หน้าหลัก > บทความเศรษฐกิจ > บทความวิเคราะห์รายงานทางเศรษฐกิจ (ประจำเดือนกรกฎาคม 2564)

บทความวิเคราะห์รายงานทางเศรษฐกิจ (ประจำเดือนกรกฎาคม 2564)

          ข้อมูลเดือนพฤษภาคม 2564 จากตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน จะเห็นว่าดัชนีราคาผู้บริโภคมีค่าลดลง เพราะราคาน้ำมันเริ่มมีทิศทางที่ปรับตัวลดลง ในขณะที่ราคาสินค้าจำพวกอาหารสดก็มีทิศทางที่ลดลงตามผลผลิตที่ออกมามากขึ้น จึงส่งผลทำให้ราคามีทิศทางที่ปรับตัวน้อยลงมาในเดือนนี้ ส่วนภาคการผลิตมีการขยายตัวขึ้นมา เนื่องจากแนวโน้มเศรษฐกิจของต่างประเทศเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้นส่งผลให้การส่งออกปรับตัวไปในทิศทางที่ดี ทำให้ผู้ผลิตได้เร่งการผลิตสินค้าตามความต้องการที่มีมากขึ้น ส่งผลให้ในเดือนนี้มีการผลิตสินค้ามีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมาได้ ในขณะเดียวกันดุลการค้าปรับตัวเพิ่มขึ้นและยังมีทิศทางที่เป็นบวกอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการนำเข้ายังมีค่าที่ไม่สูงมากเท่าไรนัก จึงทำให้ไม่น่าเป็นห่วง อย่างไรก็ตามภาวะการเงินยังทรงตัวไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลง โดยปริมาณเงินฝากและเงินให้สินเชื่อมีค่ามากขึ้น เนื่องจากประชาชนได้เริ่มมีการออมเพิ่มขึ้น เพราะการลงทุนค่อนข้างมีความผันผวน จึงส่งผลให้การออมเงินมีการขยายตัวขึ้นมา ในขณะที่การปล่อยสินเชื่อมีค่าสูงขึ้น เนื่องจากธนาคารได้มีการปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการไปช่วยในการเพิ่มเสริมสภาพคล่อง จึงส่งผลให้การปล่อยสินเชื่อมีการปรับตัวที่เพิ่มขึ้นมาได้ แต่ก็ยังคงมีความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาหนี้เสียตามมาอีกด้วย

ตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน

เดือน / รายละเอียด

กุมภาพันธ์ 64

มีนาคม 64

เมษายน 64

พฤษภาคม 64

ดัชนีราคาผู้บริโภค

98.88

99.11

100.48

99.55

ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม

99.26

109.37

90.54

100.06

อัตราการใช้กำลังการผลิต

65.06

70.65

59.94

65.38

ดุลการค้า

2,136.61

3,358.37

2,429.15

3,377.81

ดุลบัญชีเดินสะพัด

-1,347.26

-1,168.17

-1,297.63

-2,624.04

เงินฝาก

15,738.10

15,819.62

16,030.09

n.a.

เงินให้สินเชื่อ

17,161.84

17,373.84

17,451.59

n.a.

ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย

หมายเหตุ    ดัชนีราคาผู้บริโภค มีปีฐานคือ 2562               เงินฝาก/เงินให้สินเชื่อ มีหน่วยเป็น พันล้านบาท

                อัตราการใช้กำลังการผลิต มีหน่วยเป็น ร้อยละ   ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม มีปีฐานคือ 2559

                ดุลการค้า ดุลบัญชีเดินสะพัด มีหน่วยเป็น ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา

ภาวะอสังหาริมทรัพย์ เดือนพฤษภาคม 2564

  • ด้านอุปทาน
        - ที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เปรียบเทียบ ณ พ.ค. 63 กับ 64 มีรายละเอียดดังนี้

ปี

จำนวน (ยูนิต)

การเติบโต (%)

ณ พ.ค. 63

43,907

-1.95%

ณ พ.ค. 64

33,403

-23.92%

ที่มา : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์

    - ประเภทที่อยู่อาศัยที่มีการจดทะเบียน ณ พ.ค. 64 เรียงตามลำดับมีรายละเอียดดังนี้

ประเภท

จำนวน (ยูนิต)

สัดส่วน (%)

อาคารชุด

15,593

46.68

บ้านเดี่ยว

12,520

37.48

ทาวน์เฮ้าส์

3,282

9.83

บ้านแฝด

1,149

3.44

อาคารพาณิชย์

859

2.57

รวม

33,403

100.00

ที่มา : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์

  • ด้านอุปสงค์
        - การโอนกรรมสิทธิ์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เปรียบเทียบ ณ พ.ค. 63 กับ 64 มีรายละเอียดดังนี้

ปี

จำนวน (ยูนิต)

การเติบโต (%)

ณ พ.ค. 63

68,627

-9.44%

ณ พ.ค. 64

62,481

-8.96%

ที่มา : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์

    - ประเภทที่อยู่อาศัยที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ ณ พ.ค. 64 เรียงตามลำดับมีรายละเอียดดังนี้

ประเภท

จำนวน (ยูนิต)

สัดส่วน (%)

อาคารชุด

26,791

42.88

ทาวน์เฮ้าส์

19,463

31.15

บ้านเดี่ยว

10,360

16.58

บ้านแฝด

3,038

4.86

อาคารพาณิชย์

2,829

4.53

รวม

62,481

100.00

ที่มา : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์

  • อัตราดอกเบี้ยที่อยู่อาศัยบุคคลทั่วไปลอยตัวเฉลี่ยของ 6 ธนาคารใหญ่ มีรายละเอียดดังนี้

ปี 64

อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย

6 ธนาคาร

อัตราดอกเบี้ย

นโยบาย ธปท.

มกราคม

5.38

0.50

กุมภาพันธ์-เมษายน

5.34

0.50

พฤษภาคม

5.42

0.50

ที่มา : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์

หมายเหตุ : 6 ธนาคาร ประกอบด้วย ธ.อาคารสงเคราะห์, ธ.กสิกรไทย, ธ.กรุงเทพ, ธ.กรุงศรีอยุธยา, ธ.กรุงไทย และ ธ.ไทยพาณิชย์

สรุปภาพรวมภาวะอสังหาริมทรัพย์เดือนพฤษภาคม 2564

          ภาพรวมของอุปทานมีการปรับตัวลดลง 23.92% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังเป็นไปได้อย่างช้าๆ ท่ามกลางความผันผวนที่ยังมีอยู่มาก อีกทั้งการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่กลับมาระลอกใหม่และยังมีแนวโน้มว่าจะลดลง จึงทำให้ผู้ประกอบการชะลอการพัฒนาโครงการออกมา เพื่อรอดูสถานการณ์ให้มีความชัดเจนมากขึ้น ส่งผลให้อุปทานในตลาดมีทิศทางที่หดตัวลงมา ในขณะเดียวกันทางด้านอุปสงค์ก็มีทิศทางที่ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 8.96% เพราะกำลังซื้อของผู้บริโภคยมีแนวโน้มชะลอตัวอยู่ต่อไป ประกอบกับการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินยังมีความเข้มงวด เนื่องจากทิศทางของหนี้ด้อยคุณภาพมีการปรับตัวสูงขึ้น ทั้งนี้ที่อยู่อาศัยประเภทอาคารชุดยังมียอดการโอนกรรมสิทธิ์มากที่สุด รองลงมาคือ ทาวน์เฮ้าส์ และบ้านเดี่ยว ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่อยู่อาศัยปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ 5.42 % แต่อัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยยังทรงตัวอยู่ที่ 0.50% ตามลำดับ

วิเคราะห์แนวนโยบายทางการเงินของสหรัฐฯ กับทิศทางค่าเงินบาท*

ที่มาของภาพ :  https://bangkokjack.com/wp-content/uploads/2019/06/dollar-baht.jpg

          ในช่วงที่ผ่านมาเงินบาทไทยถือว่ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากมีการปรับตัวอ่อนค่าเพิ่มขึ้นจนแตะระดับ 32 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นการอ่อนค่าสูงที่สุดนับตั้งแต่ช่วงเดือน พ.ค. ปี 2563 ที่ผ่านมา การอ่อนค่าของเงินบาทในครั้งนี้ มีปัจจัยสำคัญมาจากทิศทางการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าเพิ่มขึ้นภายหลังจากการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ ช่วงกลางเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอาจเปลี่ยนแปลงแนวโน้มทิศทางสกุลเงินดอลลาร์ในระยะยาว และอาจมีผลกับทิศทางค่าเงินบาทไทยอย่างมีนัยสำคัญได้ในอนาคต 

          หากพิจารณาทิศทางค่าเงินบาทไทยในปี 2564 นี้ จะพบว่าเกิดการอ่อนค่าเพิ่มขึ้นครั้งแรกช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลมาจากการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ โดยมีสาเหตุมาจากการปรับเพิ่มขึ้นของผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกาอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เกิดการเทขายสินทรัพย์หลายประเภท และเพิ่มการถือครองเงินดอลลาร์ แต่ภายหลังจากนั้น แม้สกุลเงินดอลลาร์จะปรับตัวอ่อนค่าลง แต่ประเทศไทยก็เผชิญกับปัจจัยสำคัญภายในประเทศต่อเนื่อง จากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมาส่งผลให้ค่าเงินบาทยังทรงตัวในระดับอ่อนค่าที่ 31 บาทต่อดอลลาร์เช่นเดิม 

          ผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาในช่วงกลางเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญต่อทิศทางสกุลเงินดอลลาร์และค่าเงินบาท เนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาประกาศถึงแนวทางการดำเนินนโยบายการเงินที่ตึงตัวมากขึ้นในอนาคต ทั้งนี้ในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจที่เป็นผลจากการระบาดของโรคโควิด-19 ในปี 2563  ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาได้มีการดำเนินนโยบายผ่อนคลาย ทั้งการลดอัตราดอกเบี้ย และการเข้าซื้อสินทรัพย์ปริมาณมาก เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้แก่ระบบการเงิน ผลลัพธ์สำคัญที่เกิดขึ้นคือ ปริมาณเงินดอลลาร์ในระบบมีการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น จนส่งผลให้สกุลเงินดอลลาร์มีทิศทางอ่อนค่ามาโดยตลอดในช่วงปี 2563 

          อย่างไรก็ตามสัญญาณเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาที่มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง เป็นผลมาจากการเติบโตของธุรกิจภาคบริการที่มีโอกาสเติบโตภายหลังจากการผ่อนคลายมาตรการเว้นระยะห่างในหลายรัฐ ประกอบกับเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาได้รับการกระตุ้นเพิ่มเติมจากนโยบายการคลังขนาดใหญ่ ที่ได้มีการดำเนินการแจกจ่ายเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ และวางแผนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทำให้เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกามีแนวโน้มการฟื้นตัวที่ดี 

          จากการประชุมเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกามีทิศทางการดำเนินนโยบายที่ตึงตัวมากขึ้นในอนาคต โดยแสดงผ่านการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot plot) ที่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วขึ้นในปี 2566 ซึ่งเร็วกว่าที่เคยมีการคาดการณ์ไว้เมื่อเดือนมีนาคม 2564 ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาเริ่มพูดคุยถึงแผนลดการเข้าซื้อสินทรัพย์ (QE Tapering) ในอนาคต ถือเป็นแนวทางการสื่อสารที่แตกต่างจากธนาคารกลางยุโรปและญี่ปุ่นที่ยังไม่ลดสภาพคล่องผ่านการลดการเข้าซื้อสินทรัพย์ 

          ผลจากแนวทางการดำเนินนโยบายทางการเงินที่ตึงตัวขึ้นเช่นนี้ ส่งผลให้ตลาดมีความคาดหวังต่อเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาและสกุลเงินดอลลาร์เพิ่มมากขึ้น ทำให้มีการเข้าถือครองเงินดอลลาร์เพิ่มมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้สกุลเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ส่วนสกุลเงินเอเชีย และสกุลเงินไทย มีการปรับตัวอ่อนค่าเพิ่มขึ้น 

          ผลกระทบต่อค่าเงินบาทไทยที่เกิดขึ้นจากแนวทางการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาในช่วงที่ผ่านมา เป็นจุดเริ่มต้นของแนวโน้มการอ่อนค่าของเงินบาทไทยในระยะยาว เนื่องจากในอดีตการดำเนินนโยบายทางการเงินที่ตึงตัวของสหรัฐอเมริกาในช่วงปี 2556 ถึงปี 2558 ได้ส่งผลให้ค่าเงินบาทไทยอ่อนค่าจากระดับ 29 บาทต่อดอลลาร์ ไปจนถึงระดับ 36 บาทต่อดอลลาร์ ภายในระยะเวลาเพียงสองปี 

          โดยในช่วงกลางปี 2556 Ben Bernanke ประธานธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาในสมัยนั้นได้ประกาศแผนลดการเข้าซื้อสินทรัพย์ (QE Tapering) ต่อสภาคองเกรส หลังจากนั้นเป็นต้นมาค่าเงินบาทและสกุลเงินต่างๆ ในเอเชียอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลารวมกว่า 2 ปี โดยค่าเงินบาทอ่อนตัวลงทันที 5.4% ในระยะเวลา 6  เดือนแรก จาก 30.38 เป็น 32.68 บาทต่อดอลลาร์ และอ่อนค่าลงต่อเนื่องถึงจุดสูงสุดที่ 36.37 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงกลางปี 2558 ซึ่งเป็นผลจากการส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาก่อนที่จะตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ย ณ ปลายปีเดียวกัน โดยสกุลเงินที่ได้รับผลกระทบมากในช่วงเวลาดังกล่าวคือ เยน และรูเปียห์ อ่อนค่าลงถึง 20.7% และ 29.8% ในระยะเวลา 2 ปี ตามลำดับ

          โดยสรุปจะเห็นได้ว่าการอ่อนค่าของเงินบาทไทยในช่วงนี้ เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการอ่อนค่าในอนาคตอีก 1-2 ปีข้างหน้า เพราะอาจเป็นอีกครั้งที่การเปลี่ยนแปลงนโยบายทางการเงินของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาจะส่งผลกระทบให้สกุลเงินเอเชียและค่าเงินบาทไทยมีทิศทางอ่อนค่าลงดังที่เคยเกิดขึ้นในอดีที่ผ่านมาแล้วนั่นเอง

วิเคราะห์แนวทางการวัดอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ

          ข่าวคราวอัตราเงินเฟ้อสหรัฐอเมริกาเป็นที่สนใจของหลายๆ ฝ่ายที่ติดตามว่าเฟดจะดำเนินนโยบายอย่างไรต่อไป ทั้งนี้การประชุมคณะกรรมการธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาหรือเฟดเมื่อวันที่ 16 มิถุนายนนั้น ได้เริ่มมีความเห็นว่าอาจจะขึ้นดอกเบี้ยในช่วงปลายปี 2023 เลย ดังนั้นจะขอกล่าวถึงการคำนวณอัตราเงินเฟ้อของเฟดว่าวิธีที่ได้รับความนิยมมีอะไรบ้าง และแตกต่างกันอย่างไร

           วิธีการคิดอัตราเงินเฟ้อที่ได้รับความนิยมมีอยู่ 2 วิธี ได้แก่

           - วิธี Consumer Price Index (CPI)

           - วิธี Personal Consumption Expenditure (PCE) 

          โดยวิธี CPI  ซึ่งจัดทำโดย Bureau of Labor Statistics (BLS) จะทำการวัดระดับราคาที่เปลี่ยนแปลงไป จากการเช็คหรือตรวจสอบต้นทุนค่าครองชีพ หรือ Cost of Living ที่ออกจากกระเป๋าของคนอเมริกันโดยเฉลี่ย ส่วนวิธี PCE ซึ่งจัดทำโดย Bureau of of Economic Analysis (BEA) จะทำการวัดระดับราคาที่เปลี่ยนแปลงไป จากการเช็คหรือตรวจสอบราคาของสินค้าและบริการทุกอย่างที่บริโภคโดยภาคครัวเรือน ไม่ว่าใบเสร็จดังกล่าว จะถูกจ่ายโดยใครก็ตาม หรือไม่ว่าจะมีใบเสร็จรับเงินหรือไม่ก็ตามที

           ทั้งนี้คาดกันว่าในช่วงปลายปีนี้ ตัวเลขอัตราเงินเฟ้อที่วัดโดยวิธี CPI น่าจะสูงกว่าที่วัดโดยวิธี PCE ประมาณร้อยละ 1 จากการประเมินระดับอัตราเงินเฟ้อที่แตกต่างระหว่าง 2 วิธีดังกล่าว จากสินค้าในหมวดที่อยู่อาศัย รถมือสองกับรถบรรทุก และประกันสุขภาพ หากพิจารณาให้ละเอียดลงไป จะพบว่าการคำนวณอัตราเงินเฟ้อด้วยวิธี CPI ให้น้ำหนักที่น้อยกว่าต่อระดับราคาของกิจกรรมอย่างการไปหาหมอ ไปโรงพยาบาล และไปซื้อยาตามร้านขายยา เนื่องจากชาวอเมริกันสามารถดำเนินกิจกรรมเหล่านี้ โดยที่ไม่ต้องควักเงินจากกระเป๋าของตนเอง โดยประกันของนายจ้างและรัฐบาลเป็นผู้จ่ายให้ อย่างไรก็ดีตามวิธี PCE นั้น บริการประกันสุขภาพและไปซื้อยาตามร้านขายยา มีน้ำหนักต่อการคำนวณอัตราเงินเฟ้อประมาณร้อยละ 20 ของทั้งหมดในการวิเคราะห์ด้วยวิธี PCE นอกจากนี้การคำนวณอัตราเงินเฟ้อด้วยวิธี CPI ยังให้น้ำหนักที่น้อยกว่าเล็กน้อยต่อบริการทางการเงิน เนื่องจากไม่ได้คิดค่าบริการที่แฝงอยู่ในผลิตภัณฑ์ทางการเงิน ในขณะที่วิธีการคิดเงินเฟ้อแบบ PCE คำนวณต้นทุนแฝงดังกล่าว อาทิ ผ่านการปล่อยเงินสดแช่ไว้ในบัญชีโดยไม่มีการจ่ายอัตราดอกเบี้ย

          ในทางกลับกันวิธี CPI ให้น้ำหนักที่มากกว่าต่อสินค้าในหมวดที่อยู่อาศัย สาธารณูปโภค และน้ำมันสำเร็จรูป ในสัดส่วนที่มากกว่าวิธีการคิดเงินเฟ้อแบบ PCE นอกจากนี้ CPI  ยังให้น้ำหนักที่มากกว่าต่อการประกันด้านที่อยู่อาศัยและประกันรถยนต์มากกว่าวิธี PCE เนื่องจากใช้ในส่วนพรีเมี่ยมของประกัน ไม่ใช่คิดจากมูลค่าที่บริษัทประกันจ่ายเมื่อได้รับความเสียหายที่ใช้ในการคำนวณอัตราเงินเฟ้อแบบ CPI นอกจากนี้วิธี CPI ไม่ได้รวมประกันชีวิตในการคำนวณอัตราเงินเฟ้อ เนื่องจากมองว่าเป็นผลิตภัณฑ์ทางการลงทุนไม่ใช่เข้าข่ายหมวดบริการ

 ​​​​​​​          ที่สำคัญ วิธี CPI ให้น้ำหนักต่อหมวดรถมือสองและรถบรรทุกมากกว่าวิธี PCE เนื่องจากวิธี CPI ไม่ได้พิจารณาถึงราคาที่สูงขึ้นของรถมือสองที่ผู้บริโภคจะได้รับเงินเพิ่มเติมเมื่อขายให้กับดีลเลอร์ นอกจากนี้ PCE จะคำนวณเงินเฟ้อในบัญชีเช็คกิ้งจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย ส่วน CPI ใช้ค่า Fee ในการคำนวณ ในส่วนของ CPI วัดจากการเปลี่ยนแปลงของราคาสำหรับเส้นทางการบินในเวลาที่แตกต่างกัน ส่วน PCE วัดโดยใช้การเปลี่ยนแปลงของค่าเฉลี่ยของรายได้ต่อผู้โดยสารต่อไมล์ที่เดินทาง

           สำหรับจุดที่แตกต่างกันมากที่สุดสำหรับวิธีทั้งสอง มาจากการวัดราคาของการประกันสุขภาพ โดย CPI วัดจากจำนวนเงินที่ผู้บริโภคจ่ายตรงให้กับบริษัทประกัน ส่วน PCE วัดจากรายได้รวมที่ทางประกันได้รับ ในลักษณะเดียวกันค่าประกันสุขภาพสำหรับวิธี PCE ใช้การจ่ายพรีเมี่ยมแบบสุทธิหักด้วยมูลค่าการบริการที่ได้รับ ส่วนวิธี CPI วัดจากการพิจารณากำไรสุทธิหลังหักเงินปันผลของบริษัทประกัน

 ​​​​​​​          ความแตกต่างทั้งหมดดังกล่าว ส่งผลกระทบเป็นอย่างมากต่อการวัดอัตราเงินเฟ้อในช่วงโควิด เริ่มจาก เดือนมกราคม 2020 ก่อนเหตุการณ์โควิดเล็กน้อย อัตราเงินเฟ้อแบบ CPI อยู่ที่ร้อยละ 2.3 ต่อปี ในขณะที่แบบ PCE อยู่ที่ร้อยละ 1.5 จากนั้นในเดือนกุมภาพันธ์ 2020 อัตราเงินเฟ้อแบบ CPI อยู่ที่ร้อยละ 1.3 ต่อปี ในขณะที่แบบ PCE อยู่ที่ร้อยละ 1.4 แม้ว่าตามวิธี CPI ดูเหมือนว่าอัตราเงินเฟ้อชะลอลงมาก ทว่าวิธีที่ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาใช้มากกว่า คือ วิธี PCE ทั้งนี้การคำนวณแบบ CPI ให้อัตราเงินเฟ้อที่ลดลงไม่มาก เมื่อเทียบกับวิธี PCE เนื่องจาก

          - วิธี CPI ใช้ภาคที่อยู่อาศัยซึ่งโดนผลกระทบมากในการคำนวณเงินเฟ้อ

          - CPI ใช้วิธีการวัดเงินเฟ้อในภาคประกันภัยจากอัตราส่วนกำไรสุทธิที่ลดลงมาก

          - สำหรับวิธี PCE เงินเฟ้อที่วัดไม่กระทบมากในภาคประกันสุขภาพ เนื่องจากใช้เม็ดเงินการช่วยเหลือจากภาครัฐในการคำนวณด้วย 

          โดยเมื่อปี 2020 การที่อัตราเงินเฟ้อซึ่งวัดโดย CPI ลดลงมาแบบค่อนข้างผันผวนมากกว่าเงินเฟ้อโดย PCE น่าจะทำให้ในปีนี้ อัตราเงินเฟ้อแบบที่วัดโดย CPI น่าจะขึ้นมาแบบผันผวนมากกว่าที่วัดแบบ PCE เช่นกัน ซึ่งน่าจะส่งผลให้เฟดกังวลต่ออัตราเงินเฟ้อน้อยกว่าคาดเล็กน้อย เนื่องจากชอบใช้วิธี PCE เป็นหลักมากกว่า จึงทำให้การเปลี่ยนแปลงแนวนโยบายทางการเงินของเฟดไม่น่าที่จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเท่าไรนัก ทำให้น่าจะส่งผลดีต่อตลาดการเงินที่จะช่วยทำให้ลดความผันผวนที่จะเกิดขึ้นได้จากแนวนโยบายทางการเงินของสหรัฐอเมริกาได้เป็นอย่างดีอีกด้วย 

กลุ่มวางแผนกลยุทธ์และงบประมาณ

ฝ่ายยุทธศาสตร์และวางแผนธุรกิจองค์กร

แหล่งที่มาของข้อมูล : นริศ สถาผลเดชา หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหาร ttb analytics

บทความเศรษฐกิจ

วันที่ 23 กรกฎาคม 2564

1307 Views

BAM Mobile Application

ค้นหาทรัพย์ง่ายๆ เพียงปลายนิ้วสัมผัส

บริการฝากขาย
อสังหาฯ
ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย