หน้าหลัก > บทความเศรษฐกิจ > บทความวิเคราะห์รายงานทางเศรษฐกิจ(ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2565)

บทความวิเคราะห์รายงานทางเศรษฐกิจ(ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2565)

        ข้อมูลเดือนธันวาคม 2564 จากตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน จะเห็นว่าดัชนีราคาผู้บริโภคมีค่าลดลงเล็กน้อย เพราะราคาน้ำมันมีการปรับตัวลงมาบ้าง ในขณะที่ราคาสินค้าจำพวกอาหารสดก็มีทิศทางที่ลดลงมาด้วย จึงส่งผลทำให้ราคามีทิศทางที่ปรับตัวน้อยลงมาในเดือนนี้ ส่วนภาคการผลิตยังมีการขยายตัวขึ้นมา เนื่องจากแนวโน้มเศรษฐกิจของต่างประเทศมีทิศทางดีขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ของโควิดที่ยังทรงตัว ส่งผลให้ผู้ประกอบการมีความมั่นใจมากขึ้น ทำให้ผู้ผลิตเริ่มที่จะเร่งการผลิตสินค้าออกมาก ส่งผลให้ในเดือนนี้มีการผลิตสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้นมาได้ ในขณะเดียวกันดุลการค้าปรับตัวลดลงแต่ยังมีทิศทางที่เป็นบวกอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการนำเข้ายังมีค่าที่ไม่สูงมากเท่าไรนัก จึงทำให้ไม่น่าเป็นห่วง อย่างไรก็ตามภาวะการเงินยังทรงตัวไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลง โดยปริมาณเงินฝากมีค่าเพิ่มขึ้นแต่เงินให้สินเชื่อมีค่าลดลง เนื่องจากประชาชนมีการออมสูงขึ้น เนื่องจากต้องการเก็บเงินไว้เพื่อรองรับกับความผันผวนที่ยังมีอยู่ จึงส่งผลให้การออมเงินมีการขยายตัวขึ้นมา ในขณะที่การปล่อยสินเชื่อมีค่าน้อยลง เนื่องจากธนาคารมีความระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อจากการที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจเป็นไปอย่างช้าๆ จึงส่งผลให้การปล่อยสินเชื่อปรับตัวได้ลดลง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาหนี้เสียตามมาอีกด้วย

ตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน

เดือน / รายละเอียด

กันยายน 64

ตุลาคม 64

พฤศจิกายน 64

ธันวาคม 64

ดัชนีราคาผู้บริโภค

101.21

101.96

102.25

101.86

ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม

95.33

97.99

101.45

101.92

อัตราการใช้กำลังการผลิต

62.06

64.14

65.83

66.30

ดุลการค้า

4,007.39

3,804.13

4,237.52

2,834.65

ดุลบัญชีเดินสะพัด

-791.04

-1,058.00

345.80

-1,377.96

เงินฝาก

16,132.37

16,354.10

16,380.81

n.a.

เงินให้สินเชื่อ

17,389.40

17,727.43

17,713.38

n.a.

ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย

หมายเหตุ    ดัชนีราคาผู้บริโภค มีปีฐานคือ 2562               เงินฝาก/เงินให้สินเชื่อ มีหน่วยเป็น พันล้านบาท

                อัตราการใช้กำลังการผลิต มีหน่วยเป็น ร้อยละ  ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม มีปีฐานคือ 2559

                ดุลการค้า ดุลบัญชีเดินสะพัด มีหน่วยเป็น ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา

ภาวะอสังหาริมทรัพย์ เดือนธันวาคม 2564

  • ด้านอุปทาน
        - ที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เปรียบเทียบ ณ ธ.ค. 63 กับ 64 มีรายละเอียดดังนี้

ปี

จำนวน (ยูนิต)

การเติบโต (%)

ณ ธ.ค. 63

112,040

-7.27%

ณ ธ.ค. 64

77,823

-30.54%

ที่มา : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์

    - ประเภทที่อยู่อาศัยที่มีการจดทะเบียน ณ ธ.ค. 64 เรียงตามลำดับมีรายละเอียดดังนี้

ประเภท

จำนวน (ยูนิต)

สัดส่วน (%)

อาคารชุด

33,593

43.17

บ้านเดี่ยว

26,910

34.58

ทาวน์เฮ้าส์

11,996

15.41

บ้านแฝด

2,993

3.85

อาคารพาณิชย์

2,331

2.99

รวม

77,823

100.00

ที่มา : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์

  • ด้านอุปสงค์
        - การโอนกรรมสิทธิ์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เปรียบเทียบ ณ ธ.ค. 63 กับ 64 มีรายละเอียดดังนี้

ปี

จำนวน (ยูนิต)

การเติบโต (%)

ณ ธ.ค. 63

196,845

-4.68%

ณ ธ.ค. 64

166,402

-15.47%

ที่มา : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์

    - ประเภทที่อยู่อาศัยที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ ณ ธ.ค. 64 เรียงตามลำดับมีรายละเอียดดังนี้

ประเภท

จำนวน (ยูนิต)

สัดส่วน (%)

อาคารชุด

70,126

42.14

ทาวน์เฮ้าส์

53,160

31.95

บ้านเดี่ยว

27,704

16.65

บ้านแฝด

8,671

5.21

อาคารพาณิชย์

6,741

4.05

รวม

166,402

100.00

ที่มา : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์

  • สินเชื่อที่อยู่อาศัยปล่อยใหม่บุคคลทั่วไปของสถาบันการเงินทั้งระบบ
        - สินเชื่อที่อยู่อาศัยปล่อยใหม่ ณ ไตรมาส 4 ปี 64 มีจำนวนทั้งสิ้น 174,467 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้น 1.25% จาก ณ ไตรมาส 4 ปี 63 ที่สามารถปล่อยสินเชื่อได้ 172,310 ล้านบาท
  • สินเชื่อที่อยู่อาศัยคงค้างบุคคลทั่วไปของสถาบันการเงินทั้งระบบ
        - สินเชื่อที่อยู่อาศัยคงค้างบุคคลทั่วไป ณ ไตรมาส 4 ปี 64 มีจำนวนทั้งสิ้น 4,501,460 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้น 5.80% จาก ณ ไตรมาส 4 ปี 63 ที่มียอดคงค้างทั้งสิ้นอยู่ที่ 4,254,730 ล้านบาท
  • อัตราดอกเบี้ยที่อยู่อาศัยบุคคลทั่วไปลอยตัวเฉลี่ยของ 6 ธนาคารใหญ่ มีรายละเอียดดังนี้

ปี 64

อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย

6 ธนาคาร

อัตราดอกเบี้ย

นโยบาย ธปท.

มกราคม

5.38

0.50

กุมภาพันธ์-เมษายน

5.34

0.50

พฤษภาคม

5.42

0.50

มิถุนายน

5.54

0.50

กรกฎาคม-พฤศจิกายน

5.83

0.50

ธันวาคม

5.87

0.50

ที่มา : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์

หมายเหตุ : 6 ธนาคาร ประกอบด้วย ธ.อาคารสงเคราะห์, ธ.กสิกรไทย, ธ.กรุงเทพ, ธ.กรุงศรีอยุธยา,

ธ.กรุงไทย และ ธ.ไทยพาณิชย์

สรุปภาพรวมภาวะอสังหาริมทรัพย์เดือนธันวาคม 2564

        ภาพรวมของอุปทานมีการปรับตัวลดลง 30.54% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังฟื้นตัวได้ไม่มากนัก ท่ามกลางความผันผวนที่ยังมีอยู่มาก อีกทั้งการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง จึงทำให้ผู้ประกอบการชะลอการพัฒนาโครงการออกมา เพื่อรอดูสถานการณ์ให้มีความชัดเจนมากขึ้น ส่งผลให้อุปทานในตลาดมีทิศทางที่หดตัวลงมา ในขณะเดียวกันทางด้านอุปสงค์ก็มีทิศทางที่ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 15.47% เพราะกำลังซื้อของผู้บริโภคยมีแนวโน้มชะลอตัวอยู่ต่อไป ท่ามกลางผลกระทบที่เกิดขึ้นส่งผลต่อรายได้ของผู้บริโภคอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ที่อยู่อาศัยประเภทอาคารชุดยังมียอดการโอนกรรมสิทธิ์มากที่สุด รองลงมาคือ ทาวน์เฮ้าส์ และบ้านเดี่ยว ส่วนสินเชื่อที่อยู่อาศัยค่อนข้างทรงตัวตามความเข้มงวดของสถาบันการเงิน ส่งผลทำให้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อยที่ 1.25% ณ ไตรมาส 4 ปี 64 ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่อยู่อาศัยมีการปรับตัวสูงขึ้นมาที่ 5.87% ส่วนอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยยังทรงตัวอยู่ที่ 0.50% ตามลำดับ

วิเคราะห์การเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสในภาคการท่องเที่ยวไทย


ที่มาของภาพ :  https://wallpaper.dog/large/20372890.jpg

        ในยุคหลังโควิด 19 รูปแบบการท่องเที่ยวได้เปลี่ยนไปจากเดิม มีแนวโน้มให้ความสำคัญกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เกิดกระแสการท่องเที่ยวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน

        คำถามที่น่าสนใจคือ ในช่วงที่รอการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ไทยควรเตรียมพร้อมในเรื่องนี้อย่างไร เพื่อสร้างโอกาสและทำให้การเปลี่ยนผ่านไปสู่การท่องเที่ยวยุคใหม่เป็นไปอย่างราบรื่น “การท่องเที่ยวแบบยั่งยืน” เทรนด์การท่องเที่ยวยุคใหม่

        การแพร่ระบาดของโควิด 19 ตลอดระยะ 2 ปี ทำให้รายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เคยสูงเกือบปีละ 2 ล้านล้านบาทหายไปเกือบทั้งหมด ในอีกด้านหนึ่ง เริ่มได้ยินสื่อนำเสนอข่าวเกี่ยวกับการฟื้นตัวของธรรมชาติและพบเห็นสัตว์หายากในพื้นที่ต่างๆ ทั่วโลก จนเกิดเป็นกระแสความตื่นตัวด้านสิ่งแวดล้อมและพูดถึงเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals) หนาหูขึ้น เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนไม่ใช่เรื่องใหม่ และถูกบรรจุในแผนพัฒนาการท่องเที่ยวของไทยที่ผ่านมาทุกฉบับ เพียงแต่ยังมีข้อจำกัดในการขยายผล โดยเฉพาะช่วงก่อนโควิด 19 ที่นักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ทำให้มุ่งเน้นไปที่รายได้ที่เข้ามา จนอาจมองข้ามการวางรากฐานการท่องเที่ยวยั่งยืน ที่ต้องคำนึงถึงขีดความสามารถของธรรมชาติในการรองรับนักท่องเที่ยว เนื่องจากธรรมชาติที่สวยงามและอุดมสมบูรณ์ เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกสถานที่ท่องเที่ยว สอดคล้องกับพฤติกรรมนักท่องเที่ยวที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนมากขึ้น และจากผลสำรวจของ Booking.com เมื่อเดือนเมษายน 2564 พบว่า 83% ของผู้ตอบแบบสำรวจเห็นว่าการท่องเที่ยวยั่งยืนมีความสำคัญ โดยนักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อยยินดีจ่ายเงินมากขึ้นเพื่อการท่องเที่ยวที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม

        เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส : ดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพ สร้างปลายทางแหล่งท่องเที่ยวยั่งยืน

        จากข้อมูลของ Visual Capitalist พบว่าไทยติด 1 ใน 10 อันดับแรกของประเทศยอดนิยมที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจมาเที่ยวในช่วงหลังโควิด 19 ทั้งนี้จากการประเมินจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติของหลายหน่วยงานสำคัญทางเศรษฐกิจเห็นตรงกันว่า ในระยะสั้น-กลาง จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาอาจไม่กลับไปสู่ระดับเดิมที่ 40 ล้านคน คาดว่าในปี 2565 จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเฉลี่ย 5.7 ล้านคน และคาดว่าเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพ ทั้งในแง่ของระยะเวลาพักที่ยาวนานและค่าใช้จ่ายที่สูง ไทยจึงควรใช้โอกาสนี้ในการสร้างภาพลักษณ์การท่องเที่ยวใหม่ ให้กลายเป็นจุดหมายปลายทางสำหรับการท่องเที่ยวยั่งยืนของโลก เพื่อเป็นการสร้างรายได้จากกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพ มากกว่าหวังพึ่งปริมาณนักท่องเที่ยวจำนวนมากดังเช่นในอดีต ซึ่งการสร้างโมเดลการท่องเที่ยวยั่งยืนไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ใช่ว่าจะทำให้สำเร็จไม่ได้ โดยจะขอยกตัวอย่าง 2 โมเดลการท่องเที่ยวยั่งยืนที่ประสบความสำเร็จมาต่อยอด โดยมีรายละเอียดดังนี้ 

  1. “โมเดลการท่องเที่ยวยั่งยืนของสาธารณรัฐปาเลา (Palau)” ประเทศหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิกที่ได้มีเป้าหมายในการพลิกฟื้นและเปลี่ยนภาพลักษณ์การท่องเที่ยวใหม่สู่ความยั่งยืน หลังเกิดปัญหานักท่องเที่ยวล้นเกินจนทำให้ทรัพยากรธรรมชาติเริ่มเสื่อมโทรมลงในปี 2557 ผ่านแคมเปญ “สัญญาปาเลา หรือ Palau Pledge” นักท่องเที่ยวทุกคนที่เข้ามาต้องประทับตราในพาสปอร์ตเพื่อสัญญากับเด็กๆ ของปาเลาว่าจะทำตามกฎรักษ์ธรรมชาติและไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ซึ่งได้รับความสนใจจากสื่อและคนดังระดับโลก เช่น Leonardo DiCarprio และ Dame Ellen Macarthur ซึ่งช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพสูงและสร้างรายได้ให้กับประเทศมากขึ้น
  2. โมเดลท่องเที่ยวที่อาศัยจุดแข็งด้านทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลที่ยังอุดมสมบูรณ์มาสร้างภาพลักษณ์แหล่งท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ คือ “โมเดลการท่องเที่ยวยั่งยืนของเกาะหมาก จ.ตราด” ของไทย ผ่านการลดกิจกรรมท่องเที่ยวที่สร้างมลพิษ ลดใช้พลังงานและน้ำสำหรับที่พักแรม และรักษาวิถีชีวิตดั้งเดิมของชุมชน ทำให้เป็นที่สนใจและดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพได้มากขึ้น โดยในปี 2562 มีจำนวนนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติเพิ่มขึ้น 15% จากปีเริ่มต้นพัฒนาเกาะหมาก 2556 แต่กลับสร้างรายได้เพิ่มขึ้นเกือบ 50%

        กุญแจสำคัญอย่างเดียวกันที่ทำให้โมเดลการท่องเที่ยวยั่งยืนของปาเลาและเกาะหมาก ประสบความสำเร็จ คือ

  1. มีการตั้งเป้าหมายและแผนงานในระดับพื้นที่ที่ชัดเจน
  2. มีการประสานความร่วมมือจากทุกภาคส่วนอย่างจริงจัง โดยเฉพาะการเข้ามามีส่วนร่วมของภาครัฐท้องถิ่นที่ทำหน้าที่สอดประสานคนในชุมชนซึ่งเป็นเจ้าของทรัพยากรและมีความเข้าใจในเชิงพื้นที่ดีกว่าภาครัฐส่วนกลาง โดยเปิดโอกาสให้ชาวบ้านและผู้ประกอบการในพื้นที่เข้ามามีส่วนร่วมตั้งแต่กระบวนการคิด ตัดสินใจและออกแบบแนวทางการดำเนินการร่วมกัน
  3. ทุกภาคส่วนเห็นเป้าหมายเดียวกันและเข้าใจบทบาทหน้าที่ของตัวเอง ทำให้การขับเคลื่อนไปสู่การท่องเที่ยวยั่งยืนในระดับพื้นที่เกิดขึ้นได้จริง

        โดยสรุปจะเห็นได้ว่าถ้าหากแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ สามารถปรับใช้และต่อยอดไปสู่การท่องเที่ยวยั่งยืนในพื้นที่ของตัวเองได้มากขึ้น ก็จะช่วยเสริมภาพลักษณ์การท่องเที่ยวยั่งยืนของไทยให้โดดเด่นในสายตาของโลก ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ไทยได้คว้าโอกาสที่ดีหลังจากนักท่องเที่ยวต่างชาติเริ่มทยอยกลับมาเหมือนเดิม และจะเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยทำให้การฟื้นฟูเศรษฐกิจของไทยสามารถที่จะเติบโตขึ้นได้อย่างยั่งยืนต่อไปอีกด้วย

วิเคราะห์ผลกระทบของโอมิครอนที่มีต่อตลาดการเงินไทย

        การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์โอมิครอน (Omicron) ได้ส่งผลให้การดำเนินนโยบายทางการเงินของธนาคารกลางในหลายประเทศเปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากหากการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์โอมิครอนมีความรุนแรงขึ้นและส่งผลกระทบให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจปรับชะลอลงอย่างมีนัย การดำเนินนโยบายทางการเงินแบบตึงตัวอาจยิ่งเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และทำให้ต้นทุนทางการเงินของทั้งภาครัฐ ภาคธุรกิจ และประชาชนปรับสูงขึ้น ซึ่งจะทำให้ธนาคารกลางที่ให้ความสำคัญต่ออัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจอาจเลื่อนการดำเนินนโยบายการเงินที่ตึงตัวออกไป แต่หากสถานการณ์การแพร่ระบาดมีแนวโน้มทำให้ปัญหาการหยุดชะงักของอุปทาน (supply chain disruption) ทั้งในภาคการผลิตและภาคขนส่งทั่วโลกรุนแรงขึ้น และกดดันให้ราคาสินค้าและอัตราเงินเฟ้อปรับสูงขึ้น ในภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัวดีแล้ว จนอาจสร้างคาดการณ์เงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้นไปมากจากเดิมและธุรกิจต่างๆ แห่ปรับราคา อาจทำให้ธนาคารกลางจำเป็นต้องเร่งดำเนินนโยบายการเงินแบบตึงตัวเร็วขึ้น เช่น ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่ได้ดำเนินการปรับลดปริมาณการเข้าซื้อสินทรัพย์ทางการเงิน (QE Tapering) ในอัตราที่เร็วขึ้น ทำให้สภาพคล่องในระบบการเงินอาจปรับลดลงเร็วกว่าที่ตลาดเคยคาดการณ์ไว้ ส่งผลให้ภาวะการเงินปรับตึงตัวขึ้นเร็ว อีกทั้งแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายและการลดขนาดงบดุลในปีนี้ ก็อาจเกิดขึ้นได้เร็วกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้เดิม

        ความไม่แน่นอนจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์โอมิครอนส่งผลให้ตลาดการเงินทั่วโลกมีความผันผวนมากขึ้น ซึ่งมีผลกระทบต่อทิศทางของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลและอัตราแลกเปลี่ยน ดังนี้

        ผลกระทบต่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวอาจผันผวนและปรับลดลงได้ตามความต้องการเข้าถือสินทรัพย์ปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นของนักลงทุนในช่วงที่การแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์โอมิครอนมีความไม่แน่นอน ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวของสหรัฐฯ อาจปรับลดลงตามความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นในบางช่วงได้ ทั้งนี้หลังมีการเปิดเผยรายงานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC minutes) ของ Fed ซึ่งส่งสัญญาณการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ทั้งตัวอายุสั้นและตัวอายุยาวก็ปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ในระยะต่อไปหลังจากที่สถานการณ์การแพร่ระบาดทยอยคลี่คลายตั้งแต่ไตรมาส 2 ของปีนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวก็มีแนวโน้มปรับสูงขึ้นได้อีก ตามการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ตลาดแรงงานที่ตึงตัว และแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้นเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อ สำหรับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้นของสหรัฐฯ มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นตามการสื่อสารถึงการขึ้นอัตราดอกเบี้ยและการลดขนาดงบดุลของ Fed

        ผลกระทบต่ออัตราแลกเปลี่ยนและเงินทุนเคลื่อนย้าย ทิศทางค่าเงินในปี 2565 ของประเทศต่างๆ จะมีความแตกต่างกันขึ้นอยู่กับระดับผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากไวรัสสายพันธุ์โอมิครอน ความสามารถในการควบคุมการแพร่ระบาด และโครงสร้างเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ โดยประเทศที่เศรษฐกิจมีการพึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยวสูงอาจเผชิญกับการอ่อนค่าของอัตราแลกเปลี่ยนมาก เนื่องจากมีแนวโน้มที่จะขาดดุลบัญชีเดินสะพัดมากกว่าเมื่อเทียบกับประเทศที่มีการพึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยวน้อย นอกจากนี้ประเทศที่ภาครัฐควบคุมการแพร่ระบาดได้ไม่ดีก็อาจเผชิญกับเงินทุนเคลื่อนย้ายที่ผันผวนและมีแนวโน้มไหลออกมากกว่าตามความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ปรับลดลงเร็ว ค่าเงินจึงอ่อนค่าในอัตราที่สูงกว่าประเทศที่บริหารจัดการได้ดีกว่า

         ด้านค่าเงินดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้มปรับแข็งค่าขึ้นตามความต้องการถือสินทรัพย์ปลอดภัยที่มากขึ้น และตามสภาพคล่องที่คาดว่าจะลดลงจากการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดของ Fed โดยการแพร่ระบาดของโอมิครอนส่งผลให้เงินทุนเคลื่อนย้ายมีความผันผวนมากขึ้น โดยเฉพาะในระยะสั้นที่ความเชื่อมั่นของนักลงทุนปรับลดลงในช่วงที่การแพร่ระบาดรุนแรง นักลงทุนจะหันไปถือสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น เงินดอลลาร์สหรัฐ ทำให้เงินทุนเคลื่อนย้ายมีแนวโน้มไหลออกจากกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ที่มีเสถียรภาพเศรษฐกิจเปราะบางกว่า นอกจากนี้แนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยและการลดขนาดงบดุลของสหรัฐฯ จะยิ่งส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้มปรับแข็งค่าขึ้นในปีนี้ด้วย

        ผลกระทบที่มีต่อตลาดการเงินไทย สามารถวิเคราะห์ได้ดังนี้

        ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวของไทยมีความสัมพันธ์ค่อนข้างสูงกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวของสหรัฐฯ ดังนั้นอัตราผลตอบแทนฯ ของไทยมีแนวโน้มปรับสูงขึ้นหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดดีขึ้น โดยในบางช่วงของการแพร่ระบาด อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยระยะยาวอาจปรับลดลงได้ตามทิศทางอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวของสหรัฐฯ ที่อาจลดลง อย่างไรก็ดีอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวของไทยในช่วงครึ่งหลังของปีมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 2.2-2.3% ตามทิศทางอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย และอุปทานพันธบัตรรัฐบาลไทยที่คาดว่าจะมีออกมามากขึ้นตามความต้องการระดมทุนของภาครัฐไทย ด้านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 1 ปีของไทยมีแนวโน้มทรงตัวตามแนวโน้มการคงดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่ยังเปราะบาง จึงทำให้เส้นอัตราผลตอบแทน (Yield curve) ของไทยมีแนวโน้มปรับชันขึ้นในปี 2565 (Yield Curve Steepening)

        ในระยะสั้น เงินทุนเคลื่อนย้ายจะยังมีความผันผวนและค่าเงินบาทอาจอ่อนค่าในบางช่วง แต่หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดปรับดีขึ้น คาดว่าเงินบาทจะกลับมาแข็งค่าขึ้นตามแนวโน้มการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดลดลง โดยในช่วงที่สถานการณ์การแพร่ระบาดในต่างประเทศรุนแรง และมีรายงานข่าวการติดเชื้อในประเทศ เงินทุนเคลื่อนย้ายได้ไหลออกจากตลาดทุนไทย อย่างไรก็ดีคาดว่าปริมาณเงินที่ไหลออกจะไม่รุนแรงนักเนื่องจากไทยยังมีเสถียรภาพด้านต่างประเทศที่แข็งแกร่งเมื่อเทียบกับตลาดเกิดใหม่อื่นๆ ดังนั้นจึงคาดว่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 ค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าอยู่ในกรอบ 33.5-34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ตามแรงกดดันจากการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ และจากความเสี่ยงที่จำนวนผู้ติดเชื้อโอมิครอนในประเทศอาจปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและเป็นปัจจัยกดดันให้เงินทุนเคลื่อนย้ายไหลออกจากไทยในระยะสั้นได้ ทั้งนี้ค่าเงินบาทในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 มีแนวโน้มปรับแข็งค่าขึ้นสู่ระดับ 32-33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ตามการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของไทยที่จะชัดเจนขึ้นและดุลบัญชีเดินสะพัดที่จะขาดดุลลดลงจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น

         โดยสรุปการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์โอมิครอนส่งผลให้ภาวะการเงินโลกปรับตึงตัวขึ้น เงินทุนเคลื่อนย้ายผันผวน และอัตราแลกเปลี่ยนของประเทศที่มีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจไม่ดีนักอ่อนค่าลง โดยบางธนาคารกลางที่เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวดีแล้วอาจเร่งดำเนินนโยบายการเงินที่ตึงตัวขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะยาว อาจปรับลดลงในบางช่วงตามความต้องการเข้าถือสินทรัพย์ปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่การแพร่ระบาดมีความไม่แน่นอนสูง ทั้งนี้หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดปรับดีขึ้น อัตราผลตอบแทนดังกล่าวมีแนวโน้มปรับสูงขึ้นตามการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของนักลงทุน นอกจากนี้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นในปี 2565 ตามความต้องการถือสินทรัพย์ปลอดภัยและการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดของ Fed ขณะที่ค่าเงินของประเทศที่มีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจไม่ดีมีแนวโน้มอ่อนค่าลง ด้านเงินบาทอาจอ่อนค่าในช่วงครึ่งแรกของปี เนื่องจากเศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดและมาตรการควบคุมการเดินทางระหว่างประเทศค่อนข้างมาก แต่คาดว่าเงินบาทจะปรับแข็งค่าขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ตามสถานการณ์การแพร่ระบาดในประเทศที่จะปรับดีขึ้นและเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวได้ชัดเจนขึ้น

 

กลุ่มวางแผนกลยุทธ์และงบประมาณ

ฝ่ายยุทธศาสตร์และวางแผนธุรกิจองค์กร

 

บทความเศรษฐกิจ

วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2565

3606 Views

BAM Mobile Application

ค้นหาทรัพย์ง่ายๆ เพียงปลายนิ้วสัมผัส

บริการฝากขาย
อสังหาฯ
ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย