หน้าหลัก > บทความเศรษฐกิจ > บทความวิเคราะห์รายงานทางเศรษฐกิจ (ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2562)

บทความวิเคราะห์รายงานทางเศรษฐกิจ (ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2562)

บทความวิเคราะห์รายงานทางเศรษฐกิจ (ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2562)


          ข้อมูลเดือนธันวาคม 2561 จากตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน จะเห็นว่าดัชนีราคาผู้บริโภคมีค่าน้อยลง เพราะราคาน้ำมันมีการปรับตัวลดลงมาอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ราคาสินค้าจำพวกอาหารสดไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปเท่าไรนัก ส่งผลทำให้ราคามีการปรับตัวลดลงมา ส่วนภาคการผลิตมีการปรับตัวลดลง เนื่องจากผู้ประกอบการได้เร่งการผลิตสินค้าออกมาในช่วงก่อนหน้า ประกอบกับคำสั่งซื้อจากต่างประเทศมีการชะลอตัวลงไปตามภาวะการค้าโลกที่ยังมีความไม่แน่นอนอยู่ จึงทำให้ในเดือนนี้มีการผลิตสินค้าออกมาได้น้อยลง ในขณะเดียวกันดุลการค้าปรับตัวสูงขึ้นและยังมีทิศทางที่เป็นบวกอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการนำเข้ายังมีการปรับลดลงไปค่อนข้างมาก จึงทำให้ไม่น่าเป็นห่วง อย่างไรก็ตามภาวะการเงินยังทรงตัวไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลง โดยปริมาณเงินฝากและเงินให้สินเชื่อมีค่าลดลง เนื่องจากธนาคารไม่ได้มีการออกแคมเปญใหม่ๆ ออกมา ทำให้ประชาชนไม่ได้มีการนำเงินมาฝากมากเท่าไรนัก ส่งผลให้ประชาชนมีการออมเงินที่ลดลงไป ในขณะที่การปล่อยสินเชื่อมีการปรับตัวน้อยลง เนื่องจากธนาคารได้เร่งปล่อยสินเชื่อออกมาไปในช่วงก่อนหน้าจึงมีการชะลอการปล่อยสินเชื่อลดลงไป ส่งผลให้การปล่อยสินเชื่อมีการหดตัวลง รวมทั้งยังคงมีความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาหนี้เสียตามมาอีกด้วย

ตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน

รายละเอียด

 กันยายน 61

ตุลาคม 61

พฤศจิกายน 61

ธันวาคม 61

ดัชนีราคาผู้บริโภค

102.57

102.63

102.40

101.73

ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม

111.00

116.43

117.95

111.22

อัตราการใช้กำลังการผลิต

66.09

68.86

69.31

66.88

ดุลการค้า

1,962.73

1,255.48

664.46

2,483.98

ดุลบัญชีเดินสะพัด

2,363.66

1,887.61

1,632.47

5,026.81

เงินฝาก

13,419.13

13,672.25

13,639.70

n.a.

เงินให้สินเชื่อ

15,095.26

15,200.70

14,964.56

n.a.

ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย
                             หมายเหตุ: ดัชนีราคาผู้บริโภค มีปีฐานคือ 2558  เงินฝาก/เงินให้สินเชื่อ มีหน่วยเป็น พันล้านบาท
                                                  อัตราการใช้กำลังการผลิต มีหน่วยเป็น ร้อยละ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม มีปีฐานคือ 2554 
                       ดุลการค้า ดุลบัญชีเดินสะพัด มีหน่วยเป็น ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา

ภาวะอสังหาริมทรัพย์ เดือนธันวาคม 2561
     • ด้านอุปทาน
        - ที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เปรียบเทียบ ณ ธ.ค. 60 กับ 61 มีรายละเอียดดังนี้

ปี

จำนวน(ยูนิต)

การเติบโต(%)

ณ ธ.ค. 60

114,503

-12.26%

ณ ธ.ค. 61

122,877

7.31%

ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์

       - ประเภทที่อยู่อาศัยที่มีการจดทะเบียน ณ ธ.ค. 61 เรียงตามลำดับมีรายละเอียดดังนี้

ประเภท

จำนวน(ยูนิต)

สัดส่วน(%)

อาคารชุด

65,808

53.56

บ้านเดี่ยว

32,787

26.68

ทาวน์เฮ้าส์

18,190

14.80

อาคารพาณิชย์

3,960

3.22

บ้านแฝด

2,132

1.74

รวม

122,877

100.00

ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์


     • ด้านอุปสงค์
        -การโอนกรรมสิทธิ์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เปรียบเทียบ ณ ธ.ค. 60 กับ 61 มีรายละเอียดดังนี้

ปี

จำนวน(ยูนิต)

การเติบโต(%)

ณ ธ.ค. 60

163,468

-6.76%

ณ ธ.ค. 61

196,630

20.29%

ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์

       -ประเภทที่อยู่อาศัยที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ ณ ธ.ค. 61 เรียงตามลำดับมีรายละเอียดดังนี้

ประเภท

จำนวน(ยูนิต) 

สัดส่วน(%)

อาคารชุด

97,319

49.49

ทาวน์เฮ้าส์

55,812

28.38

บ้านเดี่ยว

27,153

13.81

อาคารพาณิชย์

9,414

4.79

บ้านแฝด

6,932

3.53

รวม

196,630

100.00

ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์

 

  • สินเชื่อที่อยู่อาศัยปล่อยใหม่บุคคลทั่วไปของสถาบันการเงินทั้งระบบ
    - สินเชื่อที่อยู่อาศัยปล่อยใหม่ ณ ไตรมาส 4 ปี 61 มีจำนวนทั้งสิ้น 207,462 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้น 0.02% จาก ณ ไตรมาส 4 ปี 60 ที่สามารถปล่อยสินเชื่อได้ 207,430 ล้านบาท

  •  สินเชื่อที่อยู่อาศัยคงค้างบุคคลทั่วไปของสถาบันการเงินทั้งระบบ
    - สินเชื่อที่อยู่อาศัยคงค้างบุคคลทั่วไป ณ ไตรมาส 4 ปี 61 มีจำนวนทั้งสิ้น 3,795,058 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้น 7.66% จาก ณ ไตรมาส 4 ปี 60 ที่มียอดคงค้างทั้งสิ้นอยู่ที่ 3,525,103 ล้านบาท

  • อัตราดอกเบี้ยที่อยู่อาศัยบุคคลทั่วไปลอยตัวเฉลี่ยของ 6 ธนาคารใหญ่ มีรายละเอียดดังนี้

ปี 61

อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย
6 ธนาคาร

อัตราดอกเบี้ยนโยบาย ธปท.

มกราคม-มีนาคม

6.31

1.50

เมษายน

6.35

1.50

พฤษภาคม-พฤศจิกายน

6.27

1.50

ธันวาคม

6.27

1.75

ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
                      หมายเหตุ: 6 ธนาคาร ประกอบ ธ.อาคารสงเคราะห์, ธ.กสิกรไทย, ธ.กรุงเทพ, 
             ธ.กรุงศรีอยุธยา, ธ.กรุงไทย และ ธ.ไทยพาณิชย์

 

สรุปภาพภาวะอสังหาริมทรัพย์เดือนธันวาคม 2561

          ภาพรวมของอุปทานมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น 7.31% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจมีทิศทางเติบโตในระดับที่น่าพอใจ ประกอบกับภาครัฐมีการลงทุนในโครงการต่างๆ ให้เป็นไปตามเป้าที่วางไว้ ทำให้ผู้ประกอบการมั่นใจและพัฒนาโครงการอยู่ต่อไป ส่งผลให้อุปทานในตลาดมีการปรับตัวสูงขึ้น ในขณะที่ทางด้านอุปสงค์ปรับตัวเพิ่มขึ้น 20.29% เพราะสถาบันการเงินมีการปล่อยสินเชื่อตามแนวโน้มเศรษฐกิจที่ยังขยายตัว แต่ก็มีความระมัดระวังเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับหนี้ด้อยคุณภาพตามมา รวมไปถึงผู้บริโภคยังมีความต้องการซื้อ ทั้งนี้ที่อยู่อาศัยประเภทอาคารชุดยังมียอดการโอนกรรมสิทธิ์มากที่สุด รองลงมาคือ ทาวน์เฮ้าส์ และบ้านเดี่ยว ส่วนสินเชื่อที่อยู่อาศัยมีการขยายตัวตามภาวะเศรษฐกิจที่ปรับตัวไปในทิศทางที่ดี ส่งผลทำให้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.02% ณ ไตรมาส 4 ปี 61 ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่อยู่อาศัยทรงตัวที่ 6.27% โดยที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายปรับสูงขึ้นมาอยู่ที่ 1.75%

 

วิเคราะห์ความพร้อมของธุรกิจการเชื่อมต่อระบบของไทยกับการผลิตในยุคดิจิทัลและ AI*

         

          ปัญญาประดิษฐ์ หรือ Artificial Intelligence (AI) คือเทคโนโลยีที่กำลังได้รับความสนใจเพิ่มมากขึ้นจากคนทั่วโลก กำลังเข้ามามีบทบาทและส่วนสำคัญในการเสริมศักยภาพให้กับอุตสาหกรรมการผลิต ปัจจุบันมีการนำเทคโนโลยี AI มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุน ยืดอายุการใช้งานของเครื่องจักร บริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน ตลอดจนควบคุมคุณภาพและความปลอดภัยในโรงงาน โดยมีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI (AI application) ที่น่าสนใจหลากหลายด้านเช่น AI-enhanced predictive maintenance, Digital twin, AI-enhanced supply chain management และ human-robot collaborative ทั้งนี้การพัฒนาหรือนำ AI มาประยุกต์ใช้ในโรงงานที่เห็นโดยทั่วไปมีอยู่ 2 รูปแบบ คือ
          1. การพัฒนาระบบ AI และ AI application ขึ้นมาเองเพื่อใช้ในโรงงานของตน รูปแบบนี้จะพบเห็นได้ในองค์กรขนาดใหญ่อย่าง Siemens, General Electric และ Hitachi เป็นต้น เนื่องจากองค์กรเหล่านี้มีองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีสมัยใหม่ และมีหน่วยเฉพาะด้าน IT จึงสามารถพัฒนาเทคโนโลยีของตนเองได้
          2. การประยุกต์ใช้ระบบ AI และ AI application ซึ่งรูปแบบนี้จะเหมาะกับองค์กรหรือโรงงานที่ไม่มีความสามารถในการพัฒนาระบบ AI ขึ้นมาเอง ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่มีหน่วยงานเฉพาะด้าน IT ภายในจึงจำเป็นต้องพึ่งพาระบบ AI และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องจากบริษัทเจ้าของเทคโนโลยี ซึ่งอาจเกิดปัญหาในการสื่อสารหรือเชื่อมต่อระบบระหว่างเครื่องจักรเดิมของโรงงานและเทคโนโลยี AI ที่นำมาใช้ ทำให้จำเป็นต้องใช้บริการจากหน่วยงานที่ให้บริการด้านการเชื่อมต่อระบบและเทคโนโลยีต่างๆ หรือ System Integrator (SI) เข้ามาช่วยจัดการกับปัญหาดังกล่าว สำหรับในไทยเนื่องจากไม่ใช่ผู้นำในการพัฒนาเทคโนโลยีด้าน IT การประยุกต์ใช้ระบบ AI ส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปแบบที่ 2 จึงเป็นไปได้ยากที่จะเกิดการพัฒนาระบบ AI ของตนเองมาใช้ ส่งผลให้ SI เข้ามามีบทบาทที่สำคัญในการนำเทคโนโลยี AI มาประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตของไทย

 

          การพัฒนาเทคโนโลยีในระบบ automation และ AI ในปัจจุบัน เป็นปัจจัยหนุนหลักที่ทำให้ความต้องการผู้ให้บริการด้าน SI ที่มีความเชี่ยวชาญด้าน AI มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทั่วโลก ผลสำรวจบริษัทในยุโรปของ T-system จำนวน 240 แห่งพบว่า 70% มีความต้องการใช้ระบบ AI เพื่อควบคุมการบำรุงรักษาเครื่องจักร การสั่งซื้อวัตถุดิบและชิ้นส่วน รวมถึงการจัดการในระบบห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งกว่า 85% ต้องการใช้บริการจากผู้ให้บริการ SI ที่มีความชำนาญเฉพาะด้าน AI ขณะที่ผู้ประกอบการในสหรัฐฯ อย่าง Rockwell ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตเครื่องจักรระบบ automation รายใหญ่ในสหรัฐฯ มองว่าผู้ให้บริการ SI จะมีบทบาทสำคัญต่อการปรับใช้เครื่องจักรและระบบ automation มากขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคต โดยพบว่าในปี 2016 70% ของยอดขายเครื่องจักรระบบ automation ของRockwell เป็นการขายผ่านผู้ให้บริการ SI ซึ่ง 40% เป็นผู้ให้บริการ SI ที่ไม่ใช่บริษัทในเครือ นอกจากนี้ในประเทศที่กำลังประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานอย่างญี่ปุ่นก็มีความต้องการบุคลากรด้าน SI เพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยพบว่าในปี 2017 ญี่ปุ่นมียอดปริมาณการสั่งซื้อหุ่นยนต์และเครื่องจักรระบบ automation มากถึง 45,500 ยูนิต ในขณะที่มีผู้ให้บริการ SI ด้าน AI และหุ่นยนต์มีเพียง 200 บริษัทเท่านั้น เช่นเดียวกับไทยที่คาดการณ์ว่าในช่วง 5 ปีข้างหน้า มูลค่าตลาดที่ธุรกิจ SI จะได้รับจากโครงการประยุกต์ใช้ AI ในอุตสาหกรรมการผลิตมีโอกาสที่จะมีมูลค่ารวมสูงสุดอยู่ที่ราว 45,000 ล้านบาท โดยได้รับอานิสงส์หลักจากการปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัลและ AI ของอุตสาหกรรมขนาดใหญ่อย่างอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและเครื่องดื่ม ซึ่งเป็น 2 อุตสาหกรรมที่มีศักยภาพในการนำเทคโนโลยี AI มาใช้งานได้ก่อนอุตสาหกรรมอื่นๆ เนื่องจากทั้ง 2 อุตสาหกรรมนี้ต้องมีการผลิตต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง จึงจำเป็นต้องใช้ระยะเวลาในการซ่อมบำรุงประจำปีให้น้อยที่สุด ซึ่งโดยปกติแล้วจะมีกำหนดตารางและระยะเวลาการซ่อมบำรุง หรือ downtime ที่ชัดเจนเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อกระบวนการผลิต นอกจากนี้ทั้ง 2 อุตสาหกรรมดังกล่าวยังมีปริมาณการใช้เครื่องจักรและอุปกรณ์มากกว่าการพึ่งพาแรงงานมนุษย์ในกระบวนการผลิต ทำให้สามารถจัดเก็บข้อมูลต่างๆ ในกระบวนการผลิตหรือติดตั้งอุปกรณ์เสริมในการจัดเก็บข้อมูลได้ไม่ยาก ซึ่งเอื้อต่อการทำ digital transformation และการนำเทคโนโลยี AI อย่าง AI-enhanced predictive maintenance, digital twin และ AI-enhanced supply chain management มาใช้ควบคุมการผลิตทั้งหมดของโรงงาน อย่างไรก็ดีในความเป็นจริงแล้วยังมีข้อจำกัดที่ส่งผลให้การนำเทคโนโลยี AI มาใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมนั้นไม่สามารถทำได้อย่างรวดเร็วไม่ว่าจะเป็นระยะเวลาคืนทุนที่ล่าช้า การขาดความรู้ความเข้าใจในเทคโนโลยี และขาดการจัดเก็บข้อมูลอย่างเหมาะสม

 

          จากโอกาสการเติบโตของตลาดดิจิทัลและ AI ในอุตสาหกรรมการผลิตไทยในช่วง 5 ปีข้างหน้า คาดว่า จะมีความต้องการผู้ให้บริการ SI ที่มีความเชี่ยวชาญด้าน AI สำหรับอุตสาหกรรมการผลิตอย่างต่ำราว 500 บริษัท ในปี 2023 โดยได้รับปัจจัยหนุนจากแนวโน้มการทำ digital transformation และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI ทั้งนี้จากข้อมูลของ International Federation of Robotics (IFR) พบว่าไทยมีแนวโน้มในการใช้เครื่องจักรระบบ Automation เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จาก 18%YOY ในปี 2018 เป็นปีละ 21% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า (2019 – 2021) ในขณะที่ปัจจุบันมีผู้ให้บริการ SI ทุกประเภทในไทยรวมกันเพียงประมาณ 200 บริษัทเท่านั้น ซึ่งในจำนวนนี้มีจำนวนผู้ให้บริการ SI ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน AI น้อยกว่า 5% ทั้งนี้การติดตั้งเครื่องจักรระบบ Automation หรือ sensor เพื่อตรวจสอบการทำงานของเครื่องจักรในระบบเดิมของโรงงาน จำเป็นต้องมีหน่วยงานหรือบุคลากรที่มีความสามารถด้าน AI ในการเขียนโปรแกรมเพื่อเชื่อมโยงระบบของการผลิตต่างๆ ให้เข้ากับเทคโนโลยี AI อย่าง AI-enhanced predictive maintenance หรือ AI-enhanced supply chain management ซึ่งปัจจัยดังกล่าวเป็นข้อจำกัดที่สำคัญของโรงงานขนาดกลางและขนาดย่อม (สัดส่วนมากถึง 60% ของจำนวนโรงงานทั้งหมดในไทย) ที่มักไม่มีหน่วยงานด้านเทคโนโลยีหรือ IT ภายในองค์กร จึงจำเป็นต้องพึ่งบริการด้านนี้จากผู้ให้บริการ SI แทน

 

          อย่างไรก็ดีมองว่าการดำเนินธุรกิจ SI สำหรับภาคอุตสาหกรรมการผลิตไทยยังมีความท้าทายที่สำคัญ 3 ประการ ดังนี้
          ความท้าทายประการแรก คือ สัดส่วนรายได้ของ SI ในไทยมีการพึ่งพารายได้จากงานโครงการ (project based) โดยเฉลี่ยสูงถึง 80% ของรายได้ทั้งหมดต่อปี ซึ่งถือเป็นรายได้ที่มีความไม่แน่นอนสูง ในขณะที่รายได้จากการให้บริการระบบคิดเป็นสัดส่วนเพียง 20% เท่านั้น แตกต่างจากผู้ให้บริการ SI รายใหญ่ในตลาดโลกอย่าง Maverick techonologies หรือ Callisto Integration ที่มีการปรับสัดส่วนรายได้จากการให้บริการระบบให้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น พัฒนาการให้บริการด้านระบบควมคุมโรงงานเพื่อให้สามารถเชื่อมโยงกับ automation platform เช่น Microsoft หรือ Siemens ได้
          ความท้าทายประการที่สอง คือ อำนาจต่อรองกับเจ้าของเทคโนโลยีค่อนข้างต่ำ เพราะโดยหลักการแล้ว ผู้ให้บริการ SI จะทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างลูกค้าและเจ้าของเทคโนโลยี และเนื่องด้วยผู้ให้บริการ SI ของไทยเป็นผู้ให้บริการรายเล็กเมื่อเทียบผู้ให้บริการรายอื่นๆ ในระดับโลก จึงมักจะไม่ได้รับความร่วมมือจากเจ้าของเทคโนโลยีในการปรับปรุงหรือแก้ไขระบบตามการร้องขอ เพื่อให้สามารถเชื่อมต่อกับระบบปฏิบัติเดิมของลูกค้าอย่างสมบูรณ์หรือเกิดผลกระทบน้อยที่สุด ส่งผลให้การตอบสนองต่อลูกค้าไม่เป็นผลสำเร็จ หรือไม่ตรงตามความต้องการอย่างสมบูรณ์
          ความท้าทายประการสุดท้าย คือ ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน Data science และ AI ซึ่งปัจจุบันยังถือว่ามีบุคลากรในสายงานนี้น้อยกว่าความต้องการอยู่มาก ส่งผลให้ค่าจ้าง Data scientist / AI developer จะสูงกว่าสายอาชีพอื่น ทั้งนี้จากผลสำรวจของ Adecco พบว่าค่าจ้างเฉลี่ยของ Data scientist / AI developer จบใหม่ในไทยจะเริ่มต้นที่ประมาณ 400,000 – 500,000 บาท/คน/ปี นอกจากนี้ บุคลากรในสาย IT รุ่นใหม่ยังมีความสนใจในการทำงานรูปแบบอิสระ (freelance) เป็นรายโครงการ ส่งผลให้องค์กรไม่สามารถพัฒนาบุคลากรได้อย่างต่อเนื่องในระยะยาว

 

          การยกระดับผู้ให้บริการ SI ของไทยจึงเป็นประเด็นสำคัญที่ควรดำเนินการอย่างเร่งด่วนในการจัดการกับอุปสรรคและความท้าทายของธุรกิจ ซึ่งคงหนีไม่พ้นการพัฒนาบุคลากรในสาขานี้ที่อาจไม่สามารถแก้ไขได้ในระยะสั้น และเป็นสิ่งที่ภาครัฐจำเป็นต้องวางนโยบายเพื่อสนับสนุนและพัฒนาหลักสูตรในระบบการศึกษาต่อไป อย่างไรก็ตามมองว่าผู้ให้บริการ SI ทั้งในปัจจุบันและรายใหม่ควรพยายามยกระดับและพัฒนาขีดความสามารถของตนเองด้วยการร่วมมือกับผู้ให้บริการ SI ในระดับสากล เช่น การเข้าร่วมเป็น platform partner กับ เจ้าของเทคโนโลยี AI และ Automation เพื่อให้สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีหรือเครื่องมือในการพัฒนาระบบ AI กับ platform ต่างๆ อย่าง AI Builder ของ Intel หรือ Power AI ของ IBM เป็นต้น หรือแม้แต่การเข้าร่วมเป็นผู้ให้บริการย่อย (subcontract system integrator) กับโครงการที่ใช้เทคโนโลยี AI ต่างๆ รวมไปถึงการว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญหรือที่ปรึกษาด้าน Data science และ AI ต่างชาติ เพื่อเสริมศักยภาพองค์กรรองรับความต้องการเทคโนโลยีของโรงงานอุตสาหกรรมการผลิตในระยะสั้น และทำให้เกิดการถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีต่อไป นอกจากนี้ผู้ให้บริการ SI ควรพิจารณาปรับเพิ่มการให้บริการอื่นๆ เช่น สร้างมูลค่าเพิ่มของงาน after-sales services เพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพารายได้จากโครงการ เพราะเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างระบบ automation และ AI มีความจำเป็นต้องใช้บริการพิเศษ หรือบริการเสริมหลังจากการติดตั้งเพื่อให้สามารถใช้งานระบบได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เช่น การให้บริการด้านฐานข้อมูล หรือการใช้ระบบซ่อมบำรุงระยะไกลตลอด 24 ชั่วโมง เป็นต้น ดังนั้นผู้ให้บริการ SI ที่ไม่สามารถให้บริการด้านเหล่านี้ได้อาจสูญเสียความสามารถในการแข่งขันเพื่อประมูลโครงการใหม่ๆ ซึ่งการจะให้บริการรูปแบบดังกล่าว ผู้ให้บริการ SI อาจจำเป็นต้องพัฒนาโปรแกรมควบคุมโรงงานเป็นของตัวเอง หรือโปรแกรมที่สามารถสนับสนุนการทำงานของลูกค้าและสามารถเชื่อมโยงระบบ AI platform อื่นๆ ได้ หรือแม้แต่การพิจารณาจัดตั้ง data center ควบคู่ไปด้วย เพื่อให้สามารถให้บริการด้านการวิเคราะห์ข้อมูลให้กับลูกค้าได้อย่างต่อเนื่องและราบรื่น ลดการพึ่งพาระบบ cloud ของผู้ให้บริการ AI Platform เพียงอย่างเดียว

 

วิเคราะห์แนวโน้มเศรษฐกิจจีนกับผลต่อเนื่องกับเศรษฐกิจไทย

 

          ในขณะที่ประเทศจีนพยายามทำให้ประชาคมโลกเห็นความเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ เช่น ความร่วมมือ RCEP และโครงการ Belt and Road Initiative (BRI) เป็นต้น ซึ่งทำให้จีนมีอิทธิพลกับประเทศขนาดเล็กต่างๆ มากขึ้นในฐานะคู่ค้าหรือผู้ลงทุนรายใหญ่นั้น จีนเองกลับโดนท้าทายอย่างมากจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของตน สงครามการค้าได้เกิดขึ้นระหว่างเศรษฐกิจใหญ่อันดับหนึ่งกับอันดับสองของโลก และส่งผลให้เศรษฐกิจของจีนชะลอตัวลงอย่างชัดเจนนับตั้งแต่ครึ่งหลังของปี 2018 เป็นต้นมา

 

          การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนครั้งนี้มีองค์ประกอบสำคัญ คือ ความเชื่อมั่น ทั้งความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจที่จะขยายการลงทุน และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่จะจับจ่ายใช้สอย สาเหตุที่มองไปที่เรื่องความเชื่อมั่น เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่จีนต้องเจอกับการท้าทายจากคู่ค้าที่อาจมีอำนาจต่อรองมากกว่า และอาจมีความได้เปรียบมากกว่าในบางมิติ เช่น มูลค่าการนำเข้าสินค้าจีนของสหรัฐฯ ที่สูงถึงราว 5 แสนล้านดอลลาร์ ในขณะที่มูลค่าการนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ ของจีน มีไม่ถึง 2 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นข้อจำกัดของจีนที่จะตอบโต้สหรัฐฯ โดยใช้ภาษี เป็นต้น นอกจากนี้ลักษณะของสินค้าที่จีนส่งไปสหรัฐฯ เป็นสินค้าอุตสาหกรรม ซึ่งการชะลอลงของการส่งออกจะส่งผลโดยตรงต่อการลงทุนของเอกชนและการจ้างงาน ต่างจากสินค้าที่สหรัฐฯ ส่งไปจีนที่เป็นสินค้าเกษตร ซึ่งการชะลอลงน่าจะมีผลกระทบการลงทุนเอกชนและการจ้างงานค่อนข้างน้อย ด้วยความแตกต่างเหล่านี้ ผู้บริโภคและนักธุรกิจของจีนจึงมีความกังวลค่อนข้างมากเกี่ยวกับความมั่นคงในหน้าที่การงานและอนาคตของรายได้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นในการลดลงของดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค (China Consumer Confidence Index) และของภาคธุรกิจ (IHS Markit China Business Outlook) สำหรับผู้บริโภค ความกังวลเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตเริ่มมีผลต่อการใช้จ่ายในสินค้าที่มีมูลค่าสูงหรือต้องใช้สินเชื่อ เช่น รถยนต์ และบ้าน เป็นต้น โดยช่วง 4 เดือนสุดท้ายปี 2018 ยอดขายรถยนต์ในจีนลดลงกว่า 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2017 และเนื่องจากยอดขายรถยนต์มีสัดส่วนเกือบ 30% ในยอดค้าปลีกในประเทศทั้งหมด จึงเป็นเหตุให้การเติบโตของยอดค้าปลีกลดลงเหลือแค่ 8% จากที่เคยเติบโตได้ 9-10% ตอนต้นปี

 

          สำหรับไตรมาสแรกของปี 2019 นี้ ยังมีความเสี่ยงที่ความตึงเครียดเกี่ยวกับสงครามการค้าจะกดดันความเชื่อมั่นของภาคเอกชนจีนต่อไป แม้ผู้นำของทั้งสองประเทศได้หารือกันระหว่างการประชุม G20 ที่อาร์เจนตินาเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2018 ที่ผ่านมา ทำให้ทั้งสองฝ่ายหยุดตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าระหว่างกันเป็นเวลา 90 วัน เพื่อหันมาเจรจาและหาข้อสรุปร่วมกันให้ได้ภายใน 1 มีนาคม 2019 ก็ตาม เป้าหมายที่ทางสหรัฐฯ กำหนดไว้สำหรับช่วง 90 วันนี้ คือ การบรรลุข้อตกลงที่จะมีการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง ทั้งในด้านการค้าและการลงทุนที่จะทำให้สหรัฐฯ ลดการขาดดุลการค้าจากจีนได้ และสามารถเข้าไปลงทุนในจีนได้โดยเสรีมากขึ้น โดยไม่มีข้อกำหนดให้ต้องเปิดเผยเทคโนโลยี เป็นต้น ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ผู้สังเกตการณ์ส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่าคงไม่สามารถเป็นไปได้ในระยะเวลาอันสั้น สิ่งที่อาจคาดหวังได้มากกว่า คือ การเพิ่มระยะเวลาการเจรจา โดยทางการจีนมีทีท่าอ่อนลงเล็กน้อย หลังเริ่มเข้าซื้อผลผลิตเกษตรสำคัญอย่างถั่วเหลืองในช่วงเดือนธันวาคม รวมทั้งลดภาษีนำเข้ารถยนต์จากสหรัฐมาอยู่ที่ระดับ 15% จาก 40% และล่าสุดหลังการเจรจาเจ้าหน้าที่ระดับสูงนัดแรกในช่วง 7-9 มกราคม 2019 ตัวแทนสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) ระบุว่า การเจรจามีความคืบหน้า โดยจีนได้ให้สัญญาว่าจะซื้อสินค้าจำนวนมากจากสหรัฐฯ ทั้งในกลุ่มสินค้าเกษตร พลังงาน รวมถึงสินค้าในภาคการผลิตและบริการ แต่ทั้งหมดนี้ยังมีความไม่แน่นอนค่อนข้างมาก ในกรณีที่ไม่สามารถตกลงกันได้ สหรัฐฯ อาจปรับขึ้นภาษีนำเข้ากับสินค้าจีนมูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์ จาก 10% เป็น 25% และในกรณีแย่กว่านั้นคือการประกาศเก็บภาษีกับสินค้านำเข้าจีนอีก 2.67 แสนล้านดอลลาร์ โดยสินค้าที่สำคัญ ได้แก่ โทรศัพท์มือถือ และคอมพิวเตอร์ เป็นต้น ซึ่งหากเกิดขึ้นจริงจะเป็นชนวนให้เศรษฐกิจจีนขยายตัวได้ต่ำกว่ากรอบ 6.0-6.5% ที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ประเมินได้

 

          การชะลอตัวของกำลังซื้อจากจีนจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ธุรกิจไทยควรเตรียมแผนรับมือไว้ล่วงหน้าในปีนี้ ในปัจจุบันตลาดจีนมีความสำคัญมากโดยเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทย คิดเป็นประมาณ 12% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดมูลค่า 2.4 แสนล้านดอลลาร์ต่อปี และมีนักท่องเที่ยวมาไทยเป็นอันดับ 1 คิดเป็น 28% ของนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศทั้งหมดปีละเกือบ 40 ล้านคน นอกจากนี้ชาวจีนเป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ในระยะหลังอีกด้วย ในส่วนของภาคการส่งออก หากปัจจัยที่กระทบความเชื่อมั่นของผู้บริโภคชาวจีนยังมีอยู่ต่อไป ยอด retail sales ในจีนก็มีโอกาสที่จะชะลอตัวลงเพิ่มเติม โดยเฉพาะสินค้าฟุ่มเฟือย ทั้งนี้สินค้าฟุ่มเฟือยที่ไทยส่งออกไปจีนส่วนใหญ่ คือ สินค้าในกลุ่มเครื่องสำอางและอัญมณี ส่วนยอดขายรถยนต์ก็มีความเสี่ยงที่จะหดตัวต่อไป ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยในสินค้าที่เกี่ยวข้อง อาทิ ยางรถยนต์ รวมถึงรถยนต์และส่วนประกอบ เป็นต้น นอกจากนี้สินค้าส่งออกที่เป็นสินค้าขั้นกลางใน supply chain ของผู้ผลิตจีน เช่น ส่วนประกอบคอมพิวเตอร์และแผงวงจร ของใช้ในบ้านและออฟฟิศ หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบ ก็มีแนวโน้มชะลอตัวต่อไปเช่นกัน

 

          สำหรับการท่องเที่ยว จากการสำรวจเรื่องการท่องเที่ยวโดยความร่วมมือกันระหว่าง Nielsen และ Alipay ในปี 2017 ประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็นที่ที่ให้ความคุ้มค่ากับนักท่องเที่ยว (excellent value for overseas travel) จึงน่าจะยังดึงดูดนักท่องเที่ยวจีนได้ อย่างไรก็ดีหากคนจีนลดการใช้จ่ายฟุ่มเฟือยลง ก็อาจลดการช็อปปิ้งในต่างประเทศได้ ซึ่งจากการสำรวจของ Nielsen และ Alipay ชาวจีนใช้จ่ายเกี่ยวกับการช็อปปิ้งมากถึง 762 ดอลลาร์ หรือราว 25% ของงบประมาณในการท่องเที่ยว สูงกว่านักท่องเที่ยวชาติอื่นที่ใช้แค่ 486 ดอลลาร์ หรือ 15% โดยชาวจีนนิยมการซื้อของในร้าน duty-free เป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะในประเทศไทย ทั้งนี้สินค้าที่คนจีนนิยมซื้อ ได้แก่ สินค้าเกี่ยวกับความงามและการดูแลผิวพรรณ สินค้าที่เป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่น และของฝากทั่วไป ตามลำดับ

 

          ในส่วนของภาคอสังหาริมทรัพย์ ประเทศไทยเป็นหนึ่งในที่ที่ชาวจีนนิยมซื้อบ้านในต่างประเทศ จากรายงานของ FT Confidential Research ชาวจีนนิยมซื้อที่ราคาประมาณ 1 ล้านหยวน หรือราว 5 ล้านบาท อยู่ในกรุงเทพฯ เชียงใหม่ ภูเก็ต และชลบุรี ตามลำดับ ซึ่งความเชื่อมั่นที่ลดลง ย่อมน่าจะส่งผลให้ชาวจีนชะลอการลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศ ความเสี่ยงนี้เป็นประเด็นที่ธนาคารแห่งประเทศไทยให้ความสำคัญเช่นกัน โดยมีการเปิดเผยข้อมูลว่าในช่วงไตรมาส 3 ของปี 2018 ที่ผ่านมา ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในไทยพึ่งพา อุปสงค์จากต่างชาติถึง 31% หรือเป็นมูลค่าการซื้อขายเกือบ 7 หมื่นล้านบาท ดังนั้นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์คงต้องปรับแผนการลงทุนให้สอดคล้องกับอุปสงค์จากต่างชาติที่อาจชะลอลงได้

 

          โดยสรุปจะเห็นได้ว่าความท้าทายทางเศรษฐกิจที่จีนกำลังเผชิญได้ส่งผลต่อความเชื่อมั่นและกำลังซื้อของชาวจีน ซึ่งเป็นหนึ่งในประเด็นที่ผู้ประกอบการจำเป็นต้องติดตามอย่างใกล้ชิดในปี 2019 เพื่อให้สามารถปรับเปลี่ยนแผนการตลาดและการลงทุนได้อย่างทันท่วงที ซึ่งจะเป็นการช่วยลดผลกระทบทางธุรกิจอันเกิดจากความผันผวนของปัจจัยภายนอกประเทศได้เป็นอย่างดี

 


_______________
* แหล่งที่มาของข้อมูล : นันทพงศ์ พันทวีศักดิ์ Economic Intelligence Center ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

 

 

กลุ่มข้อมูลและวางแผนสื่อสารองค์กร
ฝ่ายสื่อสารองค์กร

บทความเศรษฐกิจ

วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2562

1830 Views

BAM Mobile Application

ค้นหาทรัพย์ง่ายๆ เพียงปลายนิ้วสัมผัส

บริการฝากขาย
อสังหาฯ
ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย