หน้าหลัก > บทความการเงิน > ทำความเข้าใจสินค้าโภคภัณฑ์ก่อนเริ่มต้นลงทุน*

ทำความเข้าใจสินค้าโภคภัณฑ์ก่อนเริ่มต้นลงทุน*

 

        จากความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ราคาน้ำมันและทองคำที่ปรับตัวสูงขึ้น รวมถึงการเพิ่มขึ้นของราคาวัตถุดิบประเภทต่างๆ จนมีผลทำให้หุ้นที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสินค้าโภคภัณฑ์เหล่านี้ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น นักลงทุนจำนวนไม่น้อยเริ่มสนใจการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ สินค้าในกลุ่มนี้มีลักษณะเป็นอย่างไร น่าลงทุนหรือไม่ โดยมีรายละเอียดมาให้ติดตามดังนี้

         สินค้าโภคภัณฑ์ (commodities) คือ ผลิตภัณฑ์หรือวัตถุดิบที่ถูกนำไปใช้เป็นส่วนประกอบของการผลิตสินค้าหรือบริการต่างๆ มีลักษณะจับต้องได้ สามารถซื้อขายได้ มีคุณสมบัติใช้แทนกันได้อย่างสมบูรณ์ (Fungibility) เป็นสินค้าที่มีมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก มีความแตกต่างกันเพียงเล็กน้อย แม้จะมาจากผู้ผลิตคนละราย เช่น ข้าวโพด โกโก้ ถั่วเหลือง น้ำมัน ทองคำ เป็นต้น ราคาของสินค้ามักถูกกำหนดโดยอุปสงค์และอุปทานของตลาดโลก (Demand and Supply)  และมักเคลื่อนไหวในทิศทางที่สอดคล้องกับภาวะเงินเฟ้อ นักลงทุนส่วนใหญ่มักมีสินค้าโภคภัณฑ์เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงให้กับพอร์ตการลงทุน
        ทั้งนี้สินค้าโภคภัณฑ์ สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่
        1. Hard Commodity เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่ใช้แล้วหมดไป มนุษย์ไม่สามารถผลิตเองได้ เช่น เงิน ทองแดง ทองคำ น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ เป็นต้น
        2. Soft Commodity เป็นสินค้าทางการเกษตร หรือเกิดจากการผลิตของมนุษย์ เช่น เมล็ดกาแฟ ข้าวสาลี ถั่วเหลือง ข้าวโพด น้ำตาล เนื้อโค เป็นต้น

 ลักษณะของสินค้าโภคภัณฑ์

         แม้สินค้าโภคภัณฑ์จะมีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกันกับอัตราเงินเฟ้อ อย่างไรก็ตามสินค้าแต่ละชนิดจะมีปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อราคาแตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นโรคระบาด ภัยธรรมชาติ ฤดูกาล หรือสงคราม ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนคือ ภาวะสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ทำให้ราคาข้าวโพด ข้าวสาลีพุ่งสูงขึ้น ภายหลังรัสเซียประกาศหยุดส่งออก และยูเครนลดพื้นที่ปลูกลงหลังเสียพื้นที่ให้ทหารรัสเซียยึดครอง การขาดแคลนหรือมีมากจนเกินไปก็ส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงของราคา เช่น หากกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (OPEC) ประกาศว่าจะลดกำลังการผลิต ราคาน้ำมันดิบก็จะปรับตัวขึ้น หรือสภาพภูมิอากาศที่แห้งแล้งทำให้ผลผลิตตกต่ำก็จะส่งผลให้ราคาสินค้ามีราคาสูงขึ้นด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปก็ส่งผลต่อราคาของสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น การที่ผู้คนหันมาใส่ใจเรื่องสุขภาพมากขึ้น ลดการบริโภคเนื้อสัตว์แปรรูป เลือกอาหารที่ใช้วัตถุดิบจากพืชที่ให้คุณค่าโปรตีนสูง (plant-based food) ทำให้ตลาดอาหารเพื่อสุขภาพมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง

         ช่องทางการลงทุน ซึ่งการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ปัจจุบันมี 3 วิธี ได้แก่
         1. ลงทุนทางตรง หากนักลงทุนสนใจในทองคำ คาดว่าราคาจะเพิ่มขึ้นในอนาคต ก็สามารถเดินทางไปซื้อที่ร้านทองได้เลย แต่ก็มีความเสี่ยงเรื่องเก็บรักษา เสี่ยงต่อการสูญหายได้ จึงอาจต้องมีค่าใช้จ่ายในการเช่าตู้นิรภัยของธนาคาร แต่การลงทุนตรงในสินค้าประเภทอื่น เช่น น้ำมัน อาจทำได้ยาก หรือไม่สะดวก (ไม่สามารถซื้อเก็บไว้ในบ้านได้)
         2. ลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Futures) นักลงทุนสามารถทำกำไรผ่านการถือครองตราสารอนุพันธ์ที่มีราคาสินค้าโภคภัณฑ์อ้างอิงอยู่ได้ เริ่มต้นลงทุนด้วยเงินไม่มากในการเปิดสัญญา แต่อาจไม่เหมาะกับมือใหม่ เพราะเป็นการซื้อขายที่ค่อนข้างซับซ้อน มีความเสี่ยงสูง แม้จะทำเงินได้มากอย่างรวดเร็ว ก็มีโอกาสสูญเงินได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน
         3. ลงทุนทางอ้อม เป็นการลงทุนในหุ้นหรือกองทุนรวม นักลงทุนสามารถลงทุนในหุ้นที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น การขุดเจาะ ธุรกิจเหมืองโลหะ กิจการด้านปิโตรเลียม เป็นต้น หรือลงทุนใน ETF (Exchange-Traded Fund) ซึ่งปัจจุบันมีให้เลือกมากมายทั้ง ETF ทองคำ น้ำมันดิบ เงิน ทองแดง อาจเป็นการลงทุนในสัญญาฟิวเจอร์ส หรือลงทุนตามดัชนีสินค้าโภคภัณฑ์ เนื่องจากการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ผ่าน ETF เป็นการลงทุนที่สะดวกสำหรับนักลงทุน เพราะใช้เงินลงทุนไม่มาก มีความคล่องตัวในการซื้อขายมากกว่าลงทุนในสินทรัพย์นั้นโดยตรง ทั้งในแง่การส่งมอบและการเก็บรักษา รวมทั้งยังมีผู้จัดการกองทุนคอยดูแลสินทรัพย์แทนให้อีกด้วย (มีค่าธรรมเนียมเล็กน้อย)

บทความการเงิน

วันที่ 18 พฤศจิกายน 2565

12337 Views

BAM Mobile Application

ค้นหาทรัพย์ง่ายๆ เพียงปลายนิ้วสัมผัส

บริการฝากขาย
อสังหาฯ
ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย