เกี่ยวกับเรา
BAM ประกอบธุรกิจด้านการบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ โดยมีส่วนช่วยเหลือลูกหนี้และแก้ไขปัญหาสถาบันการเงิน เพิ่มเติม
ทรัพย์
อื่นๆ
ติดต่อเรา
0-2630-0700
0-2266-3377
99 ถนนสุรศักดิ์ แขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพฯ 10500
หน้าหลัก > บทความเศรษฐกิจ > บทความวิเคราะห์รายงานทางเศรษฐกิจ (ประจำเดือนเมษายน 2564)
ข้อมูลเดือนกุมภาพันธ์ 2564 จากตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน จะเห็นว่าดัชนีราคาผู้บริโภคมีค่าลดลง เพราะราคาน้ำมันกลับมามีทิศทางที่ปรับตัวลดลงไป ในขณะที่ราคาสินค้าจำพวกอาหารสดก็มีทิศทางที่ค่อนข้างทรงตัว จึงส่งผลทำให้ราคามีทิศทางที่ปรับตัวน้อยลงมาในเดือนนี้ ส่วนภาคการผลิตมีแนวโน้มในการ หดตัวลง เนื่องจากผลกระทบจากโควิด-19 ที่ยังมีแนวโน้มค่อนข้างผันผวนอยู่ ทำให้ในเดือนนี้คำสั่งซื้อมีการปรับตัวได้น้อยลงตามภาวะของเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้ในเดือนนี้มีการผลิตสินค้าที่น้อยลงมา ในขณะเดียวกันดุลการค้าปรับตัวเพิ่มขึ้นและยังมีทิศทางที่เป็นบวกอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการนำเข้ายังมีค่าที่ไม่สูงมากเท่าไรนัก จึงทำให้ไม่น่าเป็นห่วง อย่างไรก็ตามภาวะการเงินยังทรงตัวไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลง โดยปริมาณเงินฝากมีค่าลดลงแต่เงินให้สินเชื่อมีค่ามากขึ้น เนื่องจากประชาชนได้เริ่มมีการออมลดลง เพราะการลงทุนยังเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น จึงส่งผลให้การออมเงินมีการหดตัวลงมา ในขณะที่การปล่อยสินเชื่อมีค่าสูงขึ้น เนื่องจากธนาคารได้มีการปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการไปช่วยในการเพิ่มเสริมสภาพคล่อง จึงส่งผลให้การปล่อยสินเชื่อมีการปรับตัวที่เพิ่มขึ้นมาได้ แต่ก็ยังคงมีความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาหนี้เสียตามมาอีกด้วย
ตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน
รายละเอียด |
พฤศจิกายน 63 | ธันวาคม 63 | มกราคม 64 | กุมภาพันธ์ 64 |
ดัชนีราคาผู้บริโภค | 102.19 | 102.34 | 99.79 | 98.88 |
ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม | 98.11 | 96.33 | 101.34 | 99.48 |
อัตราการใช้กำลังการผลิต | 65.43 | 63.77 | 66.41 | 65.08 |
ดุลการค้า | 1,903.40 | 2,834.49 | 1,893.71 | 2,136.61 |
ดุลบัญชีเดินสะพัด | -1,475.99 | -692.58 | -673.34 | -1,071.44 |
เงินฝาก | 15,627.31 | 15,721.73 | 15,715.25 | n.a. |
เงินให้สินเชื่อ | 16,659.40 | 16,810.96 | 17,019.02 | n.a. |
- ที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เปรียบเทียบ ณ ก.พ. 63 กับ 64 มีรายละเอียดดังนี้
ปี |
จำนวน(ยูนิต) |
การเติบโต(%) |
ณ ก.พ. 63 |
22,291 |
15.74% |
ณ ก.พ. 64 |
12,272 |
-44.95% |
ประเภท |
จำนวน(ยูนิต) |
สัดส่วน(%) |
บ้านเดี่ยว |
5,990 |
48.81 |
อาคารชุด |
4,166 |
33.95 |
ทาวน์เฮ้าส์ |
1,275 |
10.39 |
บ้านแฝด |
471 |
3.84 |
อาคารพาณิชย์ |
370 |
3.01 |
รวม |
12,272 |
100.00 |
ปี |
จำนวน(ยูนิต) |
การเติบโต(%) |
ณ ก.พ. 63 |
25,981 |
0.42 % |
ณ ก.พ. 64 |
20,522 |
21.01 % |
ประเภท |
จำนวน(ยูนิต) |
สัดส่วน(%) |
อาคารชุด |
9,075 |
44.22 |
ทาวน์เฮ้าส์ |
6,142 |
29.93 |
บ้านเดี่ยว |
3,476 |
16.94 |
อาคารพาณิชย์ |
935 |
4.56 |
บ้านแฝด |
894 |
4.35 |
รวม |
20,522 |
100.00 |
ปี 64 |
อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย |
อัตราดอกเบี้ยนโยบาย ธปท. |
มกราคม |
5.38 |
0.50 |
กุมภาพันธ์ | 5.34 | 0.50 |
ที่มา : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
หมายเหตุ : 6 ธนาคาร ประกอบด้วย ธ.อาคารสงเคราะห์, ธ.กสิกรไทย, ธ.กรุงเทพ, ธ.กรุงศรีอยุธยา, ธ.กรุงไทย และ ธ.ไทยพาณิชย์
ภาพรวมของอุปทานมีการปรับตัวลดลง 44.95% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังเป็นไปได้อย่างช้าๆ ท่ามกลางความผันผวนที่ยังมีอยู่มาก อีกทั้งการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่กลับมาระลอกใหม่ จึงทำให้ผู้ประกอบการชะลอการพัฒนาโครงการออกมา เพื่อรอดูสถานการณ์ให้มีความชัดเจนมากขึ้น ส่งผลให้อุปทานในตลาดมีทิศทางที่หดตัวลงมา ในขณะเดียวกันทางด้านอุปสงค์ก็มีทิศทางที่ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 21.01% เพราะกำลังซื้อของผู้บริโภคยมีแนวโน้มชะลอตัวอยู่ต่อไป ประกอบกับการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินยังมีความเข้มงวด เนื่องจากทิศทางของหนี้ด้อยคุณภาพมีการปรับตัวสูงขึ้น ทั้งนี้ที่อยู่อาศัยประเภทอาคารชุดยังมียอดการโอนกรรมสิทธิ์มากที่สุด รองลงมาคือ ทาวน์เฮ้าส์ และบ้านเดี่ยว ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่อยู่อาศัยปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 5.34% แต่อัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยทรงตัวอยู่ที่ 0.50% ตามลำดับ
ที่มาของภาพ : https://www.polyestertime.com/wp-content/uploads/2019/05/Global-economy-07-05-2019-min.jpg
ความเสี่ยงของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกคราวนี้เพราะดูตลาดการเงินจะเริ่มห่วงภาวะฟองสบู่ในตลาดหุ้นและความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางสหรัฐอาจปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นเร็วกว่าควร ซึ่งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกคงจะเริ่มในประเทศกลุ่มแรกเป็นสำคัญ คือ กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการฉีดวัคซีนก่อนและฉีดให้ประชากรได้ในจำนวนที่มาก ส่วนปัจจัยขับเคลื่อนการฟื้นตัวคงจะมี 4 ปัจจัย คือ
นี่คือปัจจัยที่จะขับเคลื่อนการฟื้นตัว ซึ่งแต่ละปัจจัยจะให้ผลต่อการฟื้นตัวแตกต่างกัน เช่น มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ ที่จะเป็นเงินโอนให้พลเมืองสหรัฐเป็นหลัก ทำให้คนกลุ่มล่างที่เดือดร้อนจะมีรายได้ที่จะใช้จ่าย อย่างไรก็ตามคนกลุ่มนี้ตอนนี้ลำบากและมีหนี้ที่ค้างชำระอยู่มาก จึงมีการประเมินว่า 1 ใน 3 ของเงินส่วนนี้คงจะเป็นเงินที่ถูกนำไปใช้จ่ายจริง ที่เหลือ 2 ใน 3 คงจะเป็นเงินที่นำไปชำระหนี้ซึ่งก็จะเป็นประโยชน์ต่อสถาบันการเงิน
สำหรับเงินออมที่สะสมไว้รอการใช้จ่าย มีการวิเคราะห์ว่าเงินออมส่วนใหญ่อยู่ในมือคนชั้นกลางและผู้ที่มีรายได้ช่วงโควิดระบาดและยังไม่ได้ใช้จ่าย ซึ่งคนกลุ่มนี้มีอัตราส่วนของการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคต่อรายได้ค่อนข้างต่ำ ดังนั้นการใช้จ่ายในลักษณะ pent-up demand หรือที่รอใช้จ่ายคงมีแน่นอน แต่คงไม่ใช่ทั้งหมดของเงินที่ออมไว้ ส่วนที่ไม่ใช้จ่ายคงเก็บออมต่อไปในรูปการณ์ลงทุนในตลาดการเงิน ส่วนเงินทุนไหลเข้าจากประเทศตลาดเกิดใหม่ก็จะเป็นเม็ดเงินที่จะถูกนำไปลงทุนในตลาดการเงินเป็นสำคัญ เพราะบริหารโดยนักลงทุนสถาบัน ไม่มีผลต่อการบริโภคโดยตรง แต่จะมีผลทางอ้อมจากความมั่งคั่งของนักลงทุนที่จะเพิ่มมากขึ้น
ทั้งหมดชี้ว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจากเม็ดเงินเหล่านี้จะเป็นการฟื้นตัวที่นำโดยการบริโภคและการลงทุนในตลาดการเงินเป็นสำคัญ โดยการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจะพุ่งแรงในช่วงแรกจากผลของการบริโภคที่รอใช้จ่าย (pent-up demand) และแรงสนับสนุนการบริโภคที่มาจากการปรับตัวสูงขึ้นของราคาสินทรัพย์ จากนั้นการฟื้นตัวคงจะกลับสู่ระดับที่เป็นปกติตามการขยายตัวของรายได้ที่จะเกิดขึ้นตามมา จากการผลิตและการจ้างงานที่จะขยายตัวตอบรับการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ในแง่การกระจายการฟื้นตัวคงจะเป็นรูปตัว K คือ รายได้ของคนส่วนบนที่ได้ประโยชน์จากการมีงานประจำทำและมีสินทรัพย์จะขยายตัวมากกว่ารายได้คนส่วนล่าง ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ที่ไม่มีสินทรัพย์และมีรายได้หลักจากการได้ทำงานและเงินช่วยเหลือของรัฐ สร้างความเหลื่อมล้ำของรายได้ให้มีมากขึ้น
สำหรับประเด็นความเสี่ยงที่ต้องตามดูจะมี 3 เรื่อง ประกอบไปด้วย
แนวโน้มดังกล่าวทำให้นโยบายการเงินการคลังในสหรัฐต้องพร้อมปรับตัวหลังเศรษฐกิจฟื้นตัว เพื่อไม่ให้แรงกระตุ้นเศรษฐกิจจากนโยบายมีมากเกินไปจนบิดเบือนการจัดสรรทรัพยากรและสร้างความเสี่ยงต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจ ทั้งนี้มี 3 เรื่องที่ผู้นำนโยบายจะต้องเตรียมปรับตัวหลังเศรษฐกิจฟื้นตัว ได้แก่
โดยสรุปจะเห็นได้ว่าจะน่าเสียดายมากถ้าการฟื้นตัวคราวนี้เป็นการฟื้นตัวจากการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคทั้งหมด โดยเศรษฐกิจไม่ได้โอกาสใช้เงินเหล่านี้พัฒนาศักยภาพการผลิตของประเทศให้สูงขึ้นโดยการลงทุน ประเด็นนี้สำคัญมากต่อการจ้างงานและความสามารถในการหารายได้ของประเทศในระยะยาว ซึ่งมีหลายประเด็นก็เป็นโจทย์สำหรับเศรษฐกิจไทยเช่นเดียวกัน
วิเคราะห์อัตราเงินเฟ้อกับผลกระทบต่อตลาดหลักทรัพย์
ในช่วงที่ผ่านมาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเคลื่อนไหวของตลาดทุนทั่วโลกมากที่สุด คือการคาดการณ์ภาวะเงินเฟ้อในสหรัฐ ซึ่งสาเหตุหลักเกิดจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ดีขึ้นอย่างชัดเจนในสหรัฐ หลังมีการฉีดวัคซีนในวงกว้าง ทั้งในด้านจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันที่ลดลง จำนวนผู้เสียชีวิตต่อวันที่ลดลง และจำนวนผู้ป่วยในโรงพยาบาลที่ลดลงเช่นกัน เมื่อบวกกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐที่มีมูลค่าสูงถึง 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ ก็ยิ่งทำให้นักลงทุนกังวลว่าเงินเฟ้อในสหรัฐมีโอกาสทะยานสูงขึ้นเกินเป้าหมายระยะยาวที่ 2% ของ Fed ซึ่งอาจกดดันให้ Fed จำเป็นต้องลดวงเงิน QE เร็วกว่าคาด รวมทั้งอาจนำไปสู่การปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายที่เร็วขึ้นอีกด้วย
ความกังวลเรื่องเงินเฟ้อสะท้อนชัดเจนในตลาดตราสารหนี้ทั่วโลก โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล หรือ Bond Yield อายุ 10 ปี ของสหรัฐ และอีกหลายประเทศรวมทั้งไทย ปรับขึ้นถึงเกือบหนี่งเท่าตัวในระยะ 3-4 เดือนที่ผ่านมา Bond Yield ที่สูงขึ้น นอกจากจะทำให้ราคาพันธบัตรลดลง ยังส่งผลให้ตลาดหุ้นได้รับผลกระทบในทางลบไปด้วย โดยเฉพาะหุ้นประเภทเติบโตสูง เช่น หุ้นเทคโนโลยี หุ้นเมกะเทรนด์ต่างๆ เพราะกำไรในปัจจุบันของบริษัทเหล่านี้ยังค่อนข้างน้อย มูลค่าของบริษัทจึงมาจากศักยภาพในการทำกำไรในอนาคตเป็นหลัก เมื่อใดที่อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น มูลค่าหุ้นกลุ่มนี้ก็จะลดลงตามอัตราคิดลด หรือ Discount Rate ที่สูงขึ้น
สิ่งที่นักลงทุนในตลาดหุ้นเป็นห่วงมากที่สุดในเวลานี้ คือเงินเฟ้อในสหรัฐและทั่วโลกมีแนวโน้มจะกลับมาจริงอย่างที่สะท้อนในตลาดพันธบัตรหรือไม่ โดยปกติเมื่อเริ่มเกิดความเสี่ยงว่าเงินเฟ้อจะเร่งตัวสูงขึ้นกว่าระดับเป้าหมาย สูตรสำเร็จของธนาคารกลางคือการขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจ รวมทั้งอาจทำการดูดซับสภาพคล่องส่วนหนึ่งออกจากระบบการเงิน เพื่อให้ภาวะเงินตึงตัวขึ้น ที่น่ากังวล คือธนาคารกลางยุคนี้แทบไม่มีประสบการณ์ในการรับมือกับวิกฤติเงินเฟ้อเลย เพราะเงินเฟ้อทั่วโลกเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับเฉลี่ยเพียง 2-3% นับตั้งแต่ปี 2014 ขณะที่บางประเทศเช่น ญี่ปุ่น และกลุ่มยูโรโซน บ่อยครั้งต้องพยายามกระตุ้นให้เกิดเงินเฟ้อในระบบเศรษฐกิจด้วยซ้ำ
ดังนั้นจึงเชื่อว่ายังเร็วเกินไปที่เงินเฟ้อในสหรัฐและทั่วโลกจะเร่งตัวขึ้นสู่ระดับที่เป็นอันตรายต่อระบบเศรษฐกิจและตลาดทุนในระยะสองปีข้างหน้า ด้วยเหตุผลดังนี้
โดยสรุปจะเห็นได้ว่าในระยะ 3-4 เดือนข้างหน้า เงินเฟ้อในสหรัฐและทั่วโลกมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้น จากฐานที่ต่ำของปีที่แล้ว ซึ่งเป็นช่วงที่ทั่วโลกทำการ Lockdown เพื่อรับมือกับการระบาดของโควิด-19 ในรอบแรก แต่จะเป็นเพียงภาวะเงินเฟ้อสูงชั่วคราว จึงไม่น่านำไปสู่การเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินของธนาคารกลางสำหรับเศรษฐกิจไทย แนวโน้มเงินเฟ้อยังน่าจะอยู่ในระดับต่ำไปอีกนาน เพราะเศรษฐกิจยังขยายตัวต่ำกว่าศักยภาพมาก และภาคท่องเที่ยวคงใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 2 ปี ถึงจะฟื้นตัวสู่ระดับใกล้เคียงเดิม ทำให้มองว่าตลาดหลักทรัพย์กังวลกับแนวโน้มเงินเฟ้อในสหรัฐมากเกินไป การปรับฐานของตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลกในระยะสั้นอาจเกิดขึ้นได้ แต่ไม่น่าจะรุนแรง และยังเชื่อว่าตลาดหลักทรัพย์ไทยมีโอกาสที่จะปรับตัวได้ดีกว่าตลาดหลักทรัพย์อื่นๆ ในระยะหนึ่งปีข้างหน้า เพราะฐานของตลาดหลักทรัพย์ไทยยังมีการปรับตัวขึ้นไปไม่มากเมื่อเทียบกับตลาดหลักทรัพย์ของประเทศอื่นๆ
กลุ่มวางแผนกลยุทธ์และงบประมาณ
ฝ่ายยุทธศาสตร์และวางแผนธุรกิจองค์กร