เกี่ยวกับเรา
BAM ประกอบธุรกิจด้านการบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ โดยมีส่วนช่วยเหลือลูกหนี้และแก้ไขปัญหาสถาบันการเงิน เพิ่มเติม
ทรัพย์
อื่นๆ
ติดต่อเรา
0-2630-0700
0-2266-3377
99 ถนนสุรศักดิ์ แขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพฯ 10500
หน้าหลัก > บทความเศรษฐกิจ > บทความวิเคราะห์รายงานทางเศรษฐกิจ (ประจำเดือนสิงหาคม 2564)
ข้อมูลเดือนมิถุนายน 2564 จากตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน จะเห็นว่าดัชนีราคาผู้บริโภคมีค่าเพิ่มขึ้น เพราะราคาน้ำมันกลับมามีทิศทางที่ปรับตัวสูงขึ้น ในขณะที่ราคาสินค้าจำพวกอาหารสดก็มีทิศทางที่เพิ่มขึ้นตามผลผลิตที่ออกมาได้น้อยลง จึงส่งผลทำให้ราคามีทิศทางที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาในเดือนนี้ ส่วนภาคการผลิตมีการหดตัวลงมา เนื่องจากแนวโน้มเศรษฐกิจของต่างประเทศเริ่มมีความผันผวนตามสถานการณ์ของโควิดที่ยังมีความไม่แน่นอนสูงส่งผลให้ผู้ประกอบการต่างรอดูสถานการณ์ที่เกิดขึ้นก่อน ทำให้ผู้ผลิตไม่ได้เร่งการผลิตสินค้าออกมาก ส่งผลให้ในเดือนนี้มีการผลิตสินค้ามีการปรับตัวลดลงมา ในขณะเดียวกันดุลการค้าปรับตัวเพิ่มขึ้นและยังมีทิศทางที่เป็นบวกอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการนำเข้ายังมีค่าที่ไม่สูงมากเท่าไรนัก จึงทำให้ไม่น่าเป็นห่วง อย่างไรก็ตามภาวะการเงินยังทรงตัวไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลง โดยปริมาณเงินฝากและเงินให้สินเชื่อมีค่ามากขึ้น เนื่องจากประชาชนได้เริ่มมีการออมเพิ่มขึ้น เพราะการลงทุนค่อนข้างมีความผันผวน จึงส่งผลให้การออมเงินมีการขยายตัวขึ้นมา ในขณะที่การปล่อยสินเชื่อมีค่าสูงขึ้น เนื่องจากธนาคารได้มีการปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการไปช่วยในการเพิ่มเสริมสภาพคล่อง จึงส่งผลให้การปล่อยสินเชื่อมีการปรับตัวที่เพิ่มขึ้นมาได้ แต่ก็ยังคงมีความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาหนี้เสียตามมาอีกด้วย
ตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน
|
เดือน / รายละเอียด |
มีนาคม 64 |
เมษายน 64 |
พฤษภาคม 64 |
มิถุนายน 64 |
|
ดัชนีราคาผู้บริโภค |
99.11 |
100.48 |
99.55 |
99.93 |
|
ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม |
109.37 |
90.54 |
99.96 |
97.22 |
|
อัตราการใช้กำลังการผลิต |
70.65 |
65.76 |
65.76 |
63.92 |
|
ดุลการค้า |
3,358.37 |
2,429.15 |
3,377.81 |
3,905.78 |
|
ดุลบัญชีเดินสะพัด |
-1,168.17 |
-1,297.63 |
-2,624.04 |
-1,305.45 |
|
เงินฝาก |
15,819.62 |
16,030.09 |
16,153.85 |
n.a. |
|
เงินให้สินเชื่อ |
17,373.84 |
17,451.59 |
17,733.90 |
n.a. |
ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย
หมายเหตุ ดัชนีราคาผู้บริโภค มีปีฐานคือ 2562 เงินฝาก/เงินให้สินเชื่อ มีหน่วยเป็น พันล้านบาท
อัตราการใช้กำลังการผลิต มีหน่วยเป็น ร้อยละ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม มีปีฐานคือ 2559
ดุลการค้า ดุลบัญชีเดินสะพัด มีหน่วยเป็น ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา
ภาวะอสังหาริมทรัพย์ เดือนมิถุนายน 2564
|
ปี |
จำนวน (ยูนิต) |
การเติบโต (%) |
|
ณ มิ.ย. 63 |
55,146 |
4.53% |
|
ณ มิ.ย. 64 |
46,610 |
-15.48% |
ที่มา : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
- ประเภทที่อยู่อาศัยที่มีการจดทะเบียน ณ มิ.ย. 64 เรียงตามลำดับมีรายละเอียดดังนี้
|
ประเภท |
จำนวน (ยูนิต) |
สัดส่วน (%) |
|
อาคารชุด |
21,759 |
46.68 |
|
บ้านเดี่ยว |
15,303 |
32.83 |
|
ทาวน์เฮ้าส์ |
6,647 |
14.26 |
|
บ้านแฝด |
1,826 |
3.92 |
|
อาคารพาณิชย์ |
1,075 |
2.31 |
|
รวม |
46,610 |
100.00 |
ที่มา : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
|
ปี |
จำนวน (ยูนิต) |
การเติบโต (%) |
|
ณ มิ.ย. 63 |
88,336 |
-6.32% |
|
ณ มิ.ย. 64 |
79,442 |
-10.07% |
ที่มา : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
- ประเภทที่อยู่อาศัยที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ ณ มิ.ย. 64 เรียงตามลำดับมีรายละเอียดดังนี้
|
ประเภท |
จำนวน (ยูนิต) |
สัดส่วน (%) |
|
อาคารชุด |
33,626 |
42.33 |
|
ทาวน์เฮ้าส์ |
25,082 |
31.57 |
|
บ้านเดี่ยว |
13,271 |
16.71 |
|
บ้านแฝด |
3,920 |
4.93 |
|
อาคารพาณิชย์ |
3,543 |
4.46 |
|
รวม |
79,442 |
100.00 |
ที่มา : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
|
ปี 64 |
อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 6 ธนาคาร |
อัตราดอกเบี้ย นโยบาย ธปท. |
|
มกราคม |
5.38 |
0.50 |
|
กุมภาพันธ์-เมษายน |
5.34 |
0.50 |
|
พฤษภาคม |
5.42 |
0.50 |
|
มิถุนายน |
5.54 |
0.50 |
ที่มา : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
หมายเหตุ : 6 ธนาคาร ประกอบด้วย ธ.อาคารสงเคราะห์, ธ.กสิกรไทย, ธ.กรุงเทพ, ธ.กรุงศรีอยุธยา,
ธ.กรุงไทย และ ธ.ไทยพาณิชย์
สรุปภาพรวมภาวะอสังหาริมทรัพย์เดือนมิถุนายน 2564
ภาพรวมของอุปทานมีการปรับตัวลดลง 15.48% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังเป็นไปได้อย่างช้าๆ ท่ามกลางความผันผวนที่ยังมีอยู่มาก อีกทั้งการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่กลับมาระลอกใหม่และยังไม่มีแนวโน้มว่าจะลดลง จึงทำให้ผู้ประกอบการชะลอการพัฒนาโครงการออกมา เพื่อรอดูสถานการณ์ให้มีความชัดเจนมากขึ้น ส่งผลให้อุปทานในตลาดมีทิศทางที่หดตัวลงมา ในขณะเดียวกันทางด้านอุปสงค์ก็มีทิศทางที่ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 10.07% เพราะกำลังซื้อของผู้บริโภคยมีแนวโน้มชะลอตัวอยู่ต่อไป ท่ามกลางผลกระทบที่เกิดขึ้นส่งผลต่อรายได้ของผู้บริโภคอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ที่อยู่อาศัยประเภทอาคารชุดยังมียอดการโอนกรรมสิทธิ์มากที่สุด รองลงมาคือ ทาวน์เฮ้าส์ และบ้านเดี่ยว ส่วนสินเชื่อที่อยู่อาศัยมีการขยายตัวขึ้นมาที่ 9.71% ณ ไตรมาส 2 ปี 64 ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่อยู่อาศัยปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ 5.54% แต่อัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยยังทรงตัวอยู่ที่ 0.50% ตามลำดับ
วิเคราะห์เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวแต่ยังมีความไม่แน่นอนอยู่มาก*

ที่มาของภาพ : https://www.stridentconservative.com/wp-content/uploads/2018/05/Economic-Uncertainty-Ahead.jpg
การประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจโลกของไอเอ็มเอฟ (IMF) พบว่าการฟื้นตัวยังเปราะบางจากการกระจายวัคซีนที่ไม่ทั่วถึง ทำให้เศรษฐกิจโลกแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ
- กลุ่มที่ไปได้ดี ซึ่งก็คือประเทศอุตสาหกรรมที่ฟื้นตัวดีเพราะได้ประโยชน์จากวัคซีนและแรงกระตุ้นทางการคลัง
- อีกกลุ่มคือประเทศตลาดเกิดใหม่ที่การฟื้นตัวไปได้ช้า เพราะล่าช้าในเรื่องวัคซีนและไม่มีพลังทางการคลังเข้ามาสนับสนุน ทำให้ความเป็นอยู่ของประชากรในกลุ่มหลังค่อนข้างลำบาก ความยากจนเพิ่มขึ้น สร้างแรงกดดันต่อสังคมและต่อเสถียรภาพของประเทศ
ซึ่งในเอกสาร “รอยปริกว้างขึ้นในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก” (Fault Lines Widen in the Global Recovery) ที่ไอเอ็มเอฟประเมินภาวะเศรษฐกิจโลกล่าสุด มีประเด็นสำคัญสามารถสรุปได้ดังนี้
1. การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกปีนี้และปีหน้าไม่ต่างจากที่ประมาณไว้เดิมในเดือนเมษายน คือ เศรษฐกิจโลกปีนี้ขยายตัว 6 เปอร์เซ็นต์และชะลอเหลือ 4.9 เปอร์เซ็นต์ปีหน้า แต่ที่ต่างคือองค์ประกอบที่ประเทศอุตสาหกรรมขยายตัวดีขึ้นกว่าที่ประเมินไว้เดิม 0.5 เปอร์เซ็นต์ คือขยายตัวร้อยละ 5.6 ปีนี้และร้อยละ 4.4 ปีหน้า ที่แย่ลงคือประเทศตลาดเกิดใหม่ ที่การขยายตัวทางเศรษฐกิจปีนี้ปรับลดลงจากเดิมเหลือร้อยละ 6.3 และร้อยละ 5.2 ปีหน้า และที่ปรับลงมากคือ ประเทศตลาดเกิดใหม่ในเอเชียโดยเฉพาะกลุ่มอาเซียน 5 ประเทศ ที่เศรษฐกิจปีนี้จะขยายตัว ร้อยละ 4.3 ก่อนจะเร่งตัวเป็นร้อยละ 6.3 ปีหน้า สะท้อนการระบาดของโควิดสายพันธุ์เดลต้าที่กำลังมีมากในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
2. ความเร็วที่ต่างกันในการฟื้นตัวระหว่างประเทศอุตสาหกรรมและประเทศตลาดเกิดใหม่ ทำให้เศรษฐกิจโลกกำลังปริออกเป็น 2 กลุ่ม
- กลุ่มแรก คือ กลุ่มประเทศอุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์จากการฉีดวัคซีนและพลังกระตุ้นจากนโยบายการคลัง ทำให้เศรษฐกิจกลับมาขยายตัวได้เร็วจากนโยบายเปิดประเทศและการกลับมาทำธุรกิจของภาคเอกชน
- กลุ่มสอง คือ กลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ที่การฉีดวัคซีนทำได้ช้ากว่า ล่าสุดฉีดได้เพียงร้อยละ 11 ของประชากรเทียบกับเกือบร้อยละ 40 ในประเทศอุตสาหกรรม ขณะที่การกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศตลาดเกิดใหม่ก็ทำได้จำกัด เพราะไม่มีเงินที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจแบบต่อเนื่อง ส่วนใหญ่ทำได้เพียงปีที่แล้ว ต่างกับประเทศอุตสาหกรรมที่ได้อนุมัติวงเงินกระตุ้นเศรษฐกิจไปแล้วกว่า 4.6 ล้านล้านดอลลาร์สำหรับปี 2021 และปีต่อๆ ไป นี่คือความแตกต่าง และรอยปรินี้จะกว้างขึ้นถ้าทั้งการฉีดวัคซีนและการกระตุ้นทางการคลังยิ่งห่างกันมากไปอีก
3. รอยปริแตกลักษณะนี้ทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกยังไม่น่าวางใจ ซึ่งสาเหตุหลักคือความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงวัคซีน ซึ่งไอเอ็มเอฟมองว่าวัคซีนคือปัจจัยหลักที่จะทำให้เศรษฐกิจกลับมาฟื้นได้ ดังนั้นตราบใดที่ร้อยละ 59 ของเศรษฐกิจโลก คือ ประเทศตลาดเกิดใหม่ทั้งหมด (วัดโดยความสามารถของอำนาจซื้อ) ยังฟื้นตัวไม่ได้เต็มที่จากการระบาดของโควิดที่ยังมีอยู่ ก็ยากที่เศรษฐกิจโลกทั้ง 100 เปอร์เซ็นต์จะฟื้นตัวได้ดี
นอกจากนี้ก็มีความเสี่ยงที่การระบาดที่ยังไม่จบในประเทศตลาดเกิดใหม่อาจกลับมาปะทุเป็นการระบาดรอบใหม่ในประเทศอุตสาหกรรม ซึ่งจะกระทบการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศอุตสาหกรรม ด้วยเหตุนี้ถ้าเปรียบเศรษฐกิจโลกเป็นร่างกายมนุษย์ เศรษฐกิจโลกจะไม่ปลอดภัยจากโควิดตราบใดที่ส่วนหนึ่งส่วนใดของเศรษฐกิจโลกยังไม่ปลอดภัยจากโควิด
อีกประเด็นที่ไอเอ็มเอฟพูดถึงคือ ความเสี่ยงเรื่องเงินเฟ้อที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศอุตสาหกรรมได้สร้างแรงกดดันให้ระดับราคาในเศรษฐกิจโลกปรับสูงขึ้น ทั้งจากความต้องการสินค้าวัตถุดิบและสินค้าโภคภัณฑ์ที่เพิ่มมากขึ้น เช่น น้ำมัน ตามการขยายตัวของการใช้จ่าย และจากภาวะอุปสงค์และอุปทานในบางอุตสาหกรรมที่ยังเขย่งกันจากปัญหาคอขวดในการผลิต ทำให้การผลิตปรับตามการเพิ่มของอุปสงค์ไม่ทัน ส่งผลให้ราคาปรับสูงขึ้น ทั้งนี้ไอเอ็มเอฟมองราคาที่ปรับสูงขึ้นว่าเป็นภาวะชั่วคราวที่สะท้อนปัญหาคอขวดในการผลิต ไม่ใช่การเร่งตัวของการใช้จ่าย จึงไม่อยากให้ธนาคารกลางผลีผลามในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพราะจะเร็วเกินไปเมื่อเทียบกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่แน่นอน และเหตุที่ห่วงเรื่องนี้ก็เพราะหลายประเทศ เช่น บราซิล ฮังการี เม็กซิโก รัสเซีย ตุรกี ได้เริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้ว อย่างที่ทราบอัตราดอกเบี้ยที่แพงขึ้นจะยิ่งทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจมีข้อจำกัด และสร้างความเสี่ยงต่อประเทศตลาดเกิดใหม่จากเงินทุนระหว่างประเทศที่จะไหลออก
ท้ายสุดในประเทศที่พึ่งภาคบริการ เช่น การท่องเที่ยวมาก บวกกับมีปัญหาความเหลื่อมล้ำในการกระจายรายได้ ผลของโควิดและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ช้าจะทำให้ความเหลื่อมล้ำยิ่งมีมากขึ้นและจำนวนคนยากจนในประเทศสูงขึ้น (ซึ่งประเทศไทยก็อยู่ในกลุ่มนี้) สถานการณ์ดังกล่าวทำให้ในหลายประเทศ ผู้คนเริ่มออกมาประท้วงเรียกร้องการบริหารจัดการปัญหาที่ดีกว่าจากรัฐบาล รวมถึงชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นและปลอดภัยจากโควิด สร้างแรงกดดันต่อสังคมและเสถียรภาพของประเทศ ล่าสุดจึงเห็นข่าวการประท้วงเกิดขึ้นกว้างขวางใน ชิลี บราซิล คิวบา แอฟริกาใต้และตูนีเซีย เป็นต้น
ในประเด็นนี้ไอเอ็มเอฟให้ความเห็นว่าประเทศต่างๆ ในโลกต้องร่วมมือกันจริงจังเพื่อลดการระบาด เช่น จัดวงเงินทั้งเงินให้เปล่าและเงินกู้อัตราดอกเบี้ยต่ำให้ประเทศที่มีการระบาดมากสามารถจัดซื้อวัคซีนฉีดให้ประชากรเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ ซึ่งอยู่ในวิสัยที่ประเทศอุตสาหกรรมจะช่วยเหลือได้ เพราะถ้าไม่ร่วมมือกันจริงจัง ปล่อยไว้แบบนี้ ศูนย์กลางการระบาดก็จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ไม่จบสิ้น กระทบการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก เหมือนร่างกายมนุษย์จะฟื้นจากการเจ็บป่วยไม่ได้ตราบใดที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายยังเจ็บป่วยอยู่นั่นเอง
วิเคราะห์ความเสี่ยงภายหลังจาก COVID-19
ความเสี่ยงหลังจาก COVID-19 นี้ไปจนถึงช่วง 5 ปีข้างหน้าคาดว่าน่าที่จะเกิดขึ้น เพื่อจะได้เตรียมพร้อมในการบริหารจัดการความเสี่ยงดังกล่าว โดยสามารถจำแนกความเสี่ยงด้านต่าง ๆ ออกมาได้ 8 ประการ ดังนี้
ความเสี่ยงที่ 1 การระบาดของ COVID สายพันธุ์ใหม่ โดยในปัจจุบันจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ทั่วโลกเริ่มกลับมาเป็นขาขึ้นอีกครั้ง หลังจากที่ลดลงอย่างต่อเนื่องหลังการแจกจ่ายวัคซีน โดยเป็นการระบาดของเชื้อสายพันธุ์ Delta หรือสายพันธุ์อินเดียที่สามารถแพร่พันธุ์ได้อย่างรวดเร็วมากและแข็งแกร่ง ดื้อต่อวัคซีนสูง โดยงานวิจัยพบว่าสายพันธุ์นี้จะสามารถเพิ่มสัดส่วนต่อการระบาดทั้งหมดได้ 2 เท่า ทุกๆ 2-3 สัปดาห์ ในขณะที่วัคซีนที่ไม่ใช่เทคโนโลยี mRNA จะไม่สามารถคุมสายพันธุ์นี้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นเป็นไปได้สูงว่าจะเกิดการระบาดอย่างรุนแรงในหลายภูมิภาคในโลก เช่น เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียใต้ และยุโรป นอกจากนั้นเป็นไปได้สูงว่าในระยะต่อไปจะเกิดการกลายพันธุ์อีก จนทำให้มนุษยชาติอาจจะต้องอยู่กับโรคระบาดนี้ไปอีกนาน
ความเสี่ยงที่ 2 ภาวะเงินเฟ้อและการตึงตัวทางการเงินการคลังโลก ในปัจจุบันภาวะเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นทั่วโลกส่วนใหญ่เกิดจากปัจจัยชั่วคราวจากความต้องการบริโภคสินค้าและบริการที่มากขึ้นหลังการเปิดประเทศของซีกโลกตะวันตก ขณะที่ภาคการผลิตประสบปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบ (Supply bottleneck) แต่ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะมาตรการกระตุ้นของประเทศซีกโลกตะวันตกโดยเฉพาะสหรัฐ ซึ่งหากทางการไม่เริ่มถอนมาตรการกระตุ้นอย่างทันท่วงทีแล้ว สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือเงินเฟ้อจะเข้าไปอยู่ในใจประชาชน นำไปสู่ภาวะกักตุนสินค้าและบริการได้
ดังนั้นในระยะต่อไปทางการสหรัฐจะต้องเร่งถอนมาตรการการเงินการคลังที่ผ่อนคลายอย่างสุดขั้วลง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อราคาสินทรัพย์ต่างๆ ที่เผชิญภาวะฟองสบู่ในปัจจุบัน ทำให้ความผันผวนในตลาดเงินตลาดทุนโลกในระยะต่อไปจะมีมากขึ้น ในส่วนของมาตรการการคลัง สหรัฐพร้อมปรับขึ้นภาษีเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ สนับสนุนโครงการโครงสร้างพื้นฐานและสวัสดิการประชาชน และลดความเหลื่อมล้ำและขยายฐานภาษีโดยเฉพาะกับบริษัทเทคโนโลยี ซึ่งจะทำให้แนวโน้มการปรับขึ้นภาษีทั่วโลกจะเกิดขึ้นในระยะต่อไป
ความเสี่ยงที่ 3 ได้แก่การที่จีนกำลังก้าวเข้าสู่มหาอำนาจโลก จะเป็นทั้งความเสี่ยงและโอกาส ซึ่งการที่จีนเติบโตอย่างก้าวกระโดดขณะที่กำลังเข้าสู่ภาวะสังคมสูงวัย (Aging Society) ทำให้รัฐบาลจีนจะต้องเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตขึ้น ทั้งเพิ่มระดับการศึกษาประชาชนและจากการเน้นวิจัยและพัฒนา (R&D) ซึ่งจะเกิดผลบวก อย่างน้อย 2 ประการ คือ ชนชั้นกลางจีนจะร่ำรวย ฉลาด ใช้จ่ายมากขึ้น และเชี่ยวชาญเทคโนโลยีมากขึ้น และการศึกษาและงานวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ในจีนจะเพิ่มขึ้น แต่ในขณะเดียวกันในฝั่งของกฎระเบียบต่างๆ ทางการจีนจะคุมเข้มขึ้น ทั้งเพื่อคุมฟองสบู่ (โดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์ เหมืองแร่ และบริษัทของรัฐบาลท้องถิ่น) คุมหนี้ประชาชาติของจีนที่เพิ่มขึ้นถึงกว่า 285% ต่อ GDP และคุมบริษัทเทคโนโลยี โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการเงิน (Fintech) ที่มองว่าผูกขาดด้านการทำธุรกิจ ผูกขาดข้อมูล และอาจเป็นความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจและการปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์ ดังนั้นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ Fintech รวมถึงภาคอสังหาริมทรัพย์ เหมืองแร่ และบริษัทของรัฐบาลท้องถิ่นที่ลงทุนเกินตัวและมีประเด็นคอร์รัปชันจะอยู่ยากมากขึ้น
ความเสี่ยงที่ 4 ด้านสงครามเย็นระหว่างสหรัฐและจีน ที่นับวันจะรุนแรงยิ่งขึ้นโดยเฉพาะหลังจากที่สหรัฐสามารถชักจูงชาติมหาอำนาจ G7 และสมาชิก NATO ให้กล่าวหาจีนว่าเป็นความเสี่ยงต่อประชาธิปไตยโลก ขณะที่จีนก็ประกาศว่าพร้อมจะต่อกรกับประเทศใดที่กลั่นแกล้งจีน ทำให้มองว่าในระยะต่อไป สงครามเย็นของทั้ง 2 มหาอำนาจจะรุนแรงขึ้นทั้งทางด้านการค้า ด้านเทคโนโลยี ด้านทุน และด้านความมั่นคง
ความเสี่ยงที่ 5 เศรษฐกิจไทยระยะสั้นหดตัวแรงจากการระบาดรอบใหม่ โดยปัจจัยสำคัญที่จะกระทบต่อเศรษฐกิจไทยใน 1-2 ปีนี้มี 3 ปัจจัย ได้แก่ การกลายพันธุ์ของไวรัส การฉีดวัคซีน และการ Lockdown เป็นหลัก ในประเด็นของไวรัส การระบาดของเชื้อสายพันธุ์ Delta สามารถแพร่พันธุ์ได้อย่างรวดเร็วมากและแข็งแกร่ง ดื้อต่อวัคซีนสูง นอกจากนั้นการได้รับวัคซีนที่ต่ำกว่าประมาณการเดิม ทำให้ ณ สิ้นปี จำนวนผู้ฉีดวัคซีนอย่างน้อย 1 เข็ม จะอยู่ที่ 55-65 ล้านโดส ต่ำกว่าจำนวนประชากรไทยที่ประมาณ 70 ล้านคน โอกาสที่จะ Lockdown ในระดับรุนแรงและยืดเยื้อก็เป็นไปได้สูง ภาพดังกล่าวอาจทำให้เศรษฐกิจในไตรมาสที่ 3 เมื่อเทียบกับปีที่แล้วแทบไม่โตเลย และดึงการขยายตัวไตรมาสที่ 4 ลดลง นอกจากนั้นหากไทยไม่สามารถคุมการระบาดได้ จนเข้าไปใกล้โมเดลการระบาดของสหรัฐช่วงเดือน พ.ย. 2020 ที่จะทำให้การระบาดลากยาวไปถึงเดือน พ.ย. และทำให้เศรษฐกิจทั้งปีหดตัวได้
ความเสี่ยงที่ 6 เศรษฐกิจไทยระยะยาวตกอยู่ในหล่มกับดักรายได้ปานกลาง (Middle Income Trap: MIT) โดยในปัจจุบันเศรษฐกิจไทยก็ตกอยู่ภายใต้ MIT (วัดจากรายได้ต่อหัวที่อยู่ในระดับ 6,000 - 12,000 ดอลลาร์ต่อคนต่อปี) อยู่แล้ว โดยรายได้ต่อหัวของไทยในปี 2020 อยู่ที่ 7,190 ดอลลาร์ต่อปี เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากประมาณ 6 พันดอลลาร์ใน 8 ปี ก่อน ซึ่งต่างจากจีนที่ขึ้นมาอยู่ที่ 10,500 ดอลลาร์ ในปัจจุบัน จากระดับเดียวกับไทยเมื่อ 8 ปีที่แล้ว ในระยะต่อไปการเติบโตของรายได้ต่อหัวของไทยจะลดลงอย่างต่อเนื่อง จากจำนวนประชากรที่เริ่มลดลง ขณะที่รายได้ที่เกิดขึ้นจากผลตอบแทนของสินทรัพย์ทุนก็ลดลงเช่นกัน ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่ไทยไม่สามารถได้ประโยชน์จากการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ได้มากนัก (เห็นได้จากอัตรา 5G Participation rate ยังอยู่ในระดับต่ำมาก) ทำให้เป็นไปได้ที่ศักยภาพเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวลดลงจากระดับปัจจุบันที่ประมาณ 3.3% เหลือ 2.7% ใน 5 ปีข้างหน้าและ 1.7% ใน 15 ปีข้างหน้า
ความเสี่ยงที่ 7 การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 (IR4) และเทคโนโลยี 5G นำมาสู่ความเสี่ยงด้านความมั่นคงไซเบอร์และกฎระเบียบภาครัฐที่รุนแรงขึ้น ในปี 2020 จำนวนผู้เข้าถึงอินเตอร์เนทและเทคโนโลยีได้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด เนื่องจากผู้บริโภคและภาคธุรกิจน้อมรับเทคโนโลยีต่างๆ เร็วขึ้นจาก 5 ปี เหลือประมาณ 8 สัปดาห์ โดยเฉพาะการค้าออนไลน์ (e-commerce) ธุรกรรมแบบไม่ใช้เงินสด (Cashless transaction) การให้คำปรึกษาทางการแพทย์ผ่านอุปกรณ์เทคโนโลยีต่างๆ (Telemedicine) แต่ IR4 ไม่ได้มีเพียงแค่ระบบ Social Network และ Mobile Platform ที่เป็นระบบนิเวศหลักของ e-commerce และ Fintech ต่างๆ เท่านั้น ยังประกอบด้วยเทคโนโลยีอื่นๆ อีก เช่น AI, Cloud Computing, 3D Printing, Internet of Things และ Virtual Reality ด้วย ซึ่งการพัฒนาเทคโนโลยีเหล่านี้ก็ทำให้การทำงานและการใช้ชีวิตของผู้คนง่าย สะดวก และมีประสิทธิภาพขึ้น อย่างไรก็ตามเทคโนโลยีต่างๆ เปรียบเหมือนดาบสองคม เพราะนอกจากมีประโยชน์และยังนำมาซึ่งความเสี่ยงด้วย ไม่ว่าจะเป็นประเด็นความปลอดภัยทางไซเบอร์ ประเด็นความปลอดภัยด้านข้อมูล รวมถึงการหลอกลวงต่างๆ โดยอาชญกรรมต่างๆ ทำได้ง่ายขึ้นเมื่อธุรกรรมและฐานข้อมูลต่างๆ ถูกนำขึ้นมาอยู่ในระบบไซเบอร์ เช่น การเข้าโจมตีไซเบอร์และเรียกค่าไถ่ท่อส่งน้ำมัน Colonial pipeline ในสหรัฐในหลายเดือนก่อน หรือแม้กระทั่งการปิดตัวลงอย่างกะทันหันของตลาดแลกเปลี่ยน Cryptocurrency สำคัญๆ หลายแห่งในช่วงที่ผ่านมา
ความเสี่ยงที่ 8 ความเสี่ยงที่คาดไม่ถึง ในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา โลกเผชิญกับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงและคาดไม่ถึงอย่างใหญ่หลวง ทั้งการเสื่อมถอยของระบบโลกาภิวัฒน์ การกลับมาของสงครามเย็น การระบาดของโรคร้ายแรงสายพันธุ์ใหม่ วิกฤตเศรษฐกิจโลกที่รุนแรงที่สุดในรอบกว่า 100 ปี เป็นต้น
ด้วยภาพเหล่านี้ทำให้ต้องเตรียมพร้อมรับมือต่อวิกฤตอื่นๆ ที่อาจเข้ามาภายใน 5 ปีข้างหน้า ไม่ว่าจะเป็นอากาศที่แปรปรวนสุดขั้วอันเป็นผลจากภาวะโลกร้อน อุบัติเหตุการกระทบกระทั่งกันของมหาอำนาจอันอาจนำไปสู่สงครามครั้งใหม่ การระบาดของโรคใหม่ รวมถึงความเสี่ยงจากอวกาศนอกโลก เป็นต้น ซึ่งความเสี่ยงต่างๆ ดังที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้นเป็นสิ่งที่ต้องติดตามเพราะเป็นความผันผวนที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ดังนั้นถ้ามีการเตรียมการรับมือไว้แล้วก็จะช่วยทำให้สามารถผ่านพ้นวิกฤติที่จะเกิดขึ้นตามมาได้เป็นอย่างดีนั่นเอง
กลุ่มวางแผนกลยุทธ์และงบประมาณ
ฝ่ายยุทธศาสตร์และวางแผนธุรกิจองค์กร
*แหล่งที่มาของข้อมูล : ดร.บัณฑิต นิจถาวร ประธานมูลนิธินโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล