หน้าหลัก > บทความเศรษฐกิจ > บทความวิเคราะห์รายงานทางเศรษฐกิจ (ประจำเดือนธันวาคม 2562)

บทความวิเคราะห์รายงานทางเศรษฐกิจ (ประจำเดือนธันวาคม 2562)

บทความวิเคราะห์รายงานทางเศรษฐกิจ (ประจำเดือนธันวาคม 2562)
 
        ข้อมูลเดือนตุลาคม 2562 จากตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน จะเห็นว่าดัชนีราคาผู้บริโภคมีค่าลดลง เพราะราคาน้ำมันปรับตัวลดลง ในขณะที่ราคาสินค้าจำพวกอาหารสดก็มีทิศทางที่ทรงตัว ส่งผลทำให้ ราคามีการปรับตัวน้อยลงมา ส่วนภาคการผลิตมีการปรับตัวลดลง เนื่องจากทิศทางการโลกค่อนข้างมีความผันผวน ส่งผลให้ผู้ประกอบการรอดูความชัดเจนว่าจะมีผลกระทบเป็นอย่างไร จึงทำให้มีการชะลอการผลิตลงมา ส่งผลทำให้ในเดือนนี้มีการผลิตสินค้าที่หดตัวลงมา ในขณะเดียวกันดุลการค้าปรับตัวลดลงแต่ยังมีทิศทางที่เป็นบวกอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการนำเข้ายังมีค่าที่ไม่สูงมากเท่าไรนัก จึงทำให้ไม่น่าเป็นห่วง อย่างไรก็ตามภาวะการเงินยังทรงตัวไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลง โดยปริมาณเงินฝากและเงินให้สินเชื่อมีค่ามากขึ้น เนื่องจากประชาชนได้มีการออมมากขึ้นหลังจากที่ภาวะตลาดทุนมีความผันผวน ส่งผลให้การออมเงินมีการปรับตัวสูงขึ้นมา ในขณะที่การปล่อยสินเชื่อมีการปรับตัวมากขึ้น เนื่องจากธนาคารได้ทยอยปล่อยสินเชื่อออกมา ส่งผลให้การปล่อยสินเชื่อจึงมีการขยายตัวขึ้นมาได้ แต่ก็ยังคงมีความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาหนี้เสียตามมาอีกด้วย

ตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน

รายละเอียด

 กรกฎาคม 62

สิงหาคม 62

กันยายน 62

ตุลาคม 62

ดัชนีราคาผู้บริโภค

103.00

102.80

102.90

102.74

ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม

100.17

100.29

97.51

95.89

อัตราการใช้กำลังการผลิต

65.26

65.81

63.80

62.83

ดุลการค้า

1,692.23

3,583.38

2,686.68

2,089.98

ดุลบัญชีเดินสะพัด

1,605.87

3,990.38

3,530.66

2,905.19

เงินฝาก

13,981.18

14,030.07

14,132.32

n.a.

เงินให้สินเชื่อ

15,270.01

15,387.92

15,575.99

n.a.

ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย
                             หมายเหตุ: ดัชนีราคาผู้บริโภค มีปีฐานคือ 2558  เงินฝาก/เงินให้สินเชื่อ มีหน่วยเป็น พันล้านบาท
                                                  อัตราการใช้กำลังการผลิต มีหน่วยเป็น ร้อยละ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม มีปีฐานคือ 2559  
                       ดุลการค้า ดุลบัญชีเดินสะพัด มีหน่วยเป็น ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา

ภาวะอสังหาริมทรัพย์ เดือนตุลาคม 2562
     • ด้านอุปทาน
        - ที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เปรียบเทียบ ณ ต.ค. 61 กับ 62 มีรายละเอียดดังนี้

ปี

จำนวน(ยูนิต)

การเติบโต(%)

ณ ต.ค. 61

110,260

5.59%

ณ ต.ค. 62

89,839

-18.552%

ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์

       - ประเภทที่อยู่อาศัยที่มีการจดทะเบียน ณ ต.ค. 62 เรียงตามลำดับมีรายละเอียดดังนี้

ประเภท

จำนวน(ยูนิต)

สัดส่วน(%)

อาคารชุด

40,761

45.37

บ้านเดี่ยว

27,892

31.05

ทาวน์เฮ้าส์

16,412

18.27

อาคารพาณิชย์

2,701

3.00

บ้านแฝด

2,073

2.31

รวม

89,839

100.00

ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์


     • ด้านอุปสงค์
        -การโอนกรรมสิทธิ์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เปรียบเทียบ ณ ต.ค. 61 กับ 62 มีรายละเอียดดังนี้

ปี

จำนวน(ยูนิต)

การเติบโต(%)

ณ ต.ค. 61

157,507

24.52%

ณ ต.ค. 62

157,978

0.30%

ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์

       -ประเภทที่อยู่อาศัยที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ ณ ต.ค. 62 เรียงตามลำดับมีรายละเอียดดังนี้

ประเภท

จำนวน(ยูนิต) 

สัดส่วน(%)

อาคารชุด

77,369

48.97

ทาวน์เฮ้าส์

46,320

29.32

บ้านเดี่ยว

21,722

13.75

อาคารพาณิชย์

6,990

4.43

บ้านแฝด

5,577

3.53

รวม

157,978

100.00

ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์

 

  • อัตราดอกเบี้ยที่อยู่อาศัยบุคคลทั่วไปลอยตัวเฉลี่ยของ 6 ธนาคารใหญ่ มีรายละเอียดดังนี้

ปี 62

อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย
6 ธนาคาร

อัตราดอกเบี้ยนโยบาย ธปท.

มกราคม-กุมภาพันธ์

6.27

1.75

มีนาคม-เมษายน

6.35

1.75

พฤษภาคม

6.27

1.75

มิถุนายน-กรกฎาคม

6.35

1.75

สิงหาคม-ตุลาคม 6.17 1.50

ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
                      หมายเหตุ: 6 ธนาคาร ประกอบ ธ.อาคารสงเคราะห์, ธ.กสิกรไทย, ธ.กรุงเทพ, 
             ธ.กรุงศรีอยุธยา, ธ.กรุงไทย และ ธ.ไทยพาณิชย์

 

สรุปภาพรวมภาวะอสังหาริมทรัพย์เดือนตุลาคม 2562

          ภาพรวมของอุปทานมีการปรับตัวลดลง 18.52% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากมีปัจจัยลบค่อนข้างมากที่เข้ามากระทบส่งผลให้ภาวะเศรษฐกิจมีอัตราเติบโตที่ลดลงไปค่อนข้างมาก ทำให้ผู้ประกอบการชะลอการพัฒนาโครงการออกไปก่อน ส่งผลให้อุปทานในตลาดมีการหดตัวลงมา ในขณะเดียวกันทางด้านอุปสงค์มีขยายตัวได้เล็กน้อย 0.30% เพราะมาตรการ LTV ที่ออกมาทำให้การขอสินเชื่อค่อนข้างมีความเข้มงวดเพิ่มมากขึ้น แต่ได้มีการผ่อนคลายมาตรการ LTV จึงช่วยทำให้การเข้าถึงสินเชื่อมีทิศทางที่ดีขึ้น ทั้งนี้ที่อยู่อาศัยประเภทอาคารชุดยังมียอดการโอนกรรมสิทธิ์มากที่สุด รองลงมาคือ ทาวน์เฮ้าส์ และ บ้านเดี่ยว ส่วนสินเชื่อที่อยู่อาศัยมีการหดตัวลดลงตามภาวะเศรษฐกิจที่ค่อนข้างชะลอตัวลงมา ส่งผลทำให้มีการปรับตัวน้อยลงมาที่ 16.21% ณ ไตรมาส 3 ปี 62 ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่อยู่อาศัยและอัตราดอกเบี้ยนโยบายทรงตัวที่ 6.17% และ 1.50% ตามลำดับ

 

วิเคราะห์แนวทางการร่วมมือทางการเงินในภูมิภาคเอเชีย*

          ในปัจจุบันเมื่อพิจารณาความร่วมมือทางการเงินในภูมิภาคเอเชียระหว่างจีนกับกลุ่มประเทศอาเซียนมีช่องทางอะไรบ้างที่จะขยายความร่วมมือทางการเงินต่อไปได้ โดยเฉพาะในแง่การพัฒนาระบบชำระเงิน การใช้สกุลเงินร่วมกัน และการเปิดตลาดเพื่อขยายการค้าและการลงทุน ซึ่งเมื่อพิจารณาจากความร่วมมือของประเทศจีนจะให้ความสำคัญกับการขยายความร่วมมือในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในบริบทของเส้นทางสายไหมแห่งศตวรรษที่ 21 ของจีน การขยายการให้บริการทางการเงินที่ใช้เงินหยวนของจีนในภูมิภาค การพัฒนาระบบชำระเงินและระบบชำระราคาและส่งมอบในสกุลเงินของจีน เพื่อขยายการใช้เงินหยวนในภูมิภาคอาเซียน ส่วนของอาเซียนเอง จากที่เศรษฐกิจโลกกำลังอยู่ในภาวะชะลอตัวและความไม่แน่นอนด้านนโยบายมีสูง ความร่วมมือทางการเงินจากประเทศอาเซียนเกือบทั้งหมดจะให้ความสำคัญกับเรื่องการขยายความร่วมมือด้านการค้า และการลงทุนระหว่างประเทศในภูมิภาค เพื่อรักษาและเพิ่มโอกาสให้เศรษฐกิจภูมิภาคสามารถเติบโตได้ต่อไปภายใต้ความไม่แน่นอนที่เศรษฐกิจโลกมีอยู่ พร้อมเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบการเงินภูมิภาคให้สามารถรองรับความไม่แน่นอนที่จะมีมากขึ้น เพื่อรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจและระบบการเงินภูมิภาค

          ทั้งนี้มองว่าในภาวะที่ความเสี่ยงในเศรษฐกิจโลกมีมากขึ้น ซึ่งจะทำให้การเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศผันผวนมากและจะสร้างความเสี่ยงต่อเสถียรภาพของเศรษฐกิจในภูมิภาค จึงจำเป็นที่ประเทศในภูมิภาคเอเชียจะต้องทำให้กลไกการป้องกันภัยด้านการเงิน(Financial Safety Net) ของภูมิภาคที่มีอยู่มีความเข้มแข็งเพื่อให้สามารถลดทอนความเสี่ยงที่อาจมีมากขึ้น ซึ่งมีแนวทางดังต่อไปนี้

           1. ในกรณีฉุกเฉินให้ครอบคลุมประเทศในภูมิภาคมากขึ้น เพื่อให้ประเทศที่มีความอ่อนแอหรือถูกกระทบรุนแรงจากภาวะเศรษฐกิจโลก สามารถแก้ไขปัญหาด้านการเงินที่เกิดขึ้นได้โดยไม่สร้างผลกระทบต่อเนื่องให้กับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค

           2. แนวทางป้องกันความเสี่ยงด้านการเงินที่ภูมิภาคเอเชียมีอยู่ขณะนี้ คือโครงการริเริ่มเชียงใหม่พหุภาคี (CMIM) ที่จัดตั้งเมื่อปี 2000 และได้ปรับปรุงให้เป็นลักษณะพหุภาคีเมื่อปี 2010 โดยจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ร่วมกับประเทศอาเซียนสิบประเทศ เพื่อลดโอกาสของการเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ กลไกนี้ยังจะสามารถปรับปรุงให้เข้มแข็งได้มากขึ้นอีก เช่น ขยายวงเงินให้ความช่วยเหลือ ปรับปรุงขั้นตอนการเบิกจ่ายให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและทันเวลา รวมถึงพัฒนากลไกให้ความช่วยเหลือระหว่างประเทศในอาเซียนด้วยกัน ขนานกับกลไก CMIM เพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพให้กับแนวป้องกันความเสี่ยงของประเทศในอาเซียนให้เข้มแข็งมากขึ้น ซึ่งจีนในฐานะประเทศใหญ่ในภูมิภาคและมีอิทธิพลต่อความเห็นของ CMIM สามารถให้การสนับสนุนในเรื่องนี้

           3. ขยายความร่วมมือด้านนโยบายระหว่างโดยประเทศในภูมิภาคให้มีมากขึ้น เพื่อตั้งรับกับความผันผวนของเงินทุนระหว่างประเทศที่จะมีมากขึ้น ที่มักสร้างความเสี่ยงต่อเสถียรภาพของเศรษฐกิจในแง่ของการเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ

           ซึ่งที่ผ่านมาแต่ละประเทศในภูมิภาคจะพยายามบริหารจัดการความเสี่ยงที่มากับการไหลเข้าออกอย่างฉับพลันของเงินทุนระหว่างประเทศ ด้วยมาตรการระดับประเทศที่มักไม่มีประสิทธิภาพ เพราะความผันผวนของเงินทุนระหว่างประเทศเป็นปัญหาระดับโลก ดังนั้นถ้าประเทศในภูมิภาคร่วมมือกันมากขึ้นทางนโยบาย มีมาตรการที่จะดูแลความผันผวนของเงินทุนระหว่างประเทศที่เข้มแข็งออกมาคล้ายๆ กันทั้งภูมิภาค เช่น การควบคุมเงินทุนระหว่างประเทศ (Capital Control) การบริหารความเสี่ยงจากความผันผวนของเงินทุนระหว่างประเทศที่มีต่อเศรษฐกิจภูมิภาคก็จะทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

           สำหรับภาคเศรษฐกิจจริง ประเทศในเอเชียจะให้ความสำคัญกับความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนเป็นหลัก แต่จากนี้ไปความร่วมมือน่าจะขยายไปสู่ความร่วมมือในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ตรงกับความจำเป็นของแต่ละประเทศ ขยายไปสู่ความร่วมมือในการพัฒนาเทคโนโลยีที่ประเทศในภูมิภาคจะสามารถใช้ platform ด้านดิจิทัลเทคโนโลยีร่วมกัน ซึ่งจะเป็นประโยชน์มากสำหรับภาคธุรกิจที่จะลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันก็ร่วมมือกันวางมาตรฐานด้านธรรมาภิบาลที่สูงให้กับการทำธุรกิจในภูมิภาค เพื่อสร้างแรงจูงใจให้กับนักธุรกิจและนักลงทุน ด้วยการแข่งขันที่โปร่งใส เป็นธรรม ที่จะลดการทุจริตคอร์รัปชั่น ซึ่งสำคัญมากต่อการรักษาโมเมนตัมการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาวที่จะยั่งยืน ให้ประโยชน์อย่างทั่วถึง(inclusive) และมีเสถียรภาพต่อทั้งภูมิภาคเอเชีย

วิเคราะห์แนวทางการค้าของไทยในภูมิภาคอาเซียน

           สงครามการค้าที่ประทุขึ้นได้สร้างบรรยากาศการค้าที่ไม่เป็นมิตรกับการส่งออกของหลายประเทศ และส่งผลให้กระแสการหมุนเวียนสินค้าในโลก (Global flow of traded goods) ปรับเปลี่ยนไปในหลายรูปแบบ ซึ่งมีนัยทั้งบวกและลบต่อสถานการณ์การส่งออกของหลายประเทศ กล่าวคือ หลายประเทศรวมถึงไทยได้รับผลบวกจากการส่งออกไปสหรัฐอเมริกาแทนจีนมากขึ้น ขณะที่การส่งออกของไทยและหลายประเทศไปจีนหดตัวจากการที่ประเทศเหล่านั้นอยู่ในห่วงโซ่อุปทานของจีน นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงสำคัญที่ไม่ได้รับการพูดถึงนัก คือ การค้าขายระหว่างจีนและอาเซียนที่เพิ่มขึ้นแทนที่สหรัฐอเมริกา (Export diversion) ซึ่งน่าจะสร้างผลกระทบที่มีนัยต่อการส่งออกของไทยเช่นกัน เพราะล่าสุดไทยส่งออกไปอาเซียนหดตัวมากกว่าไปจีน ซึ่งเป็นประเทศขนาดใหญ่ในสงครามการค้าครั้งนี้เสียอีก ดังนั้นจึงได้วิเคราะห์เพื่อให้เข้าใจถึงการเบนเข็มการส่งออกของจีนมายังตลาดอาเซียนว่าจะเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เห็นการส่งออกของไทยไปอาเซียนหดตัวมากในช่วงที่ผ่านมาหรือไม่และมีผลกระทบขนาดไหน

            ในช่วงปีที่ผ่านมาบทบาททางการค้าของจีนกับภูมิภาคอาเซียนเพิ่มขึ้นชัดเจน โดยมาจากการเบนเข็มการส่งออกของจีนจากเดิมที่ไปสหรัฐอเมริกาเปลี่ยนไปเป็นที่อาเซียน มากกว่าที่อาเซียนสามารถทดแทนส่วนแบ่งตลาดสหรัฐอเมริกาในจีน จากข้อมูลการค้าของจีน (มูลค่าส่งออกและนำเข้า) พบว่าจีนค้าขายกับอาเซียนเพิ่มขึ้นจนทำให้อาเซียนแซงหน้าสหรัฐอเมริกามาเป็นคู่ค้าอันดับ 2 ของจีนได้ มาจากการที่จีนส่งออกไปอาเซียนเพิ่มขึ้นมากกว่าการที่จีนนำเข้าจากอาเซียน กล่าวคือ แม้จีนจะนำเข้าจากสหรัฐอเมริกาลดลงกว่า 26% ใน 9 เดือนแรกของปี 2562 แต่ก็ไม่ได้นำเข้าจากอาเซียนเพิ่มขึ้นมากนัก โดยขยายตัวเพียง 1% สะท้อนว่าอาเซียนไม่สามารถแย่งส่วนแบ่งตลาดสหรัฐอเมริกาในจีนได้ ในทางกลับกันการส่งออกของจีนไปอาเซียนที่ขยายตัวได้ถึง 9% สวนทางกับที่จีนส่งออกไปสหรัฐอเมริกาที่หดตัว 11% โดยจีนส่งออกไปเวียดนามและมาเลเซียเพิ่มขึ้นกว่า     คู่ค้าอื่น โดยเฉพาะในสินค้าประเภทเดียวกับที่จีนเคยส่งออกไปสหรัฐอเมริกา อาทิ เครื่องจักรและอุปกรณ์ และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งสะท้อนการเบนเข็มของการส่งออกของจีนจากสหรัฐอเมริกามาอาเซียนได้ระดับหนึ่ง

            สิ่งที่จะต้องคิดต่อไปคือไทยซึ่งมีการพึ่งพิงอาเซียนสูงจะเสียส่วนแบ่งการตลาดให้จีนหรือไม่ หากเปรียบเทียบพัฒนาการการนำเข้าของอาเซียนจากจีนและไทย จะเห็นว่ามีช่องว่างที่ห่างกันมากขึ้นในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา กล่าวคือ อาเซียนนำเข้าจากจีนมากขึ้น ขณะที่นำเข้าจากไทยน้อยลง โดยมีสินค้าหลายชนิดที่ไทยเสียส่วนแบ่งตลาดให้จีน คิดเป็น 47% ของการส่งออกจากไทยไปอาเซียน (หรือ 12% ของส่งออกรวมของไทย) อีกทั้งยังมีส่วนถึง 2 ใน 3 ของการหดตัวของการส่งออกไทยไปอาเซียนในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา

            นอกจากนี้ยังพบว่าสินค้าที่ไทยสูญเสียในตลาดอาเซียนจะกระจุกอยู่ในสินค้ากลุ่มเครื่องจักร อาหาร ปิโตรเคมี ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ รถยนต์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า เนื่องจากเป็นสินค้าที่จีนมีความสามารถในการแข่งขันมากกว่าหรือไล่เลี่ยกับไทย โดยกรณีเครื่องปรับอากาศ จีนครองแชมป์สัดส่วนตลาดโลกที่ 35% ในปี 2561 ขณะที่ไทยเป็นผู้ส่งออกอันดับสอง เช่นเดียวกับรถยนต์นั่งที่ไทยและจีนเป็นผู้ส่งออกในอันดับที่ใกล้เคียงกันคือ อันดับที่ 17 และ 19 ของโลกตามลำดับ ดังนั้นเมื่อประเทศขนาดใหญ่อย่างจีนส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาไม่ได้ จึงส่งออกมาที่ตลาดอาเซียนและสามารถแย่งส่วนแบ่งตลาดจากไทยได้ โดยทั้งสองสินค้านี้ไทยพึ่งพาตลาดอาเซียนเป็นอันดับหนึ่ง ดังนั้นการเบนเข็มการค้าของจีนมายังอาเซียนมากขึ้นนี้น่าจะทำให้ไทยได้รับผลกระทบพอสมควร ด้านการส่งออกข้าว ไทยครองส่วนแบ่งตลาดโลกเหนือจีน แต่กลับเสียส่วนแบ่งในตลาดอาเซียนให้กับจีน โดยอาจมาจากสาเหตุอื่นนอกเหนือจากสงครามการค้า เนื่องจากจีนมีการระบายสต๊อกข้าวในระยะหลัง อย่างไรก็ดีแม้ส่วนแบ่งการส่งออกข้าวของไทยในตลาดอาเซียนจะยังสูงอยู่ แต่ถือเป็นสินค้าที่ควรติดตามเช่นกัน เนื่องจากต้องเผชิญกับความท้าทายหลายด้านรวมถึงเรื่องการแข่งขันด้านราคาจากคู่แข่งสำคัญ

              แนวโน้มการรุกตลาดอาเซียนของจีนดังกล่าวอาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ไม่ใช่เพียงผลของสงครามการค้าเพียงอย่างเดียว แต่ยังสะท้อนความเชื่อมโยงในภูมิภาคที่เพิ่มขึ้นจากอานิสงส์ของข้อตกลงทางการค้าระหว่างอาเซียนและจีนและห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาคที่ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่อดีต เห็นได้จากเขตการค้าเสรี (ASEAN-China FTA) ระหว่างอาเซียนและจีนที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2548 ซึ่งเป็น FTA ที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลกรองจากเขตเศรษฐกิจยุโรป (EEA) และข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (NAFTA) โดยปัจจุบัน 90% ของสินค้าที่จีนค้าขายกับอาเซียนอยู่ภายใต้ 0%-Tariff treatment ซึ่งรวมถึงสินค้าเกษตรบางชนิด รถยนต์นั่ง และเครื่องปรับอากาศ สอดคล้องกับแนวโน้มการเข้ามาตีตลาดของสินค้าจีนดังกล่าวที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ล่าสุดยังมีความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership: RCEP) ซึ่งถือเป็นอีกแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ช่วยสร้างรากฐานความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มประเทศในภูมิภาคและเปิดถนนของจีนสู่อาเซียนได้มากขึ้นในระยะต่อไป

               บทบาทของจีนในภูมิภาคอาเซียนโดยเฉพาะในแง่ความเชื่อมโยงทางการค้าจะเพิ่มขึ้นในระยะต่อไป จากทั้งการรวมตัวทางเศรษฐกิจระหว่างกันและสงครามการค้าที่ยังคงดำเนินต่อไปในทิศทางที่เอื้อให้เกิดการเบนเข็มทางการค้าจากจีนมาอาเซียนมากขึ้น สภาพแวดล้อมทางการค้าดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงแรงกดดันต่อการส่งออกไทย แม้วัฏจักรเศรษฐกิจการค้าโลกจะมีทิศทางฟื้นตัวกลับมาก็ตาม หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงควรให้ความสำคัญกับตลาดอาเซียนไม่ใช่แค่ในฐานะคู่แข่งในการรับการลงทุนจากจีนอย่างเดียว แต่ในฐานะคู่ค้าสำคัญของไทยด้วย โดยควรให้น้ำหนักกับการเร่งรักษาและขยายฐานตลาดส่งออกสำคัญเดิมของไทยอย่างอาเซียน เพื่อนำพาภูมิภาคให้ฝ่ามรสุมสงครามการค้าไปด้วยกัน

 

 


_______________
* แหล่งที่มาของข้อมูล : ดร.บัณฑิต นิจถาวร เศรษฐศาสตร์บัณฑิต

 

 

กลุ่มข้อมูลและวางแผนสื่อสารองค์กร
ฝ่ายสื่อสารองค์กร

บทความเศรษฐกิจ

วันที่ 20 ธันวาคม 2562

2044 Views

BAM Mobile Application

ค้นหาทรัพย์ง่ายๆ เพียงปลายนิ้วสัมผัส

บริการฝากขาย
อสังหาฯ
ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย