เกี่ยวกับเรา
BAM ประกอบธุรกิจด้านการบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ โดยมีส่วนช่วยเหลือลูกหนี้และแก้ไขปัญหาสถาบันการเงิน เพิ่มเติม
ทรัพย์
อื่นๆ
ติดต่อเรา
0-2630-0700
0-2266-3377
99 ถนนสุรศักดิ์ แขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพฯ 10500
หน้าหลัก > บทความเศรษฐกิจ > บทความวิเคราะห์รายงานทางเศรษฐกิจ(ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2565)
ข้อมูลเดือนธันวาคม 2564 จากตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน จะเห็นว่าดัชนีราคาผู้บริโภคมีค่าลดลงเล็กน้อย เพราะราคาน้ำมันมีการปรับตัวลงมาบ้าง ในขณะที่ราคาสินค้าจำพวกอาหารสดก็มีทิศทางที่ลดลงมาด้วย จึงส่งผลทำให้ราคามีทิศทางที่ปรับตัวน้อยลงมาในเดือนนี้ ส่วนภาคการผลิตยังมีการขยายตัวขึ้นมา เนื่องจากแนวโน้มเศรษฐกิจของต่างประเทศมีทิศทางดีขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ของโควิดที่ยังทรงตัว ส่งผลให้ผู้ประกอบการมีความมั่นใจมากขึ้น ทำให้ผู้ผลิตเริ่มที่จะเร่งการผลิตสินค้าออกมาก ส่งผลให้ในเดือนนี้มีการผลิตสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้นมาได้ ในขณะเดียวกันดุลการค้าปรับตัวลดลงแต่ยังมีทิศทางที่เป็นบวกอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการนำเข้ายังมีค่าที่ไม่สูงมากเท่าไรนัก จึงทำให้ไม่น่าเป็นห่วง อย่างไรก็ตามภาวะการเงินยังทรงตัวไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลง โดยปริมาณเงินฝากมีค่าเพิ่มขึ้นแต่เงินให้สินเชื่อมีค่าลดลง เนื่องจากประชาชนมีการออมสูงขึ้น เนื่องจากต้องการเก็บเงินไว้เพื่อรองรับกับความผันผวนที่ยังมีอยู่ จึงส่งผลให้การออมเงินมีการขยายตัวขึ้นมา ในขณะที่การปล่อยสินเชื่อมีค่าน้อยลง เนื่องจากธนาคารมีความระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อจากการที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจเป็นไปอย่างช้าๆ จึงส่งผลให้การปล่อยสินเชื่อปรับตัวได้ลดลง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาหนี้เสียตามมาอีกด้วย
ตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน
|
เดือน / รายละเอียด |
กันยายน 64 |
ตุลาคม 64 |
พฤศจิกายน 64 |
ธันวาคม 64 |
|
ดัชนีราคาผู้บริโภค |
101.21 |
101.96 |
102.25 |
101.86 |
|
ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม |
95.33 |
97.99 |
101.45 |
101.92 |
|
อัตราการใช้กำลังการผลิต |
62.06 |
64.14 |
65.83 |
66.30 |
|
ดุลการค้า |
4,007.39 |
3,804.13 |
4,237.52 |
2,834.65 |
|
ดุลบัญชีเดินสะพัด |
-791.04 |
-1,058.00 |
345.80 |
-1,377.96 |
|
เงินฝาก |
16,132.37 |
16,354.10 |
16,380.81 |
n.a. |
|
เงินให้สินเชื่อ |
17,389.40 |
17,727.43 |
17,713.38 |
n.a. |
ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย
หมายเหตุ ดัชนีราคาผู้บริโภค มีปีฐานคือ 2562 เงินฝาก/เงินให้สินเชื่อ มีหน่วยเป็น พันล้านบาท
อัตราการใช้กำลังการผลิต มีหน่วยเป็น ร้อยละ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม มีปีฐานคือ 2559
ดุลการค้า ดุลบัญชีเดินสะพัด มีหน่วยเป็น ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา
|
ปี |
จำนวน (ยูนิต) |
การเติบโต (%) |
|
ณ ธ.ค. 63 |
112,040 |
-7.27% |
|
ณ ธ.ค. 64 |
77,823 |
-30.54% |
ที่มา : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
- ประเภทที่อยู่อาศัยที่มีการจดทะเบียน ณ ธ.ค. 64 เรียงตามลำดับมีรายละเอียดดังนี้
|
ประเภท |
จำนวน (ยูนิต) |
สัดส่วน (%) |
|
อาคารชุด |
33,593 |
43.17 |
|
บ้านเดี่ยว |
26,910 |
34.58 |
|
ทาวน์เฮ้าส์ |
11,996 |
15.41 |
|
บ้านแฝด |
2,993 |
3.85 |
|
อาคารพาณิชย์ |
2,331 |
2.99 |
|
รวม |
77,823 |
100.00 |
ที่มา : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
|
ปี |
จำนวน (ยูนิต) |
การเติบโต (%) |
|
ณ ธ.ค. 63 |
196,845 |
-4.68% |
|
ณ ธ.ค. 64 |
166,402 |
-15.47% |
ที่มา : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
- ประเภทที่อยู่อาศัยที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ ณ ธ.ค. 64 เรียงตามลำดับมีรายละเอียดดังนี้
|
ประเภท |
จำนวน (ยูนิต) |
สัดส่วน (%) |
|
อาคารชุด |
70,126 |
42.14 |
|
ทาวน์เฮ้าส์ |
53,160 |
31.95 |
|
บ้านเดี่ยว |
27,704 |
16.65 |
|
บ้านแฝด |
8,671 |
5.21 |
|
อาคารพาณิชย์ |
6,741 |
4.05 |
|
รวม |
166,402 |
100.00 |
ที่มา : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
|
ปี 64 |
อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 6 ธนาคาร |
อัตราดอกเบี้ย นโยบาย ธปท. |
|
มกราคม |
5.38 |
0.50 |
|
กุมภาพันธ์-เมษายน |
5.34 |
0.50 |
|
พฤษภาคม |
5.42 |
0.50 |
|
มิถุนายน |
5.54 |
0.50 |
|
กรกฎาคม-พฤศจิกายน |
5.83 |
0.50 |
|
ธันวาคม |
5.87 |
0.50 |
ที่มา : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
หมายเหตุ : 6 ธนาคาร ประกอบด้วย ธ.อาคารสงเคราะห์, ธ.กสิกรไทย, ธ.กรุงเทพ, ธ.กรุงศรีอยุธยา,
ธ.กรุงไทย และ ธ.ไทยพาณิชย์
สรุปภาพรวมภาวะอสังหาริมทรัพย์เดือนธันวาคม 2564
ภาพรวมของอุปทานมีการปรับตัวลดลง 30.54% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังฟื้นตัวได้ไม่มากนัก ท่ามกลางความผันผวนที่ยังมีอยู่มาก อีกทั้งการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง จึงทำให้ผู้ประกอบการชะลอการพัฒนาโครงการออกมา เพื่อรอดูสถานการณ์ให้มีความชัดเจนมากขึ้น ส่งผลให้อุปทานในตลาดมีทิศทางที่หดตัวลงมา ในขณะเดียวกันทางด้านอุปสงค์ก็มีทิศทางที่ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 15.47% เพราะกำลังซื้อของผู้บริโภคยมีแนวโน้มชะลอตัวอยู่ต่อไป ท่ามกลางผลกระทบที่เกิดขึ้นส่งผลต่อรายได้ของผู้บริโภคอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ที่อยู่อาศัยประเภทอาคารชุดยังมียอดการโอนกรรมสิทธิ์มากที่สุด รองลงมาคือ ทาวน์เฮ้าส์ และบ้านเดี่ยว ส่วนสินเชื่อที่อยู่อาศัยค่อนข้างทรงตัวตามความเข้มงวดของสถาบันการเงิน ส่งผลทำให้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อยที่ 1.25% ณ ไตรมาส 4 ปี 64 ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่อยู่อาศัยมีการปรับตัวสูงขึ้นมาที่ 5.87% ส่วนอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยยังทรงตัวอยู่ที่ 0.50% ตามลำดับ
วิเคราะห์การเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสในภาคการท่องเที่ยวไทย

ที่มาของภาพ : https://wallpaper.dog/large/20372890.jpg
ในยุคหลังโควิด 19 รูปแบบการท่องเที่ยวได้เปลี่ยนไปจากเดิม มีแนวโน้มให้ความสำคัญกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เกิดกระแสการท่องเที่ยวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน
คำถามที่น่าสนใจคือ ในช่วงที่รอการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ไทยควรเตรียมพร้อมในเรื่องนี้อย่างไร เพื่อสร้างโอกาสและทำให้การเปลี่ยนผ่านไปสู่การท่องเที่ยวยุคใหม่เป็นไปอย่างราบรื่น “การท่องเที่ยวแบบยั่งยืน” เทรนด์การท่องเที่ยวยุคใหม่
การแพร่ระบาดของโควิด 19 ตลอดระยะ 2 ปี ทำให้รายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เคยสูงเกือบปีละ 2 ล้านล้านบาทหายไปเกือบทั้งหมด ในอีกด้านหนึ่ง เริ่มได้ยินสื่อนำเสนอข่าวเกี่ยวกับการฟื้นตัวของธรรมชาติและพบเห็นสัตว์หายากในพื้นที่ต่างๆ ทั่วโลก จนเกิดเป็นกระแสความตื่นตัวด้านสิ่งแวดล้อมและพูดถึงเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals) หนาหูขึ้น เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนไม่ใช่เรื่องใหม่ และถูกบรรจุในแผนพัฒนาการท่องเที่ยวของไทยที่ผ่านมาทุกฉบับ เพียงแต่ยังมีข้อจำกัดในการขยายผล โดยเฉพาะช่วงก่อนโควิด 19 ที่นักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ทำให้มุ่งเน้นไปที่รายได้ที่เข้ามา จนอาจมองข้ามการวางรากฐานการท่องเที่ยวยั่งยืน ที่ต้องคำนึงถึงขีดความสามารถของธรรมชาติในการรองรับนักท่องเที่ยว เนื่องจากธรรมชาติที่สวยงามและอุดมสมบูรณ์ เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกสถานที่ท่องเที่ยว สอดคล้องกับพฤติกรรมนักท่องเที่ยวที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนมากขึ้น และจากผลสำรวจของ Booking.com เมื่อเดือนเมษายน 2564 พบว่า 83% ของผู้ตอบแบบสำรวจเห็นว่าการท่องเที่ยวยั่งยืนมีความสำคัญ โดยนักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อยยินดีจ่ายเงินมากขึ้นเพื่อการท่องเที่ยวที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม
เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส : ดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพ สร้างปลายทางแหล่งท่องเที่ยวยั่งยืน
จากข้อมูลของ Visual Capitalist พบว่าไทยติด 1 ใน 10 อันดับแรกของประเทศยอดนิยมที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจมาเที่ยวในช่วงหลังโควิด 19 ทั้งนี้จากการประเมินจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติของหลายหน่วยงานสำคัญทางเศรษฐกิจเห็นตรงกันว่า ในระยะสั้น-กลาง จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาอาจไม่กลับไปสู่ระดับเดิมที่ 40 ล้านคน คาดว่าในปี 2565 จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเฉลี่ย 5.7 ล้านคน และคาดว่าเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพ ทั้งในแง่ของระยะเวลาพักที่ยาวนานและค่าใช้จ่ายที่สูง ไทยจึงควรใช้โอกาสนี้ในการสร้างภาพลักษณ์การท่องเที่ยวใหม่ ให้กลายเป็นจุดหมายปลายทางสำหรับการท่องเที่ยวยั่งยืนของโลก เพื่อเป็นการสร้างรายได้จากกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพ มากกว่าหวังพึ่งปริมาณนักท่องเที่ยวจำนวนมากดังเช่นในอดีต ซึ่งการสร้างโมเดลการท่องเที่ยวยั่งยืนไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ใช่ว่าจะทำให้สำเร็จไม่ได้ โดยจะขอยกตัวอย่าง 2 โมเดลการท่องเที่ยวยั่งยืนที่ประสบความสำเร็จมาต่อยอด โดยมีรายละเอียดดังนี้
กุญแจสำคัญอย่างเดียวกันที่ทำให้โมเดลการท่องเที่ยวยั่งยืนของปาเลาและเกาะหมาก ประสบความสำเร็จ คือ
โดยสรุปจะเห็นได้ว่าถ้าหากแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ สามารถปรับใช้และต่อยอดไปสู่การท่องเที่ยวยั่งยืนในพื้นที่ของตัวเองได้มากขึ้น ก็จะช่วยเสริมภาพลักษณ์การท่องเที่ยวยั่งยืนของไทยให้โดดเด่นในสายตาของโลก ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ไทยได้คว้าโอกาสที่ดีหลังจากนักท่องเที่ยวต่างชาติเริ่มทยอยกลับมาเหมือนเดิม และจะเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยทำให้การฟื้นฟูเศรษฐกิจของไทยสามารถที่จะเติบโตขึ้นได้อย่างยั่งยืนต่อไปอีกด้วย
วิเคราะห์ผลกระทบของโอมิครอนที่มีต่อตลาดการเงินไทย
การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์โอมิครอน (Omicron) ได้ส่งผลให้การดำเนินนโยบายทางการเงินของธนาคารกลางในหลายประเทศเปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากหากการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์โอมิครอนมีความรุนแรงขึ้นและส่งผลกระทบให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจปรับชะลอลงอย่างมีนัย การดำเนินนโยบายทางการเงินแบบตึงตัวอาจยิ่งเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และทำให้ต้นทุนทางการเงินของทั้งภาครัฐ ภาคธุรกิจ และประชาชนปรับสูงขึ้น ซึ่งจะทำให้ธนาคารกลางที่ให้ความสำคัญต่ออัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจอาจเลื่อนการดำเนินนโยบายการเงินที่ตึงตัวออกไป แต่หากสถานการณ์การแพร่ระบาดมีแนวโน้มทำให้ปัญหาการหยุดชะงักของอุปทาน (supply chain disruption) ทั้งในภาคการผลิตและภาคขนส่งทั่วโลกรุนแรงขึ้น และกดดันให้ราคาสินค้าและอัตราเงินเฟ้อปรับสูงขึ้น ในภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัวดีแล้ว จนอาจสร้างคาดการณ์เงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้นไปมากจากเดิมและธุรกิจต่างๆ แห่ปรับราคา อาจทำให้ธนาคารกลางจำเป็นต้องเร่งดำเนินนโยบายการเงินแบบตึงตัวเร็วขึ้น เช่น ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่ได้ดำเนินการปรับลดปริมาณการเข้าซื้อสินทรัพย์ทางการเงิน (QE Tapering) ในอัตราที่เร็วขึ้น ทำให้สภาพคล่องในระบบการเงินอาจปรับลดลงเร็วกว่าที่ตลาดเคยคาดการณ์ไว้ ส่งผลให้ภาวะการเงินปรับตึงตัวขึ้นเร็ว อีกทั้งแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายและการลดขนาดงบดุลในปีนี้ ก็อาจเกิดขึ้นได้เร็วกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้เดิม
ความไม่แน่นอนจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์โอมิครอนส่งผลให้ตลาดการเงินทั่วโลกมีความผันผวนมากขึ้น ซึ่งมีผลกระทบต่อทิศทางของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลและอัตราแลกเปลี่ยน ดังนี้
ผลกระทบต่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวอาจผันผวนและปรับลดลงได้ตามความต้องการเข้าถือสินทรัพย์ปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นของนักลงทุนในช่วงที่การแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์โอมิครอนมีความไม่แน่นอน ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวของสหรัฐฯ อาจปรับลดลงตามความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นในบางช่วงได้ ทั้งนี้หลังมีการเปิดเผยรายงานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC minutes) ของ Fed ซึ่งส่งสัญญาณการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ทั้งตัวอายุสั้นและตัวอายุยาวก็ปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ในระยะต่อไปหลังจากที่สถานการณ์การแพร่ระบาดทยอยคลี่คลายตั้งแต่ไตรมาส 2 ของปีนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวก็มีแนวโน้มปรับสูงขึ้นได้อีก ตามการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ตลาดแรงงานที่ตึงตัว และแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้นเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อ สำหรับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้นของสหรัฐฯ มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นตามการสื่อสารถึงการขึ้นอัตราดอกเบี้ยและการลดขนาดงบดุลของ Fed
ผลกระทบต่ออัตราแลกเปลี่ยนและเงินทุนเคลื่อนย้าย ทิศทางค่าเงินในปี 2565 ของประเทศต่างๆ จะมีความแตกต่างกันขึ้นอยู่กับระดับผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากไวรัสสายพันธุ์โอมิครอน ความสามารถในการควบคุมการแพร่ระบาด และโครงสร้างเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ โดยประเทศที่เศรษฐกิจมีการพึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยวสูงอาจเผชิญกับการอ่อนค่าของอัตราแลกเปลี่ยนมาก เนื่องจากมีแนวโน้มที่จะขาดดุลบัญชีเดินสะพัดมากกว่าเมื่อเทียบกับประเทศที่มีการพึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยวน้อย นอกจากนี้ประเทศที่ภาครัฐควบคุมการแพร่ระบาดได้ไม่ดีก็อาจเผชิญกับเงินทุนเคลื่อนย้ายที่ผันผวนและมีแนวโน้มไหลออกมากกว่าตามความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ปรับลดลงเร็ว ค่าเงินจึงอ่อนค่าในอัตราที่สูงกว่าประเทศที่บริหารจัดการได้ดีกว่า
ด้านค่าเงินดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้มปรับแข็งค่าขึ้นตามความต้องการถือสินทรัพย์ปลอดภัยที่มากขึ้น และตามสภาพคล่องที่คาดว่าจะลดลงจากการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดของ Fed โดยการแพร่ระบาดของโอมิครอนส่งผลให้เงินทุนเคลื่อนย้ายมีความผันผวนมากขึ้น โดยเฉพาะในระยะสั้นที่ความเชื่อมั่นของนักลงทุนปรับลดลงในช่วงที่การแพร่ระบาดรุนแรง นักลงทุนจะหันไปถือสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น เงินดอลลาร์สหรัฐ ทำให้เงินทุนเคลื่อนย้ายมีแนวโน้มไหลออกจากกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ที่มีเสถียรภาพเศรษฐกิจเปราะบางกว่า นอกจากนี้แนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยและการลดขนาดงบดุลของสหรัฐฯ จะยิ่งส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้มปรับแข็งค่าขึ้นในปีนี้ด้วย
ผลกระทบที่มีต่อตลาดการเงินไทย สามารถวิเคราะห์ได้ดังนี้
ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวของไทยมีความสัมพันธ์ค่อนข้างสูงกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวของสหรัฐฯ ดังนั้นอัตราผลตอบแทนฯ ของไทยมีแนวโน้มปรับสูงขึ้นหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดดีขึ้น โดยในบางช่วงของการแพร่ระบาด อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยระยะยาวอาจปรับลดลงได้ตามทิศทางอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวของสหรัฐฯ ที่อาจลดลง อย่างไรก็ดีอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวของไทยในช่วงครึ่งหลังของปีมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 2.2-2.3% ตามทิศทางอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย และอุปทานพันธบัตรรัฐบาลไทยที่คาดว่าจะมีออกมามากขึ้นตามความต้องการระดมทุนของภาครัฐไทย ด้านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 1 ปีของไทยมีแนวโน้มทรงตัวตามแนวโน้มการคงดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่ยังเปราะบาง จึงทำให้เส้นอัตราผลตอบแทน (Yield curve) ของไทยมีแนวโน้มปรับชันขึ้นในปี 2565 (Yield Curve Steepening)
ในระยะสั้น เงินทุนเคลื่อนย้ายจะยังมีความผันผวนและค่าเงินบาทอาจอ่อนค่าในบางช่วง แต่หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดปรับดีขึ้น คาดว่าเงินบาทจะกลับมาแข็งค่าขึ้นตามแนวโน้มการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดลดลง โดยในช่วงที่สถานการณ์การแพร่ระบาดในต่างประเทศรุนแรง และมีรายงานข่าวการติดเชื้อในประเทศ เงินทุนเคลื่อนย้ายได้ไหลออกจากตลาดทุนไทย อย่างไรก็ดีคาดว่าปริมาณเงินที่ไหลออกจะไม่รุนแรงนักเนื่องจากไทยยังมีเสถียรภาพด้านต่างประเทศที่แข็งแกร่งเมื่อเทียบกับตลาดเกิดใหม่อื่นๆ ดังนั้นจึงคาดว่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 ค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าอยู่ในกรอบ 33.5-34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ตามแรงกดดันจากการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ และจากความเสี่ยงที่จำนวนผู้ติดเชื้อโอมิครอนในประเทศอาจปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและเป็นปัจจัยกดดันให้เงินทุนเคลื่อนย้ายไหลออกจากไทยในระยะสั้นได้ ทั้งนี้ค่าเงินบาทในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 มีแนวโน้มปรับแข็งค่าขึ้นสู่ระดับ 32-33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ตามการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของไทยที่จะชัดเจนขึ้นและดุลบัญชีเดินสะพัดที่จะขาดดุลลดลงจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น
โดยสรุปการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์โอมิครอนส่งผลให้ภาวะการเงินโลกปรับตึงตัวขึ้น เงินทุนเคลื่อนย้ายผันผวน และอัตราแลกเปลี่ยนของประเทศที่มีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจไม่ดีนักอ่อนค่าลง โดยบางธนาคารกลางที่เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวดีแล้วอาจเร่งดำเนินนโยบายการเงินที่ตึงตัวขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะยาว อาจปรับลดลงในบางช่วงตามความต้องการเข้าถือสินทรัพย์ปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่การแพร่ระบาดมีความไม่แน่นอนสูง ทั้งนี้หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดปรับดีขึ้น อัตราผลตอบแทนดังกล่าวมีแนวโน้มปรับสูงขึ้นตามการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของนักลงทุน นอกจากนี้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นในปี 2565 ตามความต้องการถือสินทรัพย์ปลอดภัยและการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดของ Fed ขณะที่ค่าเงินของประเทศที่มีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจไม่ดีมีแนวโน้มอ่อนค่าลง ด้านเงินบาทอาจอ่อนค่าในช่วงครึ่งแรกของปี เนื่องจากเศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดและมาตรการควบคุมการเดินทางระหว่างประเทศค่อนข้างมาก แต่คาดว่าเงินบาทจะปรับแข็งค่าขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ตามสถานการณ์การแพร่ระบาดในประเทศที่จะปรับดีขึ้นและเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวได้ชัดเจนขึ้น
กลุ่มวางแผนกลยุทธ์และงบประมาณ
ฝ่ายยุทธศาสตร์และวางแผนธุรกิจองค์กร