บทความวิเคราะห์รายงานทางเศรษฐกิจ (ประจำเดือนกันยายน 2559)
ข้อมูลเดือนกรกฎาคม 2559 จากตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน จะเห็นว่าดัชนีราคาผู้บริโภคยังมีค่าลดลง เพราะราคาน้ำมันมีความผันผวน ในขณะที่สินค้าจำพวกอาหารสดเริ่มมีราคาถูกลง หลังจากที่มีสินค้าออกมาสู่ตลาดมากขึ้น ส่งผลทำให้ราคามีการปรับตัวลดลงมา ส่วนภาคการผลิตยังมีการปรับตัวลดลง เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังมีการฟื้นตัวอย่างช้าๆ ทำให้คำสั่งซื้อจากต่างประเทศยังมีไม่มากนัก จึงทำให้ในเดือนนี้มีการผลิตสินค้าออกมาได้น้อยลง ในขณะเดียวกันดุลการค้าปรับตัวลดลงแต่ยังมีทิศทางที่เป็นบวกอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการนำเข้ายังมีการปรับตัวลดลงไปค่อนข้างมากอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้ไม่น่าเป็นห่วง อย่างไรก็ตามภาวะการเงินยังทรงตัวไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลง โดยปริมาณเงินฝากและเงินให้สินเชื่อมีค่าลดลง เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยอยู่ในช่วงต่ำ ประกอบกับประชาชนเริ่มหันไปออมเงินผ่านกองทุนต่างๆ เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ประชาชนมีการฝากเงินน้อยลงไป ในขณะที่การปล่อยสินเชื่อมีการปรับตัวลดลงมา เนื่องจากในช่วงก่อนหน้านั้นธนาคารได้มีการปล่อยสินเชื่อไปบ้างแล้ว จึงเริ่มมีการชะลอการปล่อยสินเชื่อออกมา รวมทั้งยังคงมีความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาหนี้เสียตามมาอีกด้วย
ตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน
|
รายละเอียด |
เมษายน 59 |
พฤษภาคม 59 |
มิถุนายน 59 |
กรกฎาคม 59 |
| ดัชนีราคาผู้บริโภค |
106.4 |
107.0 |
107.1 |
106.7 |
| ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม |
98.73 |
111.41 |
108.22 |
101.83 |
| อัตราการใช้กำลังการผลิต |
59.52 |
67.54 |
66.70 |
62.34 |
| ดุลการค้า |
2,499.63 |
3,505.93 |
3,791.37 |
3,194.65 |
| ดุลบัญชีเดินสะพัด |
3,163.59 |
2,233.60 |
2,977.55 |
3,667.19 |
| เงินฝาก |
12,575.38 |
12,509.21 |
12,437.41 |
n.a. |
| เงินให้สินเชื่อ |
13,775.81 |
13,870.70 |
13,751.77 |
n.a. |
ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย
หมายเหตุ: ดัชนีราคาผู้บริโภค มีปีฐานคือ 2554 เงินฝาก/เงินให้สินเชื่อ มีหน่วยเป็น พันล้านบาท
อัตราการใช้กำลังการผลิต มีหน่วยเป็น ร้อยละ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม มีปีฐานคือ 2554
ดุลการค้า ดุลบัญชีเดินสะพัด มีหน่วยเป็น ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา
ภาวะอสังหาริมทรัพย์ เดือนกรกฎาคม 2559
• ด้านอุปทาน
- ที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เปรียบเทียบ ณ ก.ค. 58 กับ 59 มีรายละเอียดดังนี้
|
ปี |
จำนวน(ยูนิต) |
การเติบโต(%) |
|
ณ ก.ค. 58 |
66,883 |
NA |
|
ณ ก.ค. 59 |
67,794 |
1.36% |
ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
- ประเภทที่อยู่อาศัยที่มีการจดทะเบียน ณ ก.ค. 59 เรียงตามลำดับมีรายละเอียดดังนี้
|
ประเภท |
จำนวน(ยูนิต) |
สัดส่วน(%) |
|
อาคารชุด |
37,900 |
55.90 |
|
บ้านเดี่ยว |
18,549 |
27.36 |
|
ทาวน์เฮ้าส์ |
8,428 |
12.43 |
|
อาคารพาณิชย์ |
1,886 |
2.78 |
|
บ้านแฝด |
1,031 |
1.53 |
|
รวม |
67,794 |
100.00 |
ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
• ด้านอุปสงค์
-การโอนกรรมสิทธิ์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เปรียบเทียบ ณ ก.ค. 58 กับ 59 มีรายละเอียดดังนี้
|
ปี |
จำนวน(ยูนิต) |
การเติบโต(%) |
|
ณ ก.ค. 58 |
99,019 |
NA |
|
ณ ก.ค. 59 |
110,193 |
11.28% |
ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
-ประเภทที่อยู่อาศัยที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ ณ ก.ค. 59 เรียงตามลำดับมีรายละเอียดดังนี้
|
ประเภท |
จำนวน(ยูนิต) |
สัดส่วน(%) |
|
อาคารชุด |
58,531 |
53.12 |
|
ทาวน์เฮ้าส์ |
30,438 |
27.62 |
|
บ้านเดี่ยว |
12,490 |
11.33 |
|
อาคารพาณิชย์ |
5,888 |
5.34 |
|
บ้านแฝด |
2,846 |
2.59 |
|
รวม |
110,193 |
100.00 |
ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
- สินเชื่อที่อยู่อาศัยปล่อยใหม่บุคคลทั่วไปของสถาบันการเงินทั้งระบบ
- สินเชื่อที่อยู่อาศัยปล่อยใหม่ ณ ไตรมาส 2 ปี 59 มีจำนวนทั้งสิ้น 154,171 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้น 7.50% จาก ณ ไตรมาส 2 ปี 58 ที่สามารถปล่อยสินเชื่อได้ 143,418 ล้านบาท
- สินเชื่อที่อยู่อาศัยคงค้างบุคคลทั่วไปของสถาบันการเงินทั้งระบบ
- สินเชื่อที่อยู่อาศัยคงค้างบุคคลทั่วไป ณ ไตรมาส 2 ปี 59 มีจำนวนทั้งสิ้น 3,217,570 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้น 8.79% จาก ณ ไตรมาส 2 ปี 58 ที่มียอดคงค้างทั้งสิ้นอยู่ที่ 2,957,531 ล้านบาท
- อัตราดอกเบี้ยที่อยู่อาศัยบุคคลทั่วไปลอยตัวเฉลี่ยของ 6 ธนาคารใหญ่ มีรายละเอียดดังนี้
|
ปี 59 |
อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย |
อัตราดอกเบี้ยนโยบาย ธปท. |
|
มกราคม-มีนาคม |
6.85 |
1.50 |
|
เมษายน |
6.73 |
1.50 |
|
พฤษภาคม-กรกฎาคม |
6.69 |
1.50 |
ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
หมายเหตุ: 6 ธนาคาร ประกอบ ธ.อาคารสงเคราะห์, ธ.กสิกรไทย, ธ.กรุงเทพ,
ธ.กรุงศรีอยุธยา, ธ.กรุงไทย และ ธ.ไทยพาณิชย์
สรุปภาพภาวะอสังหาริมทรัพย์เดือนกรกฎาคม 2559
ภาพรวมของอุปทานมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 1.36% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากมาตรการของภาครัฐที่ออกมาได้สิ้นสุดแล้ว ทำให้ผู้ประกอบการไม่เร่งการพัฒนาโครงการออกมา เพื่อดูว่าในช่วงครึ่งปีหลังว่าภาครัฐจะมีมาตรการใหม่ๆ อะไรออกมาบ้าง ในขณะที่ทางด้านอุปสงค์ปรับตัวสูงขึ้น 11.28% เพราะผู้ประกอบการได้ออกโปรโมชั่นเพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค หลังจาที่มาตรการภาครัฐได้สิ้นสุดลง ทำให้ผู้บริโภคยังมีการซื้ออย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ที่อยู่อาศัยประเภทอาคารชุดยังมียอดการโอนกรรมสิทธิ์มากที่สุด รองลงมาคือทาวน์เฮ้าส์ และบ้านเดี่ยว ส่วนสินเชื่อที่อยู่อาศัยมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นตามมาตรการของภาครัฐ ทำให้มีการปรับตัวสูงขึ้นไป 7.50% ณ ไตรมาส 2 ปี 59 ในขณะที่ดอกเบี้ยที่อยู่อาศัยทรงตัวอยู่ที่ 6.69% และอัตราดอกเบี้ยนโยบายไม่เปลี่ยนแปลงมีค่าอยู่ที่ 1.50%
วิเคราะห์มาตรการสิ่งแวดล้อม : อุปสรรคหรือโอกาสส่งออกไทย*
ความสามารถแข่งขันของไทยในปัจจุบันต้องต่อสู้กับแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของโลกหลายด้าน ทั้งการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีของการปฏิวัติอุตสาหกรรมยุคที่ 4 ซึ่งเติบโตจากเทคโนโลยีการสื่อสารไร้สายและอินเทอร์เน็ต ที่ช่วยให้ธุรกิจ startup เติบโตอย่างรวดเร็วโดยไม่จำเป็นต้องมีโรงงานหรือหน้าร้านทางกายภาพ เช่น Pokémon GO ที่เป็นเกมที่ทำรายได้สูงสุดถึง 206.5 ล้านดอลลาร์ภายในเดือนแรก ธุรกิจหรือสินค้าที่เคยประสบความสำเร็จในช่วงที่ผ่านมา อาจล้มเหลวโดยสิ้นเชิงในเวลาไม่กี่ปีข้างหน้าจากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว เช่นที่เกิดกับบริษัทโนเกียเมื่อ IPhone เกิดขึ้น หรือการที่พลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์มีราคาถูกลงอย่างรวดเร็ว และการกำเนิดขึ้นของรถไฟฟ้าที่ส่งผลต่อความตกต่ำของราคาน้ำมัน และการผลิตรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน
สินค้าส่งออกซึ่งเป็นแหล่งรายได้สำคัญของไทยยังต้องเผชิญกับความท้าทายอื่นอีก คือไม่เพียงแต่จะต้องราคาถูก แต่ยังต้องผ่านมาตรฐานระหว่างประเทศที่เข้มงวดด้วย โดยเฉพาะมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมปัญหาทางสิ่งแวดล้อมระดับโลกที่สำคัญที่สุดขณะนี้คือ ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก (climate change, CC) ซึ่งเมื่อปีที่แล้วสหประชาชาติได้ลงมติรับรองความตกลงปารีส (Paris Agreement) ซึ่งระบุให้ทุกประเทศต้องมีส่วนร่วมในการช่วยลดก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นต้นเหตุของ CC ความตกลงดังกล่าวตั้งเป้าหมายที่จะควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไม่ให้เกิน 2°C เพื่อไม่ให้เกิดมหันตภัยทางธรรมชาติ เพื่อเป้าหมายดังกล่าว ไทยเสนอ Intended Nationally Determined Contributions (INDCs) หรือเจตจำนงในการลด (Greenhouse Gases : GHGs) ที่ 20-25% จากการศึกษาโดย Climate Action Tracker เพื่อประเมินผลของการลด GHGs จากผลรวมของ INDCs ทุกประเทศ พบว่ายังไม่เพียงพอ เพราะอุณหภูมิเฉลี่ยโลกจะยังเพิ่มขึ้นถึง 2.7°C ซึ่งแสดงว่าจะต้องมีการเรียกร้องให้ทุกประเทศ (รวมทั้งไทย) ต้องร่วมกันลด GHGs เพิ่มขึ้นอีก การกดดันอาจทำผ่านการเจรจาหรืออาจมาในรูปของการเพิ่มมาตรฐานการผลิตสินค้าที่ต้องมีการปล่อย GHGs ที่ต่ำ ซึ่งเรียกว่าการปรับค่าคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน
ดังนั้นไทยอาจจำเป็นที่จะต้องใช้มาตรการที่เข้มข้นมากขึ้น เพื่อบรรลุเป้าหมายในที่สุด เช่น ภาษีคาร์บอน หรือตลาดคาร์บอน คำถามที่น่าสนใจก็คือ มาตรการเหล่านี้จะกระทบต่อการแข่งขันของไทยหรือไม่ เพื่อตอบคำถามนี้จึงได้ทำการวิจัยประเมินผลกระทบของมาตรการตลาดคาร์บอนต่อความสามารถแข่งขัน โดยใช้แบบจำลองทางเศรษฐศาสตร์ ชื่อ GTAP-E Version 9 ซึ่งเป็นฐานข้อมูลของปี 2011 และทำการคำนวณความสามารถแข่งขันของสินค้าไทยด้วยดัชนี Normalized Reveled Comparative Advantage หรือ NRCA หากค่าของดัชนีของสินค้ามีค่ามากกว่าศูนย์ แสดงว่าสินค้าดังกล่าวของประเทศนั้นมีความสามารถในการแข่งขัน แต่ถ้ามีค่าติดลบมากแสดงว่าไม่สามารถแข่งขันได้
ผลของการคำนวณพบว่า สาขาการผลิตที่ไทยมีความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบหรือแข่งขันได้ดี ได้แก่ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ (9.35) ผลิตภัณฑ์ยาง เคมีภัณฑ์ และพลาสติก (8.28) อุตสาหกรรมอาหาร (6.59) ข้าว (3.27) บริการขนส่ง (2.08) และยานยนต์และชิ้นส่วน (1.59) ส่วนสินค้าที่ไทยเสียเปรียบในการแข่งขันหรือแข่งขันได้น้อย ได้แก่ น้ำมันดิบ (-9.64) บริการอื่นๆ (-8.77) อุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานเข้มข้น (-4.76) อุตสาหกรรมอื่น (-1.94) เครื่องจักรและอุปกรณ์ (-1.45)
เมื่อทำการทดลองด้วยการให้ไทยจำกัดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพียงฝ่ายเดียวลง 20% แล้วใช้ตลาดคาร์บอนเครดิต พบว่าความสามารถในการแข่งขันนั้นอาจเป็นได้ทั้งเลวลงและดีขึ้น
สาขาการผลิตที่เลวลง ได้แก่ สาขาที่ใช้พลังงานสูง เช่น บริการขนส่ง (-34.63%) อุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานเข้มข้นอื่นๆ (-23.63%) ไฟฟ้า (-16.63%) สินค้าเกษตรอื่นๆ (-2.54%) สาขาที่เดิมแข่งขันได้ แต่แข่งขันได้ลดน้อยลง เช่น บริการขนส่ง (-34.63% แต่ NRCA ยังเป็นบวก = 1.36) ข้าว (-0.37%) และน้ำตาล (-0.87%) สาเหตุหลักก็เป็นเพราะการจำกัดการปล่อยก๊าซ ทำให้ต้นทุนการผลิตของสาขาเหล่านี้เพิ่มสูงขึ้นกว่าเดิมมากโดยเปรียบเทียบกับสาขาอื่นเพราะต้องจ่ายซื้อคาร์บอนเครดิตมากขึ้น
แต่ความสามารถแข่งขันของบางสาขากลับเพิ่มขึ้น เช่น ยานยนต์และชิ้นส่วน (+10.71%) ผลิตภัณฑ์ (+6.91%) อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ (+5.86%) อุตสาหกรรมอาหาร (+1.11%) เนื่องจากการลดลงของความสามารถในการแข่งขันของสาขาที่มีการใช้พลังงานเข้มข้น และที่มีความสามารถแข่งขันต่ำอยู่แล้ว เปิดโอกาสให้สาขาเหล่านี้ (ที่จ่ายซื้อคาร์บอนเครดิตในสัดส่วนที่น้อยกว่า) สามารถแข่งขันได้ดีขึ้นโดยเปรียบเทียบ
ผลการคำนวณชี้ให้เห็นว่าการบังคับใช้มาตรการด้านสิ่งแวดล้อมไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นอุปสรรคต่อความสามารถในการค้าระหว่างประเทศเสมอไป มาตรการสามารถที่จะสร้างโอกาสในการแข่งขันที่ดีขึ้นได้ และงานวิจัยดังกล่าวยังพบว่าหากทดลองให้ประเทศในอาเซียนอื่นใช้มาตรการตลาดคาร์บอนร่วมกับไทยและจำกัดการปล่อย GHGs ลง 20% ร่วมกัน ผลกระทบเชิงลบต่อความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยจะทุเลาปัญหาลง และในบางกรณียังช่วยให้สินค้าของไทยบางชนิดแข่งขันได้ดียิ่งขึ้นด้วย มาตรการด้านสิ่งแวดล้อมจึงไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นอุปสรรคเสมอไป แต่อาจช่วยสร้างโอกาสให้กับการแข่งขันก็ได้ ซึ่งจะส่งผลดีต่อการส่งออกของไทยได้มากขึ้นในอนาคต
วิเคราะห์การเติบโตของตลาดหลักทรัพย์ในอาเซียน
ในช่วงที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าตลาดหลักทรัพย์อาเซียนและตลาดเกิดใหม่ในเอเซีย เป็นที่สนใจของ นักลงทุน เพราะตลาดเหล่านี้มีความต้านทานต่อความผันผวนของตลาดโลก เนื่องด้วยพื้นฐานเศรษฐกิจที่เติบโตแข็งแกร่ง และมีแนวโน้มของการฟื้นตัวในระยะยาว ตลาดหลักทรัพย์อาเซียนจึงมีความโดดเด่นโดยเฉพาะในแง่ของผลตอบแทนเมื่อเปรียบเทียบกับภูมิภาคอื่น
ทั้งนี้หากดูเป็นรายประเทศในกลุ่มอาเซียนจะเห็นได้ว่าตลาดหลักทรัพย์ในแต่ละประเทศมีรายละเอียดดังนี้
ประเทศอินโดนีเซีย มีความน่าสนใจมากที่สุด เนื่องจากมีปัจจัยหนุนในประเทศ อาทิ แผนพัฒนาเศรษฐกิจของประธานาธิบดีโจโก วีโดโด ที่มุ่งเน้นการปฏิรูปงบประมาณประเทศเพื่อนำไปใช้ในการพัฒนาประเทศ โดยรัฐบาลอินโดนีเซียได้เพิ่มงบประมาณการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) จาก 1.5% ในปี 2557 เป็น 2.5% ในปี 2559 การผ่านร่างกฎหมายนิรโทษกรรมทางภาษีซึ่งจะมีผลบังคับใช้เป็นเวลา 9 เดือน นับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2559 เป็นต้นไป นอกจากนี้ประธานาธิบดีโจโก วีโดโด ยังได้มีการปรับคณะรัฐมนตรีกว่า 13 ตำแหน่ง จากทั้งหมด 34 ตำแหน่งเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของรัฐบาล ด้วยความเชื่อมั่นในประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศอินโดนีเซียปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องจากจุดต่ำสุดในไตรมาส 1 ปี 2559 ที่ GDP +4.9% และไตรมาส 2 ปี 2559 ที่เพิ่งประกาศออกมาที่ +5.2% ซึ่งถือว่าดีกว่าที่ตลาดคาดหวัง โดยตัวขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจ ได้แก่ การบริโภคและการลงทุนภายในประเทศน่าจะทำงานได้ดีมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง
ประเทศฟิลิปปินส์ เป็นอีกประเทศหนึ่งที่น่าสนใจในการลงทุนเช่นเดียวกัน เนื่องจากเป็นประเทศที่มีอัตราการเติบโตสูงเป็นอันดับต้นๆ ของภูมิภาค โดยคาดการณ์ว่า GDP ในไตรมาส 2 ปี 2559 น่าจะเติบโตได้ต่อเนื่องจาก +6.9% ในไตรมาส 1 ปี 2559 รวมทั้งมีเสถียรภาพทางการเมืองในระดับสูง ทั้งนี้ภายหลังจากที่ประธานาธิบดีโรดรีโก โรอา ดูแตร์เต ได้เข้ารับตำแหน่ง ก็เน้นย้ำถึงการสานต่อนโยบายของประธานาธิบดีคนก่อน ไม่ว่าจะเป็นการผลักดันโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานผ่านการเข้าร่วมของภาคเอกชน (PPP) พร้อมยังเน้นย้ำนโยบายที่จะเพิ่มขีดความสามารถของประเทศและการกระจายรายได้สู่ชนบท ล่าสุดรัฐบาลใหม่ได้อนุมัติโครงการโครงสร้างพื้นฐานถนนเชื่อม North Luzon Express Way และ South Luzon Express Way (NLEX-SLEX) ภายในเวลาไม่ถึงเดือนหลังจากเริ่มบริหารประเทศอย่างเป็นทางการ ซึ่งช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับนักลงทุนเป็นอย่างมาก รัฐบาลชุดใหม่เองก็ยังมีแผนงานที่จะปฏิรูปโครงสร้างภาษีของประเทศโดยจะนำเสนอแผนต่อสภาในช่วงเดือนกันยายน 2559 ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าจะมีการเสนอให้ลดทั้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคล ซึ่งหากทำได้จริงก็จะส่งผลบวกอย่างต่อเนื่องต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศฟิลิปปินส์
ประเทศมาเลเซีย แม้จะได้รับอานิสงส์จากเงินทุนไหลเข้าน้อย แต่ยังคงมีปัจจัยบวกหลายด้านที่ช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจในหลายอุสาหกรรม อาทิ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ตลอดจนปัจจัยเรื่องโครงการโครงสร้างพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นรถไฟใต้ดินสายที่สอง (MRT) และรถไฟฟ้าขนาดเล็กสายที่สาม (LRT)
ประเทศเวียดนาม มีแนวโน้มการเติบโตของการบริโภคในประเทศที่ค่อนข้างสูง และยังคงมีความต้องการด้านอสังหาริมทรัพย์อยู่มาก ตลอดจนล่าสุดบริษัท Vietnam Dairy Products Joint Stock Company (Vinamilk) ที่มีมูลค่าตลาดสูงสุดในประเทศเวียดนาม ได้รับอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ในการเพิ่มการถือครองหุ้นของต่างชาติจาก 49% เป็น 100% ซึ่งลดอุปสรรคในการถือครองบริษัทเวียดนามของผู้ลงทุนต่างชาติ ทำให้ภาพรวมการลงทุนในประเทศเวียดนามมีปัจจัยสนับสนุนในทิศทางที่ดีขึ้น
ประเทศไทย ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและภาคเอกชนภายในประเทศน่าจะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน เป็นผลมาจากปัจจัยหลายด้าน อาทิ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่เริ่มเห็นเป็นรูปธรรมชัดเจนมากขึ้น ปัญหาภัยแล้งที่คลี่คลาย หนี้สินครัวเรือนที่ค่อยๆ ลดลง ตลอดจนอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพในระบบธนาคารพาณิชย์ที่จะปรับตัวดีขึ้นตามการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในภาคส่วนต่างๆ อีกทั้งการลงประชามติซึ่งมีผลรับร่างรัฐธรรมนูญ เป็นอีกส่วนสำคัญที่ส่งผลดีต่อกระแสเงินทุนไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้นโดยภาพรวมแล้วอาเซียนจึงเป็นอีกภูมิภาคที่น่าสนใจลงทุน เนื่องจากแนวโน้มตัวเลขเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ในภูมิภาคอาเซียนมีทิศทางที่ดีขึ้นเป็นลำดับจากความพยายามของรัฐบาลที่ดำเนินนโยบายในการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาลแทบจะทุกประเทศที่นำไปสู่การจ้างงานและการลงทุนภาคเอกชนที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะถัดไปได้อย่างมีนัยสำคัญมากยิ่งขึ้น
_______________
* แหล่งที่มาของข้อมูล : รศ.ดร.ชยันต์ ตันติวัสดาการ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
กลุ่มข้อมูลและวางแผนสื่อสารองค์กร
ฝ่ายสื่อสารองค์กร