บทความวิเคราะห์รายงานทางเศรษฐกิจ (ประจำเดือนธันวาคม 2560)
ข้อมูลเดือนตุลาคม 2560 จากตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน จะเห็นว่าดัชนีราคาผู้บริโภคมีค่าเพิ่มขึ้น เพราะราคาน้ำมันมีทิศทางสูงขึ้นประกอบกับราคาสินค้าจำพวกอาหารสดยังปรับตัวสูงขึ้นท่ามกลางภาวะอากาศที่เปลี่ยนไปทำให้สินค้าออกมาสู่ตลาดน้อยลง ส่งผลทำให้ราคามีการปรับตัวสูงขึ้นมา ส่วนภาคการผลิตมีการปรับตัวลดลง เนื่องจากผู้ประกอบการเริ่มมีการชะลอการผลิตสินค้าออกมาหลังจากที่ได้เร่งการผลิตไปในช่วงก่อนหน้า จึงทำให้ในเดือนนี้มีการผลิตสินค้าออกมาได้น้อยลง ในขณะเดียวกันดุลการค้าปรับตัวลดลงแต่ยังมีทิศทางที่เป็นบวกอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการนำเข้ายังมีการปรับเพิ่มขึ้นไปไม่ได้มาก จึงทำให้ไม่น่าเป็นห่วง อย่างไรก็ตามภาวะการเงินยังทรงตัวไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลง โดยปริมาณเงินฝากและเงินให้สินเชื่อมีค่าลดลง เนื่องจากธนาคารไม่มีแคมเปญเงินฝากในรูปแบบใหม่ๆ ออกมา ทำให้ประชาชนมีการนำเงินมาฝากน้อยลง ส่งผลให้ประชาชนออมเงินปรับตัวลดลงไป ในขณะที่การปล่อยสินเชื่อมีการปรับตัวลดลง เนื่องจากธนาคารได้เร่งการปล่อยสินเชื่อออกมาบ้างในช่วงก่อนหน้านั้นไปแล้ว จึงทำให้สินเชื่อมีการหดตัวลงไป อีกทั้งยังคงมีความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาหนี้เสียตามมาอีกด้วย
ตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน
|
รายละเอียด |
กรกฎาคม 60 |
สิงหาคม 60 |
กันยายน 60 |
ตุลาคม 60 |
| ดัชนีราคาผู้บริโภค |
100.53 |
100.64 |
101.22 |
101.38 |
| ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม |
104.55 |
107.84 |
109.33 |
104.43 |
| อัตราการใช้กำลังการผลิต |
60.02 |
62.43 |
63.52 |
60.45 |
| ดุลการค้า |
1,343.92 |
3,398.91 |
5,400.11 |
1,623.99 |
| ดุลบัญชีเดินสะพัด |
2,764.02 |
4,656.94 |
6,286.57 |
3,535.32 |
| เงินฝาก |
12,857.62 |
12,943.85 |
12,878.28 |
n.a. |
| เงินให้สินเชื่อ |
14,269.89 |
14,548.18 |
14,410.57 |
n.a. |
ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย
หมายเหตุ: ดัชนีราคาผู้บริโภค มีปีฐานคือ 2558 เงินฝาก/เงินให้สินเชื่อ มีหน่วยเป็น พันล้านบาท
อัตราการใช้กำลังการผลิต มีหน่วยเป็น ร้อยละ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม มีปีฐานคือ 2554
ดุลการค้า ดุลบัญชีเดินสะพัด มีหน่วยเป็น ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา
ภาวะอสังหาริมทรัพย์ เดือนตุลาคม 2560
• ด้านอุปทาน
- ที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เปรียบเทียบ ณ ต.ค. 59 กับ 60 มีรายละเอียดดังนี้
|
ปี |
จำนวน(ยูนิต) |
การเติบโต(%) |
|
ณ ต.ค. 59 |
110,428 |
NA |
|
ณ ต.ค. 60 |
90,592 |
-17.96% |
ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
- ประเภทที่อยู่อาศัยที่มีการจดทะเบียน ณ ต.ค. 60 เรียงตามลำดับมีรายละเอียดดังนี้
|
ประเภท |
จำนวน(ยูนิต) |
สัดส่วน(%) |
|
อาคารชุด |
49,186 |
54.29 |
|
บ้านเดี่ยว |
25,180 |
27.80 |
|
ทาวน์เฮ้าส์ |
10,484 |
11.57 |
|
อาคารพาณิชย์ |
4,169 |
4.60 |
|
บ้านแฝด |
1,573 |
1.74 |
|
รวม |
90,592 |
100.00 |
ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
• ด้านอุปสงค์
-การโอนกรรมสิทธิ์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เปรียบเทียบ ณ ต.ค. 59 กับ 60 มีรายละเอียดดังนี้
|
ปี |
จำนวน(ยูนิต) |
การเติบโต(%) |
|
ณ ต.ค. 59 |
146,695 |
NA |
|
ณ ต.ค. 60 |
126,135 |
-14.02% |
ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
-ประเภทที่อยู่อาศัยที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ ณ ต.ค. 60 เรียงตามลำดับมีรายละเอียดดังนี้
|
ประเภท |
จำนวน(ยูนิต) |
สัดส่วน(%) |
|
อาคารชุด |
60,820 |
48.22 |
|
ทาวน์เฮ้าส์ |
37,861 |
30.02 |
|
บ้านเดี่ยว |
17,376 |
13.77 |
|
อาคารพาณิชย์ |
5,498 |
4.36 |
|
บ้านแฝด |
4,580 |
3.63 |
|
รวม |
126,135 |
100.00 |
ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
-
สินเชื่อที่อยู่อาศัยปล่อยใหม่บุคคลทั่วไปของสถาบันการเงินทั้งระบบ
- สินเชื่อที่อยู่อาศัยปล่อยใหม่ ณ ไตรมาส 3 ปี 60 มีจำนวนทั้งสิ้น 163,281 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้น 19.97% จาก ณ ไตรมาส 3 ปี 59 ที่สามารถปล่อยสินเชื่อได้ 136,097 ล้านบาท - สินเชื่อที่อยู่อาศัยคงค้างบุคคลทั่วไปของสถาบันการเงินทั้งระบบ
- สินเชื่อที่อยู่อาศัยคงค้างบุคคลทั่วไป ณ ไตรมาส 3 ปี 60 มีจำนวนทั้งสิ้น 3,455,765 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้น 6.08% จาก ณ ไตรมาส 3 ปี 59 ที่มียอดคงค้างทั้งสิ้นอยู่ที่ 3,257,781 ล้านบาท
- อัตราดอกเบี้ยที่อยู่อาศัยบุคคลทั่วไปลอยตัวเฉลี่ยของ 6 ธนาคารใหญ่ มีรายละเอียดดังนี้
|
ปี 60 |
อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย |
อัตราดอกเบี้ยนโยบาย ธปท. |
|
มกราคม-เมษายน |
6.71 |
1.50 |
|
พฤษภาคม |
6.33 |
1.50 |
|
มิถุนายน-ตุลาคม |
6.31 |
1.50 |
ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
หมายเหตุ: 6 ธนาคาร ประกอบ ธ.อาคารสงเคราะห์, ธ.กสิกรไทย, ธ.กรุงเทพ,
ธ.กรุงศรีอยุธยา, ธ.กรุงไทย และ ธ.ไทยพาณิชย์
สรุปภาพภาวะอสังหาริมทรัพย์เดือนตุลาคม 2560
ภาพรวมของอุปทานมีการปรับตัวลดลง 17.96% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจค่อยๆ มีการฟื้นตัว ขณะที่ภาครัฐไม่มีมาตรการใหม่ๆ อะไรออกมา ผู้ประกอบการจึงไม่เร่งการพัฒนาโครงการออกมา ทำให้อุปทานในตลาดมีการปรับตัวลดลงไป ในขณะที่ทางด้านอุปสงค์ปรับตัวลดลง 14.02% เพราะสถาบันการเงินมีความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ หลังสัญญาณหนี้ด้อยคุณภาพยังมีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ต้องป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับหนี้ด้อยคุณภาพตามมา ถึงแม้ว่าผู้บริโภคยังมีความต้องการซื้ออยู่ก็ตาม ทั้งนี้ที่อยู่อาศัยประเภทอาคารชุดยังมียอดการโอนกรรมสิทธิ์มากที่สุด รองลงมาคือทาวน์เฮ้าส์ และบ้านเดี่ยว ส่วนสินเชื่อที่อยู่อาศัยมีการขยายตัวขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้น ส่งผลทำให้มีการปรับตัวสูงขึ้น 19.97% ณ ไตรมาส 3 ปี 60 ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่อยู่อาศัยทรงตัวอยู่ที่ 6.31% โดยที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายไม่เปลี่ยนแปลงมีค่าอยู่ที่ 1.50%
วิเคราะห์จุดเปราะบางของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา*
แม้ว่าเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาจะสามารถพลิกฟื้นตัวจากภาวะวิกฤตการณ์ทางการเงินในปี ค.ศ. 2008 ได้ค่อนข้างรวดเร็วและต่อเนื่อง จนทำให้สามารถมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ดีกว่าของประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มประเทศอียูหรือญี่ปุ่นก็ตาม แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยังคงมีเรื่องที่น่ากังวลใจอื่นอยู่อีกมากที่ยังเป็นข้อสงสัยว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาที่ผ่านมาจะใช่สัญญาณของการเริ่มต้นฟื้นตัวอย่างยั่งยืนของเศรษฐกิจโลกด้วยหรือไม่
ข้อสงสัยเหล่านี้ก็เป็นเรื่องที่มีมูลเหตุพอรับฟังได้เสียด้วย เพราะหากพิจารณาถึงอัตราการว่างงานในสหรัฐอเมริกาที่ลดลงอย่างต่อเนื่องจนมาอยู่ในระดับต่ำ จนถือว่าเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาได้เข้าใกล้ระดับการจ้างงานเต็มที่แล้วก็ตาม แต่กลับปรากฏว่าอัตราค่าจ้างแรงงานไม่ได้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปก็ยังอยู่ในระดับเกณฑ์ที่ต่ำกว่าเป้าหมายในระดับ 2% ของคณะกรรมการการเงินสหรัฐอเมริกา (Fed) ทั้งๆ ที่ผ่านมาระดับอัตราดอกเบี้ยก็อยู่ในระดับที่ต่ำมากมาเป็นเวลานาน
โดยช่วงก่อนหน้านี้ก็มีการดำเนินนโยบายคิวอี (Quantitative Easing) ขนานใหญ่เสริมเข้าไปด้วยอีกต่างหาก จึงทำให้หลายฝ่ายเริ่มกังวลว่าในภาวะการณ์เช่นนี้ หากเกิดปัญหาเศรษฐกิจถดถอยขึ้นมาอีกในอนาคตอันใกล้นี้ เนื่องจากที่ผ่านมาเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาได้ขยายตัวต่อเนื่องติดต่อกันเป็นเวลานานอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ดังนั้นจึงมีโอกาสที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้อีกหากใช้เรื่องภาวะวัฏจักรธุรกิจในอดีตมาเป็นเกณฑ์
นโยบายการเงินในส่วนของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจะไม่สามารถนำมาใช้แก้ปัญหาได้อีก เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยเชิงนโยบายอยู่ในระดับที่ต่ำอยู่แล้ว ในขณะที่การใช้นโยบายคิวอีก็จะมีข้อจำกัดมากกว่าที่ผ่านมา เพราะว่าในเชิงอุปมาแล้วเปรียบเสมือนว่าเหลือเครื่องมือคิวอีอยู่ไม่มากแล้วนั่นเอง นอกจากนี้กลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วต่างก็ยังมีปัญหาเศรษฐกิจระยะยาว ที่สำคัญและเป็นเรื่องใหม่เข้ามาอีกซึ่งก็คือปัญหาเรื่องการที่แนวโน้มระยะยาวของมูลค่าผลผลิตมวลรวมที่แท้จริงต่อหัวในช่วงหลังจากวิกฤตการณ์ทางการเงินมีค่า “ต่ำกว่า” ตัวเลขการคาดการณ์แนวโน้นเดียวกันนี้ของเมื่อก่อนหน้าที่จะมีเหตุการณ์เวิกฤตการณ์ทางเงิน
ซึ่งหมายความว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาและประเทศที่พัฒนาแล้วในปัจจุบันที่เข้าใกล้ภาวะการจ้างงานเต็มที่แล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่สามารถทำให้ความสามารถในการผลิตโดยเฉลี่ยของแรงงานสหรัฐอเมริกาและอื่นๆ ฟื้นกลับไปอยู่บนเส้นแนวโน้ม (trend) ประสิทธิภาพการผลิตระยะยาวเส้นเดิมก่อนภาวะวิกฤตการณ์ทางการเงินได้ ซึ่งประเด็นนี้ได้กลายเป็นปริศนาคำถามที่นักเศรษฐศาสตร์กำลังพยายามหาคำอธิบายที่ถูกต้องกันอยู่ เพราะลำพังคำตอบเรื่องการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของประชากรในประเทศเหล่านี้นั้น คงจะใช้อธิบายได้เพียงบางส่วนเท่านั้น
ในเชิงของประโยชน์สังคมในระยะยาวแล้ว นโยบายการคลังที่ถูกต้องเพื่อจัดการกับปัญหาเรื่องประสิทธิภาพการผลิตที่ต่ำลงในระยะยาวนี้ ควรจะเป็นการเพิ่มการลงทุนของภาครัฐในเรื่องของการศึกษาและการวิจัยเพื่อเพิ่มปัจจัยทุนมนุษย์ให้มากขึ้น แต่ในเชิงผลประโยชน์ทางการเมืองระยะสั้นเช่นในกรณีของสหรัฐอเมริกานั้น รัฐบาลปัจจุบันเลือกที่จะผลักดันนโยบายการปรับโครงสร้างภาษีเป็นลำดับแรก โดยนโยบายการปรับโครงสร้างภาษีของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ มีเป้าหมายที่จะปรับอัตราภาษีนิติบุคคลลงมาเหลือเป็นอัตรา 20% ซึ่งคิดเป็นมูลค่าภาษีที่ลดลงเท่ากับ 2.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา ในช่วง 10 ปีข้างหน้า และเมื่อคำนึงถึงรายได้ที่จะได้จากการเลิกการลดค่าลดหย่อนค่าธรรมเนียมและสิทธิทางภาษีต่างๆ ในระดับท้องถิ่นและระดับรัฐซึ่งคนชั้นกลางเคยได้รับเป็นส่วนใหญ่ให้ได้ไม่เกิน 1.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา ในช่วง 10 ปีข้างหน้าแล้ว ก็หมายความว่ารัฐบาลยังจะต้องจัดให้มีงบประมาณแบบขาดดุล ซึ่งจะทำให้รัฐต้องกู้เงินเพิ่มมากขึ้น
ทั้งนี้มีการคาดการณ์จากนักเศรษฐศาสตร์อิสระบางส่วนว่านโยบายลดภาษีนิติบุคคลนี้น่าจะทำให้ระบบเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาขยายตัวเพิ่มขึ้นได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น คือจากที่ผ่านมาที่เศรษฐกิจเคยขยายตัวได้ปีละประมาณ 2% ก็จะปรับเพิ่มขึ้นไปได้เป็นปีละประมาณ 2.2% ต่อปีตลอดช่วง 10 ปีข้างหน้า ซึ่งการขยายตัวดังกล่าวถือเป็นตัวเลขที่ต่ำกว่าการคาดการณ์ของประธานาธิบดีทรัมป์ที่บอกว่าจะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวได้ถึง 3-4% ต่อปี
อย่างไรก็ตามหากนโยบายปรับโครงสร้างภาษี (ที่มีแนวโน้มจะซ้ำเติมปัญหาความเหลื่อมล้ำให้มีมากขึ้นด้วย) ของประธานาธิบดีทรัมป์นี้ต้องล้มเหลวในการเพิ่มการขยายตัวทางเศรษฐกิจโดยไม่สามารถกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชนให้เป็นไปตามเป้าหมายแล้ว และในขณะเดียวกันแผนดังกล่าวก็ยังไปสร้างภาระหนี้ของภาครัฐให้มีเพิ่มมากขึ้นด้วย ซึ่งก็เท่ากับเป็นการปิดกั้นไม่ให้เกิดการลงทุนใหม่ของภาครัฐในเรื่องโครงสร้างพื้นฐานไปในตัวด้วยเพราะรัฐไม่สามารถกู้ยืมได้เพิ่มขึ้นอีก ทั้งหมดนี้ก็จะส่งผลเสียต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและต่อค่าเงินดอลลาร์ด้วยอย่างแน่นอน
ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาที่ผ่านมาที่สามารถขยายตัวทำสถิติใหม่หลายๆ รอบเพราะหวังจะได้อานิสงส์จากนโยบายการปรับโครงสร้างภาษีที่จะทำให้เศรษฐกิจขยายตัวต่อไปนั้น ก็คงจะต้องเกิดอาการผิดหวังและพากันปรับตัวจนทำให้ราคาหุ้นในตลาดลดลงได้อย่างมาก ขณะเดียวกันก็คงต้องจับตาดูท่าทีของประธานคณะกรรมการการเงินสหรัฐอเมริกา (Fed) คนใหม่ว่าจะดำเนินนโยบายต่อจากประธานคนเดิมในเรื่องของ “การดำเนินนโยบายการเงินเพื่อกลับสู่ภาวะปกติของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (Fed Policy Normalization)” อย่างไรบ้าง และจะไปซ้ำเติมการปรับลดของราคาหุ้นในตลาดตามที่กล่าวไปแล้วอย่างไร เพราะหากตลาดตื่นตระหนกต่อปัญหาต่างๆ ที่กล่าวมาแล้วข้างต้น จนทำให้ราคาหุ้นปรับลดลงอย่างรุนแรง ก็ย่อมจะส่งผลเสียต่อระบบเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาและรวมทั้งเศรษฐกิจโลกที่จะพากันชะงักงันและถดถอยในที่สุดด้วย
โดยสรุปผลกระทบจากความเปราะบางของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาและเศรษฐกิจโลกที่จะมีต่อเศรษฐกิจไทยนั้น เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก จึงจำเป็นต้องมีการเตรียมรับมือกับปัญหาเหล่านี้อย่างรอบคอบไว้ล่วงหน้า ในเชิงนโยบายเศรษฐกิจอีกมากมายที่นอกเหนือไปจากนโยบายต่างๆ ที่มีอยู่แล้ว เช่น นโยบายประเทศไทย 4.0 หรือการลงทุนเขตเศรษฐกิจ EEC หรือการลงทะเบียนคนจนและมาตรการประชารัฐ หรือแม้แต่ล่าสุดคือมาตรการช้อปช่วยชาติ เป็นต้น ซึ่งการเตรียมความพร้อมไว้ล่วงหน้าจะช่วยเป็นเครื่องมือที่จะทำให้ไทยสามารถที่จะรองรับกับความผันผวนที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้เป็นอย่างดี
วิเคราะห์การขับเคลื่อนเพื่อสร้างการเติบโตของเศรษฐกิจไทยอย่างต่อเนื่อง
ภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2560 ขยายตัวดีและคาดว่าจะขยายตัวได้ร้อยละ 3.8-4.0 ประกอบกับมีสัญญาณต่างๆ ชี้ว่าการลงทุนจะกลับมา ไม่ว่าจะเป็นผลสำรวจการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยที่ดีขึ้น โดยองค์กรสากลอย่าง WEF และ IMD การแก้ไขปัญหามาตรฐานความปลอดภัยด้านการบิน ไปจนถึงการประกาศว่าจะมีการเลือกตั้งในช่วงปลายปี 2561 ตลอดจนการได้รับการจัดอันดับความสะดวกในการทำธุรกิจที่สูงขึ้นโดยธนาคารโลก สำหรับทิศทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยปี 2561 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวต่อเนื่องไม่ต่ำกว่าร้อยละ 4.0 โดยได้รับแรงส่งหรือโมเมนตัมทางเศรษฐกิจในปี 2560 ที่อยู่ในเกณฑ์ดี โดยคาดว่าภาครัฐจะเน้นดำเนินการ 3 ด้านเพื่อสร้างความเจริญเติบโตต่อเนื่อง ภายหลังจากเห็นความเคลื่อนไหวเชิงยุทธศาสตร์ที่ชัดเจนจากชาติมหาอำนาจยักษ์ใหญ่ เช่น สหรัฐอเมริกา จีน ญี่ปุ่น และอินเดีย ที่ต่างโฟกัสมายังอาเซียนทั้งสิ้น จึงมองว่าไทยเป็นศูนย์กลางของอาเซียน และจะมีการเชื่อมโยงกันมากขึ้นโดยเฉพาะ ซีแอลเอ็มวีที มองว่าปี 2561 จะเป็นปีแห่งโอกาสของเศรษฐกิจไทย เพียงแต่ต้องสร้างเศรษฐกิจไทยให้มีความเข้มแข็งขึ้น ผนึกกำลังและเคลื่อนตัวให้เร็วกว่าประเทศอื่นและเคลื่อนไปในทิศทางที่ถูกต้องใน 3 ด้าน ดังนี้
1. ลดช่องว่าง ฐานรากต้องเข้มแข็ง
คาดว่าภาครัฐจะเร่งเสริมสภาพคล่องให้กับประชาชนในระดับฐานรากหรือผู้มีรายได้น้อย เพื่อให้เกิดการจ้างงาน และมีเม็ดเงินหมุนเวียนสู่ระดับท้องถิ่น โดย
• นำเงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ที่มีงบประมาณ 2 แสนล้านบาท มาจ้างงาน/ฝึกอาชีพ และส่งเสริมให้เกิดวิสาหกิจชุมชน และการท่องเที่ยวระดับชุมชน โดยให้ อปท. นำเสนอโครงการที่ดีๆ เข้ามา
• จัดโครงการที่ให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น เช่น ส่งเสริมการปลูกพืชชนิดอื่นนอกเหนือจากข้าวและยางพารา และนำไปขายในร้านค้าโมเดิร์นเทรดและร้านธงฟ้าประชารัฐ
• ผลักดันให้ชุมชนที่เข้มแข็งสามารถทำการค้าผ่านออนไลน์ได้ (อี-คอมเมิร์ช)
• เข้าไปดูแลเรื่องสินเชื่อหมุนเวียนและการให้ดอกเบี้ยต่ำ
2. เดินหน้าลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน
ในช่วงที่ผ่านมาได้เห็นการขับเคลื่อนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมมาบ้างแล้ว ไม่ว่าจะเป็นโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว สายสีน้ำเงิน และสายสีแดง ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ขณะที่ในปี 2561 คาดว่าจะเห็นการเร่งตัวของโครงการเมกะโปรเจ็กต์ที่ชัดเจนและต่อเนื่องมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกหรืออีอีซีที่คาดว่าจะมีการเริ่มต้นโครงการเพื่อให้เกิดการประมูลได้ภายในไตรมาส 2 ปี 2561 ทั้งรถไฟความเร็วสูง สนามบินและท่าเรือ โดยเฉพาะโครงการรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-ระยอง ที่จะเชื่อม 3 สนามบิน ดอนเมือง สุวรรณภูมิและอู่ตะเภา ซึ่งจะมีผลต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศมหาศาล คาดว่าจะเห็นการลงทุนจากต่างชาติในปี 2561 มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น จีน ญี่ปุ่น ฮ่องกง จีนไทเป (ไต้หวัน) ทั้งนี้นอกจากโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมแล้ว เรื่องเทคโนโลยีทางวิทยาศาสตร์ กฎระเบียบด้านกฎหมายก็เป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งก็จะส่งเสริมการลงทุนด้าน R&D และปรับระบบงานเพื่อให้เอื้อต่อการปฏิบัติงานให้ดีขึ้น (Ease of Doing Business)
3. เปลี่ยนผ่านสู่โลกดิจิทัล
ในปีหน้าคาดว่าโครงการอินเตอร์เน็ตจะครบทุกหมู่บ้าน เพื่อรองรับการสื่อสารผ่านออนไลน์ การค้าและฟินเทค รวมไปถึงระดับโรงเรียน วัด และสาธารณสุข เพื่อให้เข้าถึงการศึกษาด้วย ขณะเดียวกันก็คากว่าภาครัฐจะส่งเสริมให้มีการใช้จ่ายผ่านระบบออนไลน์ (E-Payment) มากขึ้น รวมถึงการสื่อสาร การค้าขาย และระบบโลจิสติกส์ให้มีการใช้ระบบดิจิทัลมากขึ้น หน่วยธุรกิจคงต้องเร่งปรับตัวรับมือให้ทันกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากธุรกิจและอุตสาหกรรมโลกกำลังอยู่ในช่วงการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก ธุรกิจคงเปลี่ยนเป็นระบบดิจิทัลที่มีการเร่งสร้างแพลตฟอร์มดิจิทัลของตนเอง และสร้างเครือข่ายให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการสะดวกมากขึ้น ขณะเดียวกันเชื่อว่าภาครัฐก็คงเร่งปลดล็อกกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุน พร้อมไปกับการสร้างบรรยากาศให้เอื้อต่อการลงทุน ตลอดจนการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำเชิงโครงสร้างที่ยังเป็นสิ่งที่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง
โดยสรุปจากแนวทางในการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจทั้ง 3 ด้าน ภาครัฐจะต้องเร่งดำเนินการให้เป็นรูปธรรมและสามารถดำเนินการได้อย่างแท้จริงในปี 2561 เป็นต้นไป ก็จะเป็นแรงสนับสนุนที่สำคัญในการทำให้เศรษฐกิจมีการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และที่สำคัญจะเป็นการวางรากฐานเพื่อทำให้ในอนาคตของเศรษฐกิจไทยมีการเติบโตได้อย่างยั่งยืนและแท้จริงต่อไปนั่นเอง
_______________
* แหล่งที่มาของข้อมูล : ศ.ดร.อารยะ ปรีชาเมตตา ศาสตราจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
กลุ่มข้อมูลและวางแผนสื่อสารองค์กร
ฝ่ายสื่อสารองค์กร