาว แต่ในบางครั้งหรือช่วงเวลาหนึ่งๆ ก็ไม่อาจปกป้องนักลงทุนจากการขาดทุน แต่ในระยะยาวยังให้ผลตอบแทนที่ดีได้ (ข้อมูลย้อนหลัง 5 ปี พบว่าการลงทุนแบบ 60/40 ให้ผลขาดทุนติดลบเพียง 0.1%) การลงทุนแบบระยะยาวโดยการกระจายการลงทุนนั้น นอกจากจะหวังผลตอบแทนที่สูงจากหุ้นแล้ว การลงทุนในตราสารหนี้จะช่วยให้เงินลงทุนไม่เสี่ยงมากจนเกินไปและให้ผลตอบแทนที่เหมาะสมในระยะยาว ซึ่งการกระจายการลงทุนอาจจะใช้สัดส่วน 60/40 หรือ 80/20 หรือ 20/80 ก็ได้ขึ้นอยู่กับความต้องการของนักลงทุนนั่นเอง

______________________________________________

บทความการเงิน

วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566

711 Views

BAM Mobile Application

ค้นหาทรัพย์ง่ายๆ เพียงปลายนิ้วสัมผัส

บริการฝากขาย
อสังหาฯ
ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย