บทความวิเคราะห์รายงานทางเศรษฐกิจ (ประจำเดือนเมษายน 2562)
ข้อมูลเดือนกุมภาพันธ์ 2562 จากตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน จะเห็นว่าดัชนีราคาผู้บริโภคมีค่าสูงขึ้น เพราะราคาน้ำมันมีความผันผวนและมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น ในขณะที่ราคาสินค้าจำพวกอาหารสดยังทรงตัวและไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปเท่าไรนัก ส่งผลทำให้ราคามีการปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่วนภาคการผลิตมีการปรับตัวน้อยลง เนื่องจากผู้ประกอบการเริ่มชะลอการผลิตสินค้าลง ประกอบกับคำสั่งซื้อจากต่างประเทศได้ทยอยเข้ามาในช่วงก่อนหน้านั้นมากแล้ว จึงทำให้ในเดือนนี้มีการผลิตสินค้าหดตัวลดลงไป ในขณะเดียวกันดุลการค้าปรับตัวสูงขึ้นและยังมีทิศทางที่เป็นบวกอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการนำเข้ายังมีค่าที่ไม่สูงมากเท่าไรนัก จึงทำให้ไม่น่าเป็นห่วง อย่างไรก็ตามภาวะการเงินยังทรงตัวไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลง โดยปริมาณเงินฝากและเงินให้สินเชื่อมีค่ามากขึ้น เนื่องจากผลตอบแทนจาการลงทุนด้านอื่นๆ ยังมีค่าไม่มาก ทำให้ประชาชนไม่ได้มีการลงทุนมากเท่าไรนัก ส่งผลให้ประชาชนมีการออมเงินปรับตัวสูงขึ้นมา ในขณะที่การปล่อยสินเชื่อมีการปรับตัวเพิ่มขื้น เนื่องจากธนาคารได้ทยอยปล่อยสินเชื่อออกมา ส่งผลให้การปล่อยสินเชื่อมีการขยายตัวขึ้นมา แต่ก็ยังคงมีความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาหนี้เสียตามมาอีกด้วย
ตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน
|
รายละเอียด |
พฤศจิกายน 61 |
ะันวาคม 61 |
มกราคม 62 |
กุมภาพันธ์ 62 |
| ดัชนีราคาผู้บริโภค |
102.40 |
101.73 |
101.71 |
101.95 |
| ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม |
106.08 |
102.69 |
108.00 |
104.84 |
| อัตราการใช้กำลังการผลิต |
70.30 |
67.56 |
70.46 |
69.03 |
| ดุลการค้า |
663.94 |
2,456.84 |
-210.71 |
3,454.58 |
| ดุลบัญชีเดินสะพัด |
1,140.97 |
4,506.09 |
2,012.00 |
6,504.72 |
| เงินฝาก |
13,639.70 |
13,759.12 |
13,845.05 |
n.a. |
| เงินให้สินเชื่อ |
14,964.56 |
15,114.38 |
15,129.54 |
n.a. |
ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย
หมายเหตุ: ดัชนีราคาผู้บริโภค มีปีฐานคือ 2558 เงินฝาก/เงินให้สินเชื่อ มีหน่วยเป็น พันล้านบาท
อัตราการใช้กำลังการผลิต มีหน่วยเป็น ร้อยละ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม มีปีฐานคือ 2559
ดุลการค้า ดุลบัญชีเดินสะพัด มีหน่วยเป็น ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา
ภาวะอสังหาริมทรัพย์ เดือนกุมภาพันธ์ 2562
• ด้านอุปทาน
- ที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เปรียบเทียบ ณ ก.พ. 61 กับ 62 มีรายละเอียดดังนี้
|
ปี |
จำนวน(ยูนิต) |
การเติบโต(%) |
|
ณ ก.พ. 61 |
24,349 |
130.39% |
|
ณ ก.พ. 62 |
12,729 |
-47.72% |
ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
- ประเภทที่อยู่อาศัยที่มีการจดทะเบียน ณ ก.พ. 62 เรียงตามลำดับมีรายละเอียดดังนี้
|
ประเภท |
จำนวน(ยูนิต) |
สัดส่วน(%) |
|
อาคารชุด |
4,835 |
37.98 |
|
บ้านเดี่ยว |
4,493 |
35.30 |
|
ทาวน์เฮ้าส์ |
3,069 |
24.11 |
|
อาคารพาณิชย์ |
272 |
2.14 |
|
บ้านแฝด |
60 |
0.47 |
|
รวม |
12,729 |
100.00 |
ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
• ด้านอุปสงค์
-การโอนกรรมสิทธิ์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เปรียบเทียบ ณ ก.พ. 61 กับ 62 มีรายละเอียดดังนี้
|
ปี |
จำนวน(ยูนิต) |
การเติบโต(%) |
|
ณ ก.พ. 61 |
23,270 |
40.53% |
|
ณ ก.พ. 62 |
25,877 |
11.20% |
ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
-ประเภทที่อยู่อาศัยที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ ณ ก.พ. 62 เรียงตามลำดับมีรายละเอียดดังนี้
|
ประเภท |
จำนวน(ยูนิต) |
สัดส่วน(%) |
|
อาคารชุด |
12,296 |
47.52 |
|
ทาวน์เฮ้าส์ |
7,683 |
29.69 |
|
บ้านเดี่ยว |
3,730 |
14.42 |
|
อาคารพาณิชย์ |
1,326 |
5.12 |
|
บ้านแฝด |
842 |
3.25 |
|
รวม |
25,877 |
100.00 |
ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
- อัตราดอกเบี้ยที่อยู่อาศัยบุคคลทั่วไปลอยตัวเฉลี่ยของ 6 ธนาคารใหญ่ มีรายละเอียดดังนี้
|
ปี 62 |
อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย |
อัตราดอกเบี้ยนโยบาย ธปท. |
|
มกราคม-กุมภาพันธ์ |
6.27 |
1.75 |
ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
หมายเหตุ: 6 ธนาคาร ประกอบ ธ.อาคารสงเคราะห์, ธ.กสิกรไทย, ธ.กรุงเทพ,
ธ.กรุงศรีอยุธยา, ธ.กรุงไทย และ ธ.ไทยพาณิชย์
สรุปภาพรวมภาวะอสังหาริมทรัพย์เดือนกุมภาพันธ์ 2562
ภาพรวมของอุปทานมีการปรับตัวลดลง 47.72% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจมีอัตราเติบโตที่ค่อนข้างทรงตัว ประกอบกับภาวะการเมืองที่อยู่ในช่วงเลือกตั้ง ทำให้ผู้ประกอบการต่างรอดูสถานการณ์ไปก่อนว่าภายหลังการเลือกตั้งแล้วจะเป็นอย่างไรบ้าง ส่งผลให้อุปทานในตลาดมีการหดตัวลงมา ในขณะที่ทางด้านอุปสงค์ปรับตัวเพิ่มขึ้น 11.20% เพราะมีการเร่งโอนให้ทันกับมาตรการ LTV ของธนาคารแห่งประเทศไทยที่เริ่มดำเนินการใช้ในเดือนเมษายน รวมไปถึงผู้บริโภคยังมีความต้องการซื้อ ทั้งนี้ที่อยู่อาศัยประเภทอาคารชุดยังมียอดการโอนกรรมสิทธิ์มากที่สุด รองลงมาคือ ทาวน์เฮ้าส์ และบ้านเดี่ยว ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่อยู่อาศัยทรงตัวที่ 6.27% โดยที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายมีค่าอยู่ที่ 1.75%
วิเคราะห์ตลาดเงินกับความกังวลต่อเศรษฐกิจถดถอย*
ความห่วงใยของตลาดการเงินต่อภาวะเศรษฐกิจโลกและความเสี่ยงของการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับลดลง ความห่วงใยนี้มาจากตัวเลขเศรษฐกิจเดือนมีนาคมที่สะท้อนการอ่อนตัวของการผลิตและภาวะเศรษฐกิจในสหรัฐและยุโรป เช่น ตัวเลขภาวะการผลิตภาคอุตสาหกรรมสหรัฐปรับลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 21 เดือน ตัวเลขการผลิตภาคอุตสาหกรรมในเยอรมันลดลงจากระดับ 52.8 เดือนกุมภาพันธ์ เป็น 51.5 เดือนมีนาคม ดึงให้ตัวเลขการผลิตรวมของกลุ่มประเทศยุโรโซนลดลงมากที่สุดในรอบห้าปี จากระดับ 45.4 เดือนกุมภาพันธ์ เป็น 43.7 เดือนมีนาคม ล่าสุดตัวเลขจีดีพีสหรัฐไตรมาสสี่มีการปรับลดลงเหลือร้อยละ 2.2 ข้อมูลเหล่านี้ย้ำถึงสถานการณ์อ่อนตัวของเศรษฐกิจโลกที่เป็นขาลง
แต่ที่ตลาดการเงินโลกเริ่มกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับความเสี่ยงของการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยก็มาจากปรากฎการณ์ของสัญญาณสองสามอย่างที่มักชี้นำภาวะเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งหมายถึงภาวะที่การขยายตัวของเศรษฐกิจเปลี่ยนจากขยายตัวเป็นหดตัว และอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจติดลบติดต่อกันมากกว่าสอง ไตรมาส สัญญาณเหล่านี้ได้แก่
1. ภาวะในตลาดพันธบัตรที่การลงทุนในพันธบัตรระยะยาวให้ผลตอบแทนต่ำกว่าการลงทุนในพันธบัตรระยะสั้น ซึ่งตรงข้ามกับภาวะปรกติที่การลงทุนระยะยาว เช่น การฝากเงินระยะยาวควรให้ผลตอบแทนหรืออัตราดอกเบี้ยสูงกว่าเงินฝากหรือการลงทุนระยะสั้น ภาวะกลับทางนี้เกิดจากการที่นักลงทุนขาดความมั่นใจในภาวะเศรษฐกิจระยะสั้น จึงหันไปลงทุนในพันธบัตรระยะยาว ราคาพันธบัตรระยะยาวจึงปรับสูงขึ้น กดดันให้ผลตอบแทนต่อการลงทุนในพันธบัตรระยะยาวลดลง และขณะนี้ลดลงมากจนต่ำกว่าผลตอบแทนจากการลงทุนในพันธบัตรระยะสั้น ล่าสุดผลตอบแทนในการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐสิบปีให้ผลตอบแทนร้อยละ 2.389 เทียบกับร้อยละ 2.410 ของการลงทุนในตั๋วเงินรัฐบาลสหรัฐสามเดือน ปรากฎการณ์ลักษณะนี้ถือเป็นสัญญาณล่วงหน้าที่วิเคราะห์ชี้นำการเกิดขึ้นของภาวะเศรษฐกิจถดถอย พิจารณาจากข้อมูลตลาดช่วง 60 ปีที่ผ่านมา รวมถึงสะท้อนภาวะที่นักลงทุนมองโลกในแง่ร้าย (pessimissm)
2. ภาวะมองโลกในแง่ร้ายในภาคการผลิต สะท้อนจากตัวเลขการคาดการณ์กำไรในอนาคตที่มีการปรับลดลงมากขึ้นในภาคธุรกิจ ล่าสุดผลสำรวจของสมาคมเศรษฐศาสตร์ธุรกิจแห่งชาติของสหรัฐเปิดเผยว่า ร้อยละ 58 ของผู้บริหารธุรกิจในสหรัฐคาดว่าอัตรากำไร (profit-margin) ในธุรกิจของตนจะลดลงโดยเป็นผลจากต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้น การเพิ่มของต้นทุนบวกกับเศรษฐกิจขาลงทำให้มีข่าวบริษัทธุรกิจเริ่มปรับประมาณการกำไรของบริษัทลง ล่าสุดก็เช่น ซัมซุงและจีอี
3. การมองโลกในแง่ร้ายของผู้บริโภคหรือภาคครัวเรือนที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทั้งในสหรัฐและเยอรมนีปรับลดลงในเดือนมีนาคม ของสหรัฐดัชนีปรับลดลงจากระดับ 131.4 เดือนกุมภาพันธ์ เป็น 124.1 เดือนมีนาคม จากที่ผู้บริโภคเริ่มขาดความเชื่อมั่นต่อสถานการณ์เศรษฐกิจระยะข้างหน้า เมื่อความเชื่อมั่นอ่อนแอ การใช้จ่ายของภาคครัวเรือนก็จะอ่อนแอ ทำให้เศรษฐกิจยิ่งอ่อนแอ
สัญญาณเหล่านี้ทำให้นักวิเคราะห์ปรับประมาณการเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ปีนี้ลงทั่วหน้า ล่าสุด ธนาคารแห่งประเทศไทยปรับประมาณการการขยายตัวของเศรษฐกิจปีนี้ลงเป็นร้อยละ 3.8 จากร้อยละ 4.0 และให้ปีหน้าขยายตัวร้อยละ 3.9 กองทุนการเงินระหว่างประเทศปรับประมาณเศรษฐกิจโลกปีนี้ลงเป็นร้อยละ 3.5 และให้ขยายตัวร้อยละ 3.6 ปีหน้า ที่ต้องตระหนักในตัวเลขเหล่านี้ก็คือ ตัวเลขประมาณการเศรษฐกิจส่วนใหญ่ขณะนี้ยังเป็นบวก ชี้ว่านักวิเคราะห์และผู้ทำนโยบายไม่ได้มองว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยจะเกิดในปีนี้และปีหน้า แต่อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจปีนี้จะลดลงจากที่ประมาณไว้เดิม เป็นผลจากที่เศรษฐกิจทั่วโลกได้อ่อนตัวลง
ในทางเศรษฐศาสตร์ การอ่อนตัวของเศรษฐกิจเป็นเรื่องปรกติ เพราะเศรษฐกิจจะมีขาขึ้นและขาลง ขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจโลกและการดำเนินนโยบายภายในประเทศ และการอ่อนตัวของเศรษฐกิจจะเปลี่ยนเป็นภาวะเศรษฐกิจถดถอยก็ต่อเมื่อมีปัจจัยพิเศษเข้ามากระทบ ทำให้การอ่อนตัวของเศรษฐกิจมีความรุนแรงจนกลายเป็นเศรษฐกิจถดถอย กรณีของไทยสองครั้งสุดท้ายที่เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยก็คือ ช่วงปี 1998 หลังเกิดวิกฤตเศรษฐกิจเอเชียปี 1997 และตอนเกิดภาวะน้ำท่วมใหญ่ปี 2011 ที่ทำให้การขยายตัวของเศรษฐกิจใน ไตรมาสสี่ติดลบ ดึงให้อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยปี 2011 ลดลงต่ำเหลือเพียงร้อยละ 0.1 ดังนั้นถ้าไม่มีปัจจัยพิเศษใดๆ เข้ามากระทบเศรษฐกิจไทยรวมถึงปัจจัยการเมืองในประเทศที่สร้างแรงกระทบทางลบมากๆ สิ่งที่นักลงทุนควรห่วงในปีนี้ไม่ใช่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย แต่เป็นการอ่อนตัวของเศรษฐกิจที่อาจชะลอลงมากกว่าที่ประเมินกันขณะนี้ จากสามปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามใกล้ชิดดังนี้
1. เศรษฐกิจโลกที่กำลังเป็นขาลง ที่จะกระทบการส่งออกและการท่องเที่ยวซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทย ความเสี่ยงคือเศรษฐกิจโลกอาจชะลอตัวมากขึ้นจากนี้ไป ทั้งจากการชะลอตัวของประเทศหลักอย่างสหรัฐ จีน และยุโรป จากภาวะมองโลกในแง่ร้ายในตลาดการเงิน ภาคธุรกิจและผู้บริโภค และจากความไม่แน่นอนด้านนโยบายที่มีอยู่ เช่น กรณีสงครามการค้าและBrexit ที่ยังไม่มีทางออก
2. การอ่อนตัวของการใช้จ่ายในประเทศซึ่งเป็นผลจากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดที่ประเทศไทยมีต่อเนื่อง การเกินดุลบัญชีเดินสะพัดแสดงว่าเศรษฐกิจออมมากกว่าลงทุน และที่เศรษฐกิจไทยออมมากส่วนหนึ่งก็โยงกับปัญหาความเหลื่อมล้ำที่คนที่รวยมีรายได้ ซึ่งเป็นคนส่วนน้อยไม่ใช้จ่ายและเป็นผู้ออม ขณะที่คนส่วนใหญ่ไม่ออมเพราะมีรายได้ไม่พอใช้จ่าย นอกจากนี้ก็มีปัญหาประชากรสูงวัยที่ทำให้คนมีอายุใช้จ่ายน้อยลงและเก็บออมมากขึ้น แต่เงินออมที่เพิ่มขึ้นในระบบเศรษฐกิจไม่ได้ถูกนำไปลงทุน ส่วนหนึ่งเพราะความไม่แน่นอนในสถานการณ์การเมืองของประเทศ ทำให้นักลงทุนชะลอไม่ตัดสินใจลงทุน อีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะความล่าช้าในการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ ทำให้ภาคธุรกิจขาดแรงจูงใจที่จะลงทุนสร้างฐานการผลิตใหม่ภายใต้โครงสร้างพื้นฐานเก่า นอกจากนี้ก็มีปัญหาเดิมของการขาดแคลนแรงงานที่มีคุณภาพ เหล่านี้ทำให้ประเทศไทยไม่มีการลงทุน ผลคือการใช้จ่ายในประเทศหรือกำลังซื้อในประเทศอ่อนแอ ทั้งการบริโภคและการลงทุนไม่สามารถเป็นปัจจัยกระตุ้นเศรษฐกิจได้
3. สองปัจจัยที่ได้พูดถึง ทำให้เศรษฐกิจไทยอ่อนไหวง่ายต่อแรงกระทบจากเศรษฐกิจโลก เพราะไม่มีความเข้มแข็งของกำลังซื้อในประเทศเป็นตัวเสริมหรือเป็นกันชน ทางแก้ไขก็คือ ภาครัฐดำเนินนโยบายกระตุ้นไม่ให้เศรษฐกิจทุรดตัวลงง่ายเกินไป ซึ่งต้องอาศัยการดำเนินนโยบายที่ตรงจุดและทันเวลา แต่ขณะนี้ไม่ชัดเจนว่า จะตั้งรัฐบาลได้เมื่อไร และรัฐบาลที่เข้ามาใหม่จะสามารถปรับกลยุทธ์เพื่อรับมือกับความเสี่ยงเหล่านี้ได้อย่าง ทันการและมีประสิทธิภาพหรือไม่ เป็นอีกมิติหนึ่งของความไม่แน่นอนในเศรษฐกิจไทยปีนี้
โดยสรุปเศรษฐกิจถดถอยยังไม่ใช่ความเสี่ยงหลักของเศรษฐกิจไทยโดยเฉพาะในปีนี้ แต่ความเสี่ยงหลักอยู่ที่เศรษฐกิจอาจขยายตัวต่ำมากในปีนี้ ซึ่งจะทำให้สภาพความเป็นอยู่ของคนไทยส่วนใหญ่ยิ่งลำบากมากขึ้น และเป็นประเด็นที่น่าห่วงกว่ามากในขณะนี้
วิเคราะห์การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย
การเปลี่ยนผ่านจากโลกในศตวรรษที่ 20 มาสู่ศตวรรษที่ 21 เป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างครั้งสำคัญ การสื่อสารผ่านอินเตอร์เน็ตและการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยีทำให้บริบทการแข่งขันในยุคปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และจากรายงานผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศทั่วโลกที่จัดทำโดย World Economic Forum หรือ WEF พบว่าผลการจัดอันดับของประเทศไทยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา แม้ว่าจะคงที่อยู่ในลำดับที่ 3 ของภูมิภาคอาเซียน แต่อันดับของประเทศเพื่อนบ้านต่างมีการเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดีขึ้นเป็นอย่างมาก
จากการวิเคราะห์ข้อมูลพบข้อเท็จจริงที่น่าสนใจคือ ปัจจุบันทั่วโลกต่างมุ่งพัฒนา “ความได้เปรียบเชิงแข่งขัน (Competitive Advantage)” ด้วยนวัตกรรม ความคิดสร้างสรรค์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อทดแทน “ความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบ (Comparative Advantage)” จากปัจจัยการผลิตและทรัพยากรธรรมชาติ แต่ประเทศไทยกลับต้องประสบอุปสรรคสำคัญใน 5 ด้าน ได้แก่
(1) การสร้างเทคโนโลยีและนวัตกรรม
(2) การพัฒนาบุคลากร
(3) ระบบโครงสร้างพื้นฐาน
(4) การพัฒนากลุ่มอุตสาหกรรม (Cluster)
(5) กฎระเบียบข้อบังคับที่เป็นอุปสรรค
ดังนั้นจึงมีข้อเสนอแนะสำหรับเป็นแนวทางในการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยโดยมีละเอียดดังต่อไปนี้
ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม
ภาครัฐควรมุ่งเน้นการส่งเสริมสภาพแวดล้อมและระบบนิเวศเพื่อเชื่อมโยงกิจกรรมการวิจัยและพัฒนา โดยการจัดตั้งศูนย์การวิจัยร่วมกับบริษัทชั้นนำต่างๆ หรือการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนระหว่างภาคเอกชน สถาบันการศึกษาและสถาบันการวิจัย รวมถึงกำหนดบทบาทให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการวางกรอบยุทธศาสตร์การวิจัยของประเทศ การจัดสรรงบประมาณและคัดเลือกโครงการนวัตกรรมหรือเทคโนโลยีที่สามารถนำไปต่อยอด และก่อให้เกิดมูลค่าเชิงพาณิชย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมแห่งอนาคตหรือการเกษตรกรรม ซึ่งประเทศไทยมีความได้เปรียบเนื่องจากมีความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรดินและแหล่งน้ำเป็นต้นทุนเดิม
ด้านทรัพยากรมนุษย์
พิจารณาแนวทางการพัฒนาการศึกษาและทักษะแรงงานจากตัวอย่างของประเทศที่ประสบผลสำเร็จ เช่น การจัดทำโครงการ Skills Future ร่วมกับแผนยุทธศาสตร์อุตสาหกรรม Industry Transformation Maps ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐ บริษัทเอกชนและสถาบันการศึกษาของประเทศสิงคโปร์ การพัฒนาบุคลากรสายอาชีวะ โดยการนำระบบการศึกษาแบบคู่ขนาน (Dual Education) ตามแนวทาง “เรียนรู้-รู้จริง-ลงมือทำจริง” ของประเทศเยอรมันและญี่ปุ่นมาเป็นต้นแบบ และการพัฒนาอาชีพครูของประเทศฟินแลนด์ที่เริ่มตั้งแต่การคัดเลือกบุคลากรที่มีคุณภาพ การให้ผลตอบแทนที่จูงใจ และการอบรมให้มีความรู้ด้านจิตวิทยาและทักษะที่จำเป็นอย่างต่อเนื่อง
ด้านโครงสร้างพื้นฐานโลจิสติกส์และพลังงาน
ภาครัฐควรเร่งลงทุนในโครงการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมและดิจิทัลตามแผนงานที่วางไว้ เพื่อสร้างความเชื่อมโยงกับภูมิภาคและยุทธศาสตร์ Belt and Road Initiatives ตลอดจนส่งเสริมการเปิดเสรีด้านพลังงานเพื่อให้มีการนำนวัตกรรมใหม่ๆ มาใช้ในการผลิตและจัดหาพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ
ด้านการพัฒนากลุ่มธุรกิจ
กำหนดมาตรการสิทธิประโยชน์ทั้งทางภาษีและไม่ใช่ภาษี อาทิ การจัดตั้งเขตส่งเสริมเพื่อกิจการอุตสาหกรรมเป้าหมายการดึงดูดบริษัทชั้นนำที่มีคุณสมบัติครบถ้วนให้เข้ามาลงทุนในประเทศ เพื่อเป็นแม่เหล็กสำคัญที่จะส่งเสริมให้เกิดการพัฒนากลุ่มธุรกิจ และยกระดับความสามารถของผู้ประกอบการชาวไทยที่อยู่ในห่วงโซ่คุณค่าของอุตสาหกรรมนั้นๆ
ด้านกฎระเบียบ
สร้างนวัตกรรมด้านกฎระเบียบ โดยการเร่งปรับปรุงหรือยกเลิกกฎหมายข้อบังคับที่ล้าสมัยหรือเป็นอุปสรรค โดยลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็นเพื่อไม่ให้เป็นภาระแก่ภาคธุรกิจและประชาชน อันจะช่วยลดระยะเวลาและค่าใช้จ่ายการดำเนินงานลงได้
ทั้งนี้รัฐบาลก็ตระหนักถึงความเร่งด่วนดังกล่าวจึงได้กำหนดให้มีนโยบายประเทศไทย 4.0 และยุทธศาสตร์ชาติเพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยในช่วงการเปลี่ยนผ่านของยุคดิจิทัลนี้ อย่างไรก็ตามปัจจัยสำคัญที่จะเป็นตัวกำหนดความสำเร็จของการดำเนินงานตามแผนงานต่างๆ คือ คณะทำงานกลางตามแนวคิดของ Performance Management and Delivery Unit (PEMANDU) ซึ่งคณะกรรมการหรือหน่วยงานดังกล่าวจะมีสายการบังคับบัญชาและรายงานต่อนายกรัฐมนตรี โดยควรมีหน้าที่หลักในการขับเคลื่อนและประสานงานกับหน่วยงานหรือกระทรวงต่างๆ ตลอดจนการติดตามประเมินผลเพื่อผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริงตามนโยบายและยุทธศาสตร์ที่กำหนดไว้ อันจะนำไปสู่การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยได้อย่างแท้จริงต่อไปนั่นเอง
_______________
* แหล่งที่มาของข้อมูล : ดร.บัณฑิต นิจถาวร คอลัมนิสต์ประจำคอลัมน์ "เศรษฐศาสตร์บัณฑิต"
กลุ่มข้อมูลและวางแผนสื่อสารองค์กร
ฝ่ายสื่อสารองค์กร