เกี่ยวกับเรา
BAM ประกอบธุรกิจด้านการบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ โดยมีส่วนช่วยเหลือลูกหนี้และแก้ไขปัญหาสถาบันการเงิน เพิ่มเติม
ทรัพย์
อื่นๆ
ติดต่อเรา
0-2630-0700
0-2266-3377
99 ถนนสุรศักดิ์ แขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพฯ 10500
หน้าหลัก > บทความเศรษฐกิจ > บทความวิเคราะห์รายงานทางเศรษฐกิจ (ประจำเดือนธันวาคม 2562)
บทความวิเคราะห์รายงานทางเศรษฐกิจ (ประจำเดือนธันวาคม 2562)
ข้อมูลเดือนตุลาคม 2562 จากตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน จะเห็นว่าดัชนีราคาผู้บริโภคมีค่าลดลง เพราะราคาน้ำมันปรับตัวลดลง ในขณะที่ราคาสินค้าจำพวกอาหารสดก็มีทิศทางที่ทรงตัว ส่งผลทำให้ ราคามีการปรับตัวน้อยลงมา ส่วนภาคการผลิตมีการปรับตัวลดลง เนื่องจากทิศทางการโลกค่อนข้างมีความผันผวน ส่งผลให้ผู้ประกอบการรอดูความชัดเจนว่าจะมีผลกระทบเป็นอย่างไร จึงทำให้มีการชะลอการผลิตลงมา ส่งผลทำให้ในเดือนนี้มีการผลิตสินค้าที่หดตัวลงมา ในขณะเดียวกันดุลการค้าปรับตัวลดลงแต่ยังมีทิศทางที่เป็นบวกอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการนำเข้ายังมีค่าที่ไม่สูงมากเท่าไรนัก จึงทำให้ไม่น่าเป็นห่วง อย่างไรก็ตามภาวะการเงินยังทรงตัวไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลง โดยปริมาณเงินฝากและเงินให้สินเชื่อมีค่ามากขึ้น เนื่องจากประชาชนได้มีการออมมากขึ้นหลังจากที่ภาวะตลาดทุนมีความผันผวน ส่งผลให้การออมเงินมีการปรับตัวสูงขึ้นมา ในขณะที่การปล่อยสินเชื่อมีการปรับตัวมากขึ้น เนื่องจากธนาคารได้ทยอยปล่อยสินเชื่อออกมา ส่งผลให้การปล่อยสินเชื่อจึงมีการขยายตัวขึ้นมาได้ แต่ก็ยังคงมีความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาหนี้เสียตามมาอีกด้วย
ตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน
|
รายละเอียด |
กรกฎาคม 62 |
สิงหาคม 62 |
กันยายน 62 |
ตุลาคม 62 |
| ดัชนีราคาผู้บริโภค |
103.00 |
102.80 |
102.90 |
102.74 |
| ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม |
100.17 |
100.29 |
97.51 |
95.89 |
| อัตราการใช้กำลังการผลิต |
65.26 |
65.81 |
63.80 |
62.83 |
| ดุลการค้า |
1,692.23 |
3,583.38 |
2,686.68 |
2,089.98 |
| ดุลบัญชีเดินสะพัด |
1,605.87 |
3,990.38 |
3,530.66 |
2,905.19 |
| เงินฝาก |
13,981.18 |
14,030.07 |
14,132.32 |
n.a. |
| เงินให้สินเชื่อ |
15,270.01 |
15,387.92 |
15,575.99 |
n.a. |
ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย
หมายเหตุ: ดัชนีราคาผู้บริโภค มีปีฐานคือ 2558 เงินฝาก/เงินให้สินเชื่อ มีหน่วยเป็น พันล้านบาท
อัตราการใช้กำลังการผลิต มีหน่วยเป็น ร้อยละ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม มีปีฐานคือ 2559
ดุลการค้า ดุลบัญชีเดินสะพัด มีหน่วยเป็น ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา
ภาวะอสังหาริมทรัพย์ เดือนตุลาคม 2562
• ด้านอุปทาน
- ที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เปรียบเทียบ ณ ต.ค. 61 กับ 62 มีรายละเอียดดังนี้
|
ปี |
จำนวน(ยูนิต) |
การเติบโต(%) |
|
ณ ต.ค. 61 |
110,260 |
5.59% |
|
ณ ต.ค. 62 |
89,839 |
-18.552% |
ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
- ประเภทที่อยู่อาศัยที่มีการจดทะเบียน ณ ต.ค. 62 เรียงตามลำดับมีรายละเอียดดังนี้
|
ประเภท |
จำนวน(ยูนิต) |
สัดส่วน(%) |
|
อาคารชุด |
40,761 |
45.37 |
|
บ้านเดี่ยว |
27,892 |
31.05 |
|
ทาวน์เฮ้าส์ |
16,412 |
18.27 |
|
อาคารพาณิชย์ |
2,701 |
3.00 |
|
บ้านแฝด |
2,073 |
2.31 |
|
รวม |
89,839 |
100.00 |
ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
• ด้านอุปสงค์
-การโอนกรรมสิทธิ์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เปรียบเทียบ ณ ต.ค. 61 กับ 62 มีรายละเอียดดังนี้
|
ปี |
จำนวน(ยูนิต) |
การเติบโต(%) |
|
ณ ต.ค. 61 |
157,507 |
24.52% |
|
ณ ต.ค. 62 |
157,978 |
0.30% |
ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
-ประเภทที่อยู่อาศัยที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ ณ ต.ค. 62 เรียงตามลำดับมีรายละเอียดดังนี้
|
ประเภท |
จำนวน(ยูนิต) |
สัดส่วน(%) |
|
อาคารชุด |
77,369 |
48.97 |
|
ทาวน์เฮ้าส์ |
46,320 |
29.32 |
|
บ้านเดี่ยว |
21,722 |
13.75 |
|
อาคารพาณิชย์ |
6,990 |
4.43 |
|
บ้านแฝด |
5,577 |
3.53 |
|
รวม |
157,978 |
100.00 |
ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
|
ปี 62 |
อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย |
อัตราดอกเบี้ยนโยบาย ธปท. |
|
มกราคม-กุมภาพันธ์ |
6.27 |
1.75 |
|
มีนาคม-เมษายน |
6.35 |
1.75 |
|
พฤษภาคม |
6.27 |
1.75 |
|
มิถุนายน-กรกฎาคม |
6.35 |
1.75 |
| สิงหาคม-ตุลาคม | 6.17 | 1.50 |
ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
หมายเหตุ: 6 ธนาคาร ประกอบ ธ.อาคารสงเคราะห์, ธ.กสิกรไทย, ธ.กรุงเทพ,
ธ.กรุงศรีอยุธยา, ธ.กรุงไทย และ ธ.ไทยพาณิชย์
สรุปภาพรวมภาวะอสังหาริมทรัพย์เดือนตุลาคม 2562
ภาพรวมของอุปทานมีการปรับตัวลดลง 18.52% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากมีปัจจัยลบค่อนข้างมากที่เข้ามากระทบส่งผลให้ภาวะเศรษฐกิจมีอัตราเติบโตที่ลดลงไปค่อนข้างมาก ทำให้ผู้ประกอบการชะลอการพัฒนาโครงการออกไปก่อน ส่งผลให้อุปทานในตลาดมีการหดตัวลงมา ในขณะเดียวกันทางด้านอุปสงค์มีขยายตัวได้เล็กน้อย 0.30% เพราะมาตรการ LTV ที่ออกมาทำให้การขอสินเชื่อค่อนข้างมีความเข้มงวดเพิ่มมากขึ้น แต่ได้มีการผ่อนคลายมาตรการ LTV จึงช่วยทำให้การเข้าถึงสินเชื่อมีทิศทางที่ดีขึ้น ทั้งนี้ที่อยู่อาศัยประเภทอาคารชุดยังมียอดการโอนกรรมสิทธิ์มากที่สุด รองลงมาคือ ทาวน์เฮ้าส์ และ บ้านเดี่ยว ส่วนสินเชื่อที่อยู่อาศัยมีการหดตัวลดลงตามภาวะเศรษฐกิจที่ค่อนข้างชะลอตัวลงมา ส่งผลทำให้มีการปรับตัวน้อยลงมาที่ 16.21% ณ ไตรมาส 3 ปี 62 ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่อยู่อาศัยและอัตราดอกเบี้ยนโยบายทรงตัวที่ 6.17% และ 1.50% ตามลำดับ
วิเคราะห์แนวทางการร่วมมือทางการเงินในภูมิภาคเอเชีย*
ในปัจจุบันเมื่อพิจารณาความร่วมมือทางการเงินในภูมิภาคเอเชียระหว่างจีนกับกลุ่มประเทศอาเซียนมีช่องทางอะไรบ้างที่จะขยายความร่วมมือทางการเงินต่อไปได้ โดยเฉพาะในแง่การพัฒนาระบบชำระเงิน การใช้สกุลเงินร่วมกัน และการเปิดตลาดเพื่อขยายการค้าและการลงทุน ซึ่งเมื่อพิจารณาจากความร่วมมือของประเทศจีนจะให้ความสำคัญกับการขยายความร่วมมือในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในบริบทของเส้นทางสายไหมแห่งศตวรรษที่ 21 ของจีน การขยายการให้บริการทางการเงินที่ใช้เงินหยวนของจีนในภูมิภาค การพัฒนาระบบชำระเงินและระบบชำระราคาและส่งมอบในสกุลเงินของจีน เพื่อขยายการใช้เงินหยวนในภูมิภาคอาเซียน ส่วนของอาเซียนเอง จากที่เศรษฐกิจโลกกำลังอยู่ในภาวะชะลอตัวและความไม่แน่นอนด้านนโยบายมีสูง ความร่วมมือทางการเงินจากประเทศอาเซียนเกือบทั้งหมดจะให้ความสำคัญกับเรื่องการขยายความร่วมมือด้านการค้า และการลงทุนระหว่างประเทศในภูมิภาค เพื่อรักษาและเพิ่มโอกาสให้เศรษฐกิจภูมิภาคสามารถเติบโตได้ต่อไปภายใต้ความไม่แน่นอนที่เศรษฐกิจโลกมีอยู่ พร้อมเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบการเงินภูมิภาคให้สามารถรองรับความไม่แน่นอนที่จะมีมากขึ้น เพื่อรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจและระบบการเงินภูมิภาค
ทั้งนี้มองว่าในภาวะที่ความเสี่ยงในเศรษฐกิจโลกมีมากขึ้น ซึ่งจะทำให้การเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศผันผวนมากและจะสร้างความเสี่ยงต่อเสถียรภาพของเศรษฐกิจในภูมิภาค จึงจำเป็นที่ประเทศในภูมิภาคเอเชียจะต้องทำให้กลไกการป้องกันภัยด้านการเงิน(Financial Safety Net) ของภูมิภาคที่มีอยู่มีความเข้มแข็งเพื่อให้สามารถลดทอนความเสี่ยงที่อาจมีมากขึ้น ซึ่งมีแนวทางดังต่อไปนี้
1. ในกรณีฉุกเฉินให้ครอบคลุมประเทศในภูมิภาคมากขึ้น เพื่อให้ประเทศที่มีความอ่อนแอหรือถูกกระทบรุนแรงจากภาวะเศรษฐกิจโลก สามารถแก้ไขปัญหาด้านการเงินที่เกิดขึ้นได้โดยไม่สร้างผลกระทบต่อเนื่องให้กับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค
2. แนวทางป้องกันความเสี่ยงด้านการเงินที่ภูมิภาคเอเชียมีอยู่ขณะนี้ คือโครงการริเริ่มเชียงใหม่พหุภาคี (CMIM) ที่จัดตั้งเมื่อปี 2000 และได้ปรับปรุงให้เป็นลักษณะพหุภาคีเมื่อปี 2010 โดยจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ร่วมกับประเทศอาเซียนสิบประเทศ เพื่อลดโอกาสของการเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ กลไกนี้ยังจะสามารถปรับปรุงให้เข้มแข็งได้มากขึ้นอีก เช่น ขยายวงเงินให้ความช่วยเหลือ ปรับปรุงขั้นตอนการเบิกจ่ายให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและทันเวลา รวมถึงพัฒนากลไกให้ความช่วยเหลือระหว่างประเทศในอาเซียนด้วยกัน ขนานกับกลไก CMIM เพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพให้กับแนวป้องกันความเสี่ยงของประเทศในอาเซียนให้เข้มแข็งมากขึ้น ซึ่งจีนในฐานะประเทศใหญ่ในภูมิภาคและมีอิทธิพลต่อความเห็นของ CMIM สามารถให้การสนับสนุนในเรื่องนี้
3. ขยายความร่วมมือด้านนโยบายระหว่างโดยประเทศในภูมิภาคให้มีมากขึ้น เพื่อตั้งรับกับความผันผวนของเงินทุนระหว่างประเทศที่จะมีมากขึ้น ที่มักสร้างความเสี่ยงต่อเสถียรภาพของเศรษฐกิจในแง่ของการเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ
ซึ่งที่ผ่านมาแต่ละประเทศในภูมิภาคจะพยายามบริหารจัดการความเสี่ยงที่มากับการไหลเข้าออกอย่างฉับพลันของเงินทุนระหว่างประเทศ ด้วยมาตรการระดับประเทศที่มักไม่มีประสิทธิภาพ เพราะความผันผวนของเงินทุนระหว่างประเทศเป็นปัญหาระดับโลก ดังนั้นถ้าประเทศในภูมิภาคร่วมมือกันมากขึ้นทางนโยบาย มีมาตรการที่จะดูแลความผันผวนของเงินทุนระหว่างประเทศที่เข้มแข็งออกมาคล้ายๆ กันทั้งภูมิภาค เช่น การควบคุมเงินทุนระหว่างประเทศ (Capital Control) การบริหารความเสี่ยงจากความผันผวนของเงินทุนระหว่างประเทศที่มีต่อเศรษฐกิจภูมิภาคก็จะทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
สำหรับภาคเศรษฐกิจจริง ประเทศในเอเชียจะให้ความสำคัญกับความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนเป็นหลัก แต่จากนี้ไปความร่วมมือน่าจะขยายไปสู่ความร่วมมือในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ตรงกับความจำเป็นของแต่ละประเทศ ขยายไปสู่ความร่วมมือในการพัฒนาเทคโนโลยีที่ประเทศในภูมิภาคจะสามารถใช้ platform ด้านดิจิทัลเทคโนโลยีร่วมกัน ซึ่งจะเป็นประโยชน์มากสำหรับภาคธุรกิจที่จะลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันก็ร่วมมือกันวางมาตรฐานด้านธรรมาภิบาลที่สูงให้กับการทำธุรกิจในภูมิภาค เพื่อสร้างแรงจูงใจให้กับนักธุรกิจและนักลงทุน ด้วยการแข่งขันที่โปร่งใส เป็นธรรม ที่จะลดการทุจริตคอร์รัปชั่น ซึ่งสำคัญมากต่อการรักษาโมเมนตัมการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาวที่จะยั่งยืน ให้ประโยชน์อย่างทั่วถึง(inclusive) และมีเสถียรภาพต่อทั้งภูมิภาคเอเชีย
วิเคราะห์แนวทางการค้าของไทยในภูมิภาคอาเซียน
สงครามการค้าที่ประทุขึ้นได้สร้างบรรยากาศการค้าที่ไม่เป็นมิตรกับการส่งออกของหลายประเทศ และส่งผลให้กระแสการหมุนเวียนสินค้าในโลก (Global flow of traded goods) ปรับเปลี่ยนไปในหลายรูปแบบ ซึ่งมีนัยทั้งบวกและลบต่อสถานการณ์การส่งออกของหลายประเทศ กล่าวคือ หลายประเทศรวมถึงไทยได้รับผลบวกจากการส่งออกไปสหรัฐอเมริกาแทนจีนมากขึ้น ขณะที่การส่งออกของไทยและหลายประเทศไปจีนหดตัวจากการที่ประเทศเหล่านั้นอยู่ในห่วงโซ่อุปทานของจีน นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงสำคัญที่ไม่ได้รับการพูดถึงนัก คือ การค้าขายระหว่างจีนและอาเซียนที่เพิ่มขึ้นแทนที่สหรัฐอเมริกา (Export diversion) ซึ่งน่าจะสร้างผลกระทบที่มีนัยต่อการส่งออกของไทยเช่นกัน เพราะล่าสุดไทยส่งออกไปอาเซียนหดตัวมากกว่าไปจีน ซึ่งเป็นประเทศขนาดใหญ่ในสงครามการค้าครั้งนี้เสียอีก ดังนั้นจึงได้วิเคราะห์เพื่อให้เข้าใจถึงการเบนเข็มการส่งออกของจีนมายังตลาดอาเซียนว่าจะเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เห็นการส่งออกของไทยไปอาเซียนหดตัวมากในช่วงที่ผ่านมาหรือไม่และมีผลกระทบขนาดไหน
ในช่วงปีที่ผ่านมาบทบาททางการค้าของจีนกับภูมิภาคอาเซียนเพิ่มขึ้นชัดเจน โดยมาจากการเบนเข็มการส่งออกของจีนจากเดิมที่ไปสหรัฐอเมริกาเปลี่ยนไปเป็นที่อาเซียน มากกว่าที่อาเซียนสามารถทดแทนส่วนแบ่งตลาดสหรัฐอเมริกาในจีน จากข้อมูลการค้าของจีน (มูลค่าส่งออกและนำเข้า) พบว่าจีนค้าขายกับอาเซียนเพิ่มขึ้นจนทำให้อาเซียนแซงหน้าสหรัฐอเมริกามาเป็นคู่ค้าอันดับ 2 ของจีนได้ มาจากการที่จีนส่งออกไปอาเซียนเพิ่มขึ้นมากกว่าการที่จีนนำเข้าจากอาเซียน กล่าวคือ แม้จีนจะนำเข้าจากสหรัฐอเมริกาลดลงกว่า 26% ใน 9 เดือนแรกของปี 2562 แต่ก็ไม่ได้นำเข้าจากอาเซียนเพิ่มขึ้นมากนัก โดยขยายตัวเพียง 1% สะท้อนว่าอาเซียนไม่สามารถแย่งส่วนแบ่งตลาดสหรัฐอเมริกาในจีนได้ ในทางกลับกันการส่งออกของจีนไปอาเซียนที่ขยายตัวได้ถึง 9% สวนทางกับที่จีนส่งออกไปสหรัฐอเมริกาที่หดตัว 11% โดยจีนส่งออกไปเวียดนามและมาเลเซียเพิ่มขึ้นกว่า คู่ค้าอื่น โดยเฉพาะในสินค้าประเภทเดียวกับที่จีนเคยส่งออกไปสหรัฐอเมริกา อาทิ เครื่องจักรและอุปกรณ์ และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งสะท้อนการเบนเข็มของการส่งออกของจีนจากสหรัฐอเมริกามาอาเซียนได้ระดับหนึ่ง
สิ่งที่จะต้องคิดต่อไปคือไทยซึ่งมีการพึ่งพิงอาเซียนสูงจะเสียส่วนแบ่งการตลาดให้จีนหรือไม่ หากเปรียบเทียบพัฒนาการการนำเข้าของอาเซียนจากจีนและไทย จะเห็นว่ามีช่องว่างที่ห่างกันมากขึ้นในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา กล่าวคือ อาเซียนนำเข้าจากจีนมากขึ้น ขณะที่นำเข้าจากไทยน้อยลง โดยมีสินค้าหลายชนิดที่ไทยเสียส่วนแบ่งตลาดให้จีน คิดเป็น 47% ของการส่งออกจากไทยไปอาเซียน (หรือ 12% ของส่งออกรวมของไทย) อีกทั้งยังมีส่วนถึง 2 ใน 3 ของการหดตัวของการส่งออกไทยไปอาเซียนในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้ยังพบว่าสินค้าที่ไทยสูญเสียในตลาดอาเซียนจะกระจุกอยู่ในสินค้ากลุ่มเครื่องจักร อาหาร ปิโตรเคมี ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ รถยนต์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า เนื่องจากเป็นสินค้าที่จีนมีความสามารถในการแข่งขันมากกว่าหรือไล่เลี่ยกับไทย โดยกรณีเครื่องปรับอากาศ จีนครองแชมป์สัดส่วนตลาดโลกที่ 35% ในปี 2561 ขณะที่ไทยเป็นผู้ส่งออกอันดับสอง เช่นเดียวกับรถยนต์นั่งที่ไทยและจีนเป็นผู้ส่งออกในอันดับที่ใกล้เคียงกันคือ อันดับที่ 17 และ 19 ของโลกตามลำดับ ดังนั้นเมื่อประเทศขนาดใหญ่อย่างจีนส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาไม่ได้ จึงส่งออกมาที่ตลาดอาเซียนและสามารถแย่งส่วนแบ่งตลาดจากไทยได้ โดยทั้งสองสินค้านี้ไทยพึ่งพาตลาดอาเซียนเป็นอันดับหนึ่ง ดังนั้นการเบนเข็มการค้าของจีนมายังอาเซียนมากขึ้นนี้น่าจะทำให้ไทยได้รับผลกระทบพอสมควร ด้านการส่งออกข้าว ไทยครองส่วนแบ่งตลาดโลกเหนือจีน แต่กลับเสียส่วนแบ่งในตลาดอาเซียนให้กับจีน โดยอาจมาจากสาเหตุอื่นนอกเหนือจากสงครามการค้า เนื่องจากจีนมีการระบายสต๊อกข้าวในระยะหลัง อย่างไรก็ดีแม้ส่วนแบ่งการส่งออกข้าวของไทยในตลาดอาเซียนจะยังสูงอยู่ แต่ถือเป็นสินค้าที่ควรติดตามเช่นกัน เนื่องจากต้องเผชิญกับความท้าทายหลายด้านรวมถึงเรื่องการแข่งขันด้านราคาจากคู่แข่งสำคัญ
แนวโน้มการรุกตลาดอาเซียนของจีนดังกล่าวอาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ไม่ใช่เพียงผลของสงครามการค้าเพียงอย่างเดียว แต่ยังสะท้อนความเชื่อมโยงในภูมิภาคที่เพิ่มขึ้นจากอานิสงส์ของข้อตกลงทางการค้าระหว่างอาเซียนและจีนและห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาคที่ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่อดีต เห็นได้จากเขตการค้าเสรี (ASEAN-China FTA) ระหว่างอาเซียนและจีนที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2548 ซึ่งเป็น FTA ที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลกรองจากเขตเศรษฐกิจยุโรป (EEA) และข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (NAFTA) โดยปัจจุบัน 90% ของสินค้าที่จีนค้าขายกับอาเซียนอยู่ภายใต้ 0%-Tariff treatment ซึ่งรวมถึงสินค้าเกษตรบางชนิด รถยนต์นั่ง และเครื่องปรับอากาศ สอดคล้องกับแนวโน้มการเข้ามาตีตลาดของสินค้าจีนดังกล่าวที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ล่าสุดยังมีความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership: RCEP) ซึ่งถือเป็นอีกแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ช่วยสร้างรากฐานความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มประเทศในภูมิภาคและเปิดถนนของจีนสู่อาเซียนได้มากขึ้นในระยะต่อไป
บทบาทของจีนในภูมิภาคอาเซียนโดยเฉพาะในแง่ความเชื่อมโยงทางการค้าจะเพิ่มขึ้นในระยะต่อไป จากทั้งการรวมตัวทางเศรษฐกิจระหว่างกันและสงครามการค้าที่ยังคงดำเนินต่อไปในทิศทางที่เอื้อให้เกิดการเบนเข็มทางการค้าจากจีนมาอาเซียนมากขึ้น สภาพแวดล้อมทางการค้าดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงแรงกดดันต่อการส่งออกไทย แม้วัฏจักรเศรษฐกิจการค้าโลกจะมีทิศทางฟื้นตัวกลับมาก็ตาม หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงควรให้ความสำคัญกับตลาดอาเซียนไม่ใช่แค่ในฐานะคู่แข่งในการรับการลงทุนจากจีนอย่างเดียว แต่ในฐานะคู่ค้าสำคัญของไทยด้วย โดยควรให้น้ำหนักกับการเร่งรักษาและขยายฐานตลาดส่งออกสำคัญเดิมของไทยอย่างอาเซียน เพื่อนำพาภูมิภาคให้ฝ่ามรสุมสงครามการค้าไปด้วยกัน
_______________
* แหล่งที่มาของข้อมูล : ดร.บัณฑิต นิจถาวร เศรษฐศาสตร์บัณฑิต
กลุ่มข้อมูลและวางแผนสื่อสารองค์กร
ฝ่ายสื่อสารองค์กร