บทความวิเคราะห์รายงานทางเศรษฐกิจ (ประจำเดือนพฤษภาคม 2561)
ข้อมูลเดือนมีนาคม 2561 จากตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน จะเห็นว่าดัชนีราคาผู้บริโภคมีค่าลดลง เพราะราคาน้ำมันยังมีทิศทางทรงตัว ในขณะที่ราคาสินค้าจำพวกอาหารสดมีการปรับตัวลดลงตามผลผลิตที่ออกมาสู่ตลาดมากขึ้น ส่งผลทำให้ราคามีการปรับตัวลดลงมา ส่วนภาคการผลิตมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการมีการผลิตสินค้าออกมามากขึ้นหลังจากที่ได้ชะลอไปในช่วงก่อนหน้านั้น จึงทำให้ในเดือนนี้มีการผลิตสินค้าออกมาได้มากขึ้น ในขณะเดียวกันดุลการค้าปรับสูงขึ้นและยังมีทิศทางที่เป็นบวกอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการนำเข้ายังมีการปรับเพิ่มขึ้นไปไม่ได้มาก จึงทำให้ไม่น่าเป็นห่วง อย่างไรก็ตามภาวะการเงินยังทรงตัวไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลง โดยปริมาณเงินฝากและเงินให้สินเชื่อมีค่าสูงขึ้น เนื่องจากธนาคารมีแคมเปญเงินฝากออกมาบ้าง ทำให้ประชาชนมีการนำเงินมาฝากเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ประชาชนเริ่มมีการออมเงินมากขึ้น ในขณะที่การปล่อยสินเชื่อมีการปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากธนาคารมีการปล่อยสินเชื่อตามภาวะเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มดีขึ้น จึงทำให้สินเชื่อมีการขยายตัวขึ้นมาได้ แต่ยังคงมีความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาหนี้เสียตามมาอีกด้วย
ตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน
|
รายละเอียด |
ธันวาคม 60 |
มกราคม 61 |
กุมภาพันธ์ 61 |
มีนาคม 61 |
| ดัชนีราคาผู้บริโภค |
101.37 |
101.44 |
101.21 |
101.12 |
| ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม |
107.55 |
113.98 |
114.60 |
127.13 |
| อัตราการใช้กำลังการผลิต |
67.77 |
70.55 |
70.53 |
76.06 |
| ดุลการค้า |
1,544.08 |
1,331.23 |
2,288.59 |
3,015.11 |
| ดุลบัญชีเดินสะพัด |
3,407.49 |
5,210.64 |
6,157.17 |
5,751.14 |
| เงินฝาก |
13,237.66 |
13,339.39 |
13,361.45 |
n.a. |
| เงินให้สินเชื่อ |
14,729.54 |
14,963.59 |
15,228.81 |
n.a. |
ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย
หมายเหตุ: ดัชนีราคาผู้บริโภค มีปีฐานคือ 2558 เงินฝาก/เงินให้สินเชื่อ มีหน่วยเป็น พันล้านบาท
อัตราการใช้กำลังการผลิต มีหน่วยเป็น ร้อยละ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม มีปีฐานคือ 2554
ดุลการค้า ดุลบัญชีเดินสะพัด มีหน่วยเป็น ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา
ภาวะอสังหาริมทรัพย์ เดือนมีนาคม 2561
• ด้านอุปทาน
- ที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เปรียบเทียบ ณ มี.ค. 60 กับ 61 มีรายละเอียดดังนี้
|
ปี |
จำนวน(ยูนิต) |
การเติบโต(%) |
|
ณ มี.ค. 60 |
23,744 |
NA |
|
ณ มี.ค. 61 |
33,245 |
40.01% |
ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
- ประเภทที่อยู่อาศัยที่มีการจดทะเบียน ณ มี.ค. 61 เรียงตามลำดับมีรายละเอียดดังนี้
|
ประเภท |
จำนวน(ยูนิต) |
สัดส่วน(%) |
|
อาคารชุด |
20,453 |
61.52 |
|
บ้านเดี่ยว |
8,103 |
24.37 |
|
ทาวน์เฮ้าส์ |
3,125 |
9.40 |
|
อาคารพาณิชย์ |
1,163 |
3.50 |
|
บ้านแฝด |
401 |
1.21 |
|
รวม |
33,245 |
100.00 |
ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
• ด้านอุปสงค์
-การโอนกรรมสิทธิ์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เปรียบเทียบ ณ มี.ค. 60 กับ 61 มีรายละเอียดดังนี้
|
ปี |
จำนวน(ยูนิต) |
การเติบโต(%) |
|
ณ มี.ค. 60 |
29,575 |
NA |
|
ณ มี.ค. 61 |
42,104 |
42.36% |
ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
-ประเภทที่อยู่อาศัยที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ ณ มี.ค. 61 เรียงตามลำดับมีรายละเอียดดังนี้
|
ประเภท |
จำนวน(ยูนิต) |
สัดส่วน(%) |
|
อาคารชุด |
19,770 |
46.96 |
|
ทาวน์เฮ้าส์ |
12,289 |
29.19 |
|
บ้านเดี่ยว |
6,142 |
14.59 |
|
อาคารพาณิชย์ |
2,317 |
5.50 |
|
บ้านแฝด |
1,586 |
3.76 |
|
รวม |
42,104 |
100.00 |
ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
- อัตราดอกเบี้ยที่อยู่อาศัยบุคคลทั่วไปลอยตัวเฉลี่ยของ 6 ธนาคารใหญ่ มีรายละเอียดดังนี้
|
ปี 61 |
อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย |
อัตราดอกเบี้ยนโยบาย ธปท. |
|
มกราคม-มีนาคม |
6.31 |
1.50 |
ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
หมายเหตุ: 6 ธนาคาร ประกอบ ธ.อาคารสงเคราะห์, ธ.กสิกรไทย, ธ.กรุงเทพ,
ธ.กรุงศรีอยุธยา, ธ.กรุงไทย และ ธ.ไทยพาณิชย์
สรุปภาพภาวะอสังหาริมทรัพย์เดือนมีนาคม 2561
ภาพรวมของอุปทานมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น 40.01% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ภาครัฐเร่งการลงทุนในโครงการต่างๆ ให้เป็นไปตามเป้าที่วางไว้ ทำให้ผู้ประกอบการมีความมั่นใจและพัฒนาโครงการออกมามากขึ้น ทำให้อุปทานในตลาดมีการปรับตัวสูงขึ้นมา ในขณะที่ทางด้านอุปสงค์ปรับตัวเพิ่มขึ้น 42.36% เพราะสถาบันการเงินมีการปล่อยสินเชื่อออกมาตามภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวขึ้นตามลำดับ แต่ก็ยังมีความระมัดระวังเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับหนี้ ด้อยคุณภาพตามมา รวมไปถึงผู้บริโภคมีความต้องการซื้ออย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ที่อยู่อาศัยประเภทอาคารชุดยังมียอดการโอนกรรมสิทธิ์มากที่สุด รองลงมาคือ ทาวน์เฮ้าส์ และบ้านเดี่ยว ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่อยู่อาศัยทรงตัวอยู่ที่ 6.31% โดยที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายไม่เปลี่ยนแปลงมีค่าอยู่ที่ 1.50%
วิเคราะห์การคาดการณ์กับความเสี่ยง*
ณ ปัจจุบันดูเหมือนสำนักวิจัยต่างๆ จะยังคงคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวดีที่ประมาณ 4% สูงขึ้นต่อเนื่องจากปีก่อนๆ แต่การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกมีสัญญาณมากขึ้นที่อาจขยายตัวได้ไม่ถึงเป้าดังกล่าว โดยมี 5 สัญญาณคือ
(1) เริ่มเห็นสัญญาณเศรษฐกิจชะลอตัวอย่างพร้อมเพรียง (Synchronized slowdown) จากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ทั่วโลกที่ตกต่ำลง
(2) เงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าส่งผลให้ค่าเงินสกุลหลักอื่นๆ แข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง กระทบต่อภาคการส่งออกและเศรษฐกิจของประเทศกลุ่มดังกล่าว
(3) ราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องอาจส่งผลกระทบต่อแรงกดดันเงินเฟ้อและการฟื้นตัวเศรษฐกิจ
(4) ผลตอบแทนพันธบัตรที่เริ่มกลับมาเป็นขาขึ้นอีกครั้ง บ่งชี้ว่าต้นทุนทางการเงินทั่วโลกเริ่มเพิ่มขึ้น
(5) สัญญาณจากจีนที่ผ่อนคลายมาตรการการเงินในช่วงที่ผ่านมา บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจภายในประเทศของจีนอาจแย่กว่าตัวเลขที่ทางการประกาศไว้
5 สัญญาณดังกล่าวบ่งชี้ว่าเป็นไปได้สูงขึ้นที่เศรษฐกิจโลกในระยะต่อไปอาจไม่ได้ขยายดีตามที่หลายฝ่ายมองไว้ นอกจากนั้นในระยะต่อไปเศรษฐกิจโลกยังเผชิญกับ 3 ความเสี่ยงหลักที่อาจจะยิ่งฉุดรั้งให้ตกต่ำลง ดังรายละเอียดดังนี้
ความเสี่ยงที่หนึ่ง ได้แก่ สงครามการค้าที่รุนแรงมากขึ้นในปีนี้ หลังจากที่ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ดำเนินนโยบายปกป้องการค้าตามที่เขาเคยได้หาเสียงไว้ โดยเฉพาะการมุ่งเป้าโจมตีจีนด้วยการกล่าวหาว่าจีนละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา และประกาศรายชื่อสินค้าที่จะขึ้นภาษี 25% มูลค่ารวม 5 หมื่นล้านดอลลาร์ หลังจากนั้น จีนก็ตอบโต้ทันทีโดยประกาศรายชื่อสินค้ามูลค่ารวม 5 หมื่นล้านดอลลาร์ที่จะขึ้นภาษีนำเข้า 25% เช่นเดียวกัน โดยส่วนใหญ่ได้แก่สินค้าเกษตร เช่น ถั่วเหลือง รวมถึงพาหนะเช่น รถยนต์และเครื่องบิน อย่างไรก็ตามประธานาธิบดีสีจิ้นผิงประกาศว่าพร้อมที่จะเปิดประเทศมากขึ้น ทำให้ตลาดมองว่าความเสี่ยงสงครามการค้าดูเหมือนจะลดลง ทำให้สงครามการค้าครั้งนี้จะไม่รุนแรงดังเช่นในช่วงปี 1930 ที่นำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก (The great depression) แต่ก็ไม่น่าจะยุติลงโดยง่าย ซึ่งเปรียบเหมือน “สงครามเย็นทางการค้า” (Trade Cold War) มากกว่า เนื่องจาก
(1) หากทั้งจีนและสหรัฐขึ้นกำแพงภาษีสินค้าตามที่ได้ประกาศรายชื่อไว้จริง จะทำให้ธุรกิจต่างๆ ได้รับผลกระทบแง่ลบอย่างมาก ดังนั้นธุรกิจต่างๆ น่าจะ Lobby ฝ่ายการเมืองไว้ล่วงหน้า
(2) ในส่วนของจีนที่ประกาศรายชื่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐอเมริกาจำนวน 5 หมื่นล้านดอลลาร์นั้น ส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าเกษตรที่อาจกระทบต่อฐานเสียงของพรรครีพับริกัน ซึ่งหากถูกเก็บภาษีจริง อาจทำให้พรรครีพับริกันพ่ายแพ้การเลือกตั้งในปลายปีนี้ จึงเป็นไปได้ที่สมาชิกสภาคองเกรสจะออกมาต่อต้านแผนการเก็บภาษีดังกล่าว
(3) นอกจากจะกีดกันทางการค้าแล้ว สหรัฐอเมริกายังมีแผนการกีดกันการลงทุนของบริษัทจีนในอุตสาหกรรมด้านอิเล็กทรอนิกส์ของสหรัฐอเมริกาด้วย ทำให้มองได้ว่าเกมนี้เป็นแผนระยะยาวของสหรัฐอเมริกาในการควบคุมการขึ้นเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของจีน ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นแล้ว สงครามครั้งนี้ไม่น่าจะจบลงโดยง่าย ซึ่งจะเป็นความเสี่ยงที่กดดันเศรษฐกิจโลกในระยะต่อไป
ความเสี่ยงที่สอง ได้แก่ ราคาน้ำมันและโภคภัณฑ์ที่พุ่งสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะน้ำมันดิบ เบรนท์ที่ขึ้นสูงสุดในรอบ 3 ปี เกือบไปแตะระดับ 75 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งเกิดจาก 3 เหตุผลหลักคือ
(1) จากการลดกำลังการผลิตของกลุ่ม OPEC และพันธมิตรที่นำโดยรัสเซียถึง 1.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน
(2) จากกระแสความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลาง ทั้งในซีเรียและซาอุดิอาราเบียที่ถูกยกระดับขึ้น
(3) จากกระแสการเก็งกำไรที่เพิ่มขึ้นหลังซาอุดิอาราเบียออกมาประกาศว่าตั้งเป้าราคาน้ำมันไว้ที่ 80-100 ดอลลาร์
อย่างไรก็ตามเชื่อว่าราคาน้ำมันจะค่อยๆ ลดลงไปอยู่ที่ 60-70 ดอลลาร์ในระยะต่อไปจาก 3 เหตุผลคือ
(1) การผลิต Shale oil ในสหรัฐอเมริกาที่ค่อยๆ กลับมา เห็นได้จากแท่นขุดเจาะที่เพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่าในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา
(2) ภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกที่ฟื้นตัวค่อนข้างเปราะบาง โดยฟื้นแต่ฝั่งภาคการผลิต แต่กำลังซื้อยังอยู่ในระดับต่ำ
(3) การที่สหรัฐอเมริกามีเหตุผลเชิงกลยุทธ์ที่ไม่ต้องการให้ราคาน้ำมันสูงเกินไปก่อนการต่ออายุข้อตกลงนิวเคลียร์ของอิหร่าน ทำให้ราคาน้ำมันไม่น่าจะขึ้นไประดับสูงได้นานนัก
ความเสี่ยงที่สาม ได้แก่ ความตึงตัวของภาคการเงินที่เริ่มกระทบต้นทุนการเงินทั่วโลก โดยล่าสุด ผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปีของสหรัฐอเมริกาปรับเพิ่มขึ้นมาแตะระดับเกือบ 3% หลังจากที่นักลงทุนกังวลความเสี่ยงเงินเฟ้อจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น และความเสี่ยงสงครามการค้า นอกจากนั้นการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed อย่างต่อเนื่อง ก็ยิ่งผลักดันให้ต้นทุนทางการเงินโดยรวมปรับเพิ่มขึ้น เห็นได้จากดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านในสหรัฐอเมริกาที่ปรับเพิ่มขึ้นเกือบ 50 bps นับจากต้นปี ทั้งนี้การตึงตัวของดอกเบี้ยในสหรัฐอเมริกาจะเริ่มทำให้ต้นทุนทางการเงินทั่วโลกปรับเพิ่มขึ้นตาม อย่างไรก็ตามเชื่อว่าต้นทุนทางการเงินน่าจะปรับขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปจากสาเหตุดังต่อไปนี้
(1) เศรษฐกิจที่ยังฟื้นตัวอย่างเปราะบาง ทำให้ Fed ไม่น่าจะขึ้นดอกเบี้ยอย่างรวดเร็ว
(2) ความเสี่ยงของ Trade Cold War ที่อาจมีผลฉุดให้เศรษฐกิจชะลอตัวจากความไม่แน่นอนที่มีมากขึ้น กระทบต่อความเชื่อมั่นและกำลังซื้อ ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวลง กดดันให้ Fed ไม่สามารถขึ้นดอกเบี้ยได้สูงมากเท่าไรนัก
(3) ราคาน้ำมันที่ไม่น่าจะสูงขึ้นอีกมากนัก น่าจะทำให้เงินเฟ้อไม่น่าปรับเพิ่มขึ้นได้อีกมาก ทำให้ไม่จำเป็นในการรีบปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง
โดยสรุปความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลกมีน้ำหนักมากขึ้น ทำให้เศรษฐกิจโลกอาจชะลอตัวลงกว่าที่สำนักวิจัยต่างๆ คาดการณ์ไว้ แต่จากการที่ความเสี่ยงบางปัจจัยที่อาจขัดกันเอง ทำให้ผลกระทบในแง่ลบต่อเศรษฐกิจโลกจึงไม่น่าจะส่งผลกระทบได้อย่างรุนแรงมากเท่าไรนัก
วิเคราะห์เศรษฐกิจกับความยั่งยืน
เศรษฐกิจที่พัฒนาจนมาเป็นระบบที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ ล้วนมีพื้นฐานจากกิจกรรมหลักสองประการได้แก่ กิจกรรมการผลิตและกิจกรรมการบริโภค ระบบเศรษฐกิจที่มีภาวะของการผลิตเท่ากับภาวะของการบริโภค จัดเป็นระบบเศรษฐกิจที่ไม่ต้องพึ่งพาอาศัยปัจจัยแวดล้อมภายนอกใดๆ เป็นภาวะอุดมคติที่ไม่เกิดขึ้นจริงในทางปฏิบัติ
ในความเป็นจริงระบบเศรษฐกิจในชุมชนหนึ่งๆ ไม่ว่าจะเป็นระดับท้องถิ่น ระดับภูมิภาค หรือระดับประเทศ จะไม่สามารถดำรงภาวะคงตัวได้อย่างสมบูรณ์ในตัวเอง จำเป็นต้องมีการแลกเปลี่ยนหรือพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันในระบบเศรษฐกิจ จึงมีภาวะของการผลิตซ้อนเหลื่อมกับภาวะของการบริโภค ไม่ซ้อนทับกันพอดี ซึ่งหมายความว่าชุมชนนั้นๆ มีผลผลิตที่มิได้ใช้เพื่อการบริโภคเองทั้งหมด ในขณะที่ชุมชนก็มิได้บริโภคในสิ่งที่ตัวเองผลิตได้เท่านั้น จำเป็นต้องพึ่งพาปัจจัยการบริโภคจากภายนอกอยู่ส่วนหนึ่ง เรียกว่าเป็นระบบที่อยู่ในภาวะปกติ ตราบเท่าที่ชุมชนนั้นๆ สามารถที่จะรักษาสัดส่วนหรือขนาดของการผลิตให้เท่ากับสัดส่วนหรือขนาดของการบริโภคอยู่ได้ ชุมชนนั้นก็จะไม่ประสบกับปัญหาในระบบเศรษฐกิจ แต่หากเมื่อใดก็ตามที่ชุมชนนั้นไม่สามารถรักษาระดับของการผลิตให้ใกล้เคียงกับระดับของการบริโภคเป็นระยะเวลานาน ในกรณีนี้คือ สัดส่วนการผลิตน้อยกว่าสัดส่วนการบริโภค ชุมชนก็จะประสบกับปัญหาเศรษฐกิจ เกิดภาวะที่ต้องพึ่งพาปัจจัยการบริโภคจากภายนอกมาก ซึ่งหากไม่พยายามลดสัดส่วนการบริโภคของตัวเองลง ก็จะต้องกู้หนี้ยืมสินมาเพื่อตอบสนองความต้องการบริโภคเหล่านั้น
ปัญหาเศรษฐกิจในอีกภาวะหนึ่ง เกิดจากการพัฒนาในยุคอุตสาหกรรมที่ผ่านมา ทำให้กิจกรรมการผลิตและการบริโภคในระบบเศรษฐกิจนั้นแยกออกต่างหากจากกันอย่างเด็ดขาด ผู้ผลิตไม่จำเป็นต้องบริโภคในสิ่งที่ตนเองผลิตได้ ในขณะที่ผู้บริโภคก็ไม่จำเป็นต้องผลิตในสิ่งที่ตนเองต้องการบริโภค ผลที่ตามมาก็คือ กิจกรรมการแลกเปลี่ยนในระบบเศรษฐกิจซึ่งเดิมมุ่งเน้นที่การจัดสรรปันส่วนผลผลิต กลายมาเป็นกิจกรรมการแลกเปลี่ยนที่ให้น้ำหนักกับเงินในฐานะที่เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนที่สำคัญมากกว่าสิ่งอื่นใด ผู้ผลิตจึงมุ่งผลิตสินค้าและบริการขายแลกกับเงินเพื่อการสะสมทุนและการลงทุนสำหรับการผลิตในรอบต่อไป ในขณะที่ผู้บริโภคก็มุ่งทำงานแลกกับเงินเพื่อการเก็บออมและการใช้จ่ายในการบริโภคสินค้าและบริการ ระบบเศรษฐกิจที่เป็นอยู่จึงถือเรื่องทุนเงินเป็นใหญ่ ซึ่งก็คือ ทุนนิยม
ด้วยเหตุนี้ทุกชุมชนต่างก็พยายามแข่งขันกันเพื่อความอยู่รอดและเพื่อสะสมความมั่งคั่งไว้ในชุมชนของตัว สภาวการณ์ของการแข่งขันเช่นนี้ ก่อให้เกิดผลได้ผลเสียในระบบเศรษฐกิจของแต่ละชุมชน ชุมชนใดที่ไม่สามารถปรับตัวหรือพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันกับชุมชนอื่นๆ ได้ ก็จะถูกดึงเอาทรัพยากรและความมั่งคั่งออกไปจากชุมชน จะเกิดการเอารัดเอาเปรียบจากภายนอกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนระบบเศรษฐกิจในชุมชนนั้นขาดเสถียรภาพหรือเข้าขั้นล่มสลาย
การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจแบบที่เป็นอยู่ มักมุ่งไปที่ความพยายามในการลดการเอารัดเอาเปรียบจากภายนอก โดยใช้วิธีการชดเชยหรือมาตรการตอบโต้ในรูปแบบต่างๆ ผ่านทางหน่วยงานที่ให้ความช่วยเหลือหรือเข้าไปแก้ไขปัญหา เช่น ขบวนการช่วยเหลือจากมูลนิธิในรูปของเงินบริจาค ทุนการศึกษา ทุนประกอบอาชีพ ฯลฯ ขบวนการอุดหนุนจากหน่วยงานรัฐในรูปของโครงการจำนำผลผลิต โครงการประกันราคาผลผลิต การจัดมหกรรมหรือนิทรรศการเพื่อระบายผลผลิต และขบวนการเพิ่มอำนาจต่อรองจากประชาคมหรือองค์การพัฒนาเอกชนในรูปของการรวมกลุ่มชาวบ้านเพื่อเรียกร้องให้เกิดการแก้ปัญหา การเผยแพร่ปัญหาให้สังคมได้รับรู้ในวงกว้าง การสร้างกลุ่มแกนนำชุมชน ฯลฯ
แม้แต่การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจโดยการสร้างศักยภาพทางการแข่งขัน หรือการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน ก็ยังถือว่าเป็นความพยายามในการลดการเอารัดเอาเปรียบจากภายนอก เป็นการแก้ปัญหาในระดับการเกี่ยวพันของปัญหาเศรษฐกิจอยู่ ซึ่งหากรากเหง้าของปัญหาเศรษฐกิจในสองภาวะข้างต้น ยังไม่ได้รับการเอาใจใส่ ก็ไม่สามารถที่จะทำให้ระบบเศรษฐกิจกลับเข้าสู่ภาวะสมดุลได้
ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องกลับมาทบทวนอย่างจริงจังกับการแก้ไขที่ต้นเหตุของเรื่อง นั่นคือ การรักษาสัดส่วนหรือขนาดของการผลิตให้เท่ากับสัดส่วนหรือขนาดของการบริโภคด้วยความพอประมาณ รวมทั้งความพยายามที่จะไม่ทำให้กิจกรรมการผลิตและการบริโภคในระบบเศรษฐกิจของชุมชนแยกออกต่างหากจากกันอย่างเด็ดขาด อันจะเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมให้เกิดการพึ่งพาตนเอง ลดการพึ่งพาจากภายนอก จนสามารถที่จะรักษาระบบเศรษฐกิจให้มีความยั่งยืนได้อย่างแท้จริง
_______________
* แหล่งที่มาของข้อมูล : ดร. ปิยศักดิ์ มานะสันต์ คอลัมนิสต์ หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
กลุ่มข้อมูลและวางแผนสื่อสารองค์กร
ฝ่ายสื่อสารองค์กร