หน้าหลัก > บทความเศรษฐกิจ > บทความวิเคราะห์รายงานทางเศรษฐกิจ (ประจำเดือนมิถุนายน 2559)

บทความวิเคราะห์รายงานทางเศรษฐกิจ (ประจำเดือนมิถุนายน 2559)

บทความวิเคราะห์รายงานทางเศรษฐกิจ (ประจำเดือนมิถุนายน 2559)


          ข้อมูลเดือนเมษายน 2559 จากตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน จะเห็นว่าดัชนีราคาผู้บริโภคยังมีค่าเพิ่มขึ้น เพราะราคาน้ำมันมีความผันผวนและมีการปรับเพิ่มขึ้น ในขณะที่สินค้าจำพวกอาหารสดมีราคาสูงขึ้นตามภาวะภัยแล้งที่มีสินค้าออกมาสู่ตลาดได้น้อยลง ส่งผลทำให้ราคามีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมา ส่วนภาคการผลิตมีการปรับตัวลดลง เนื่องจากในช่วงก่อนหน้านั้นผู้ประกอบการได้มีการผลิตสินค้าออกมาค่อนข้างมาก ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ฟื้นตัวเท่าไรนัก ทำให้ในเดือนนี้การผลิตสินค้าจึงมีการหดตัวลงมา ในขณะเดียวกันดุลการค้าปรับตัวลดลงแต่ยังมีทิศทางที่เป็นบวกอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการนำเข้ามีการปรับตัวลดลงไปค่อนข้างมากอย่างต่อเนื่อง ทำให้ยังไม่น่าเป็นห่วงมากเท่าไรนัก อย่างไรก็ตามภาวะการเงินยังทรงตัวไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลง โดยปริมาณเงินฝากมีค่าเพิ่มขึ้นแต่เงินให้สินเชื่อมีค่าลดลง เนื่องจากผลตอบแทนจากการลงทุนประเภทอื่นๆ ยังมีไม่มากประกอบกับการลงทุนในหลักทรัพย์ยังมีความผันผวน ส่งผลให้ประชาชนยังมีการฝากเงินอยู่อย่างต่อเนื่อง ในขณะที่การปล่อยสินเชื่อมีการปรับตัวลดลงมา เนื่องจากธนาคารได้มีการปล่อยสินเชื่อในช่วงก่อนหน้าไปค่อนข้างมากจึงเริ่มมีการชะลอปล่อยสินเชื่อลงเพื่อรอดูภาวะเศรษฐกิจว่าจะปรับตัวเป็นอย่างไรบ้าง อีกทั้งยังคงมีความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาหนี้เสียตามมาอีกด้วย

ตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน

รายละเอียด

  มกราคม 59

กุมภาพันธ์ 59

มีนาคม 59

เมษายน 59

ดัชนีราคาผู้บริโภค

105.5

105.6

105.8

106.4

ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม

106.09

108.06

119.70

99.23

อัตราการใช้กำลังการผลิต

63.77

65.60

72.79

58.43

ดุลการค้า

2,635.96

5,977.75

4,687.46

2,449.63

ดุลบัญชีเดินสะพัด

4,066.01

7,401.49

4,952.32

3,163.59

เงินฝาก

12,280.57

12,362.91

12,480.63

n.a.

เงินให้สินเชื่อ

13,473.84

13,594.43

13,533.17

n.a.

ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย
                             หมายเหตุ: ดัชนีราคาผู้บริโภค มีปีฐานคือ 2554  เงินฝาก/เงินให้สินเชื่อ มีหน่วยเป็น พันล้านบาท
                                                  อัตราการใช้กำลังการผลิต มีหน่วยเป็น ร้อยละ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม มีปีฐานคือ 2554 
                       ดุลการค้า ดุลบัญชีเดินสะพัด มีหน่วยเป็น ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา

ภาวะอสังหาริมทรัพย์ เดือนเมษายน 2559
     • ด้านอุปทาน
        - ที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เปรียบเทียบ ณ เม.ย. 58 กับ 59 มีรายละเอียดดังนี้

ปี

จำนวน(ยูนิต)

การเติบโต(%)

ณ เม.ย. 58

34,244

NA

ณ เม.ย. 59

44,731

30.62%

ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์

       - ประเภทที่อยู่อาศัยที่มีการจดทะเบียน ณ เม.ย. 59 เรียงตามลำดับมีรายละเอียดดังนี้

ประเภท

จำนวน(ยูนิต)

สัดส่วน(%)

อาคารชุด

27,591

61.68

บ้านเดี่ยว

10,829

24.21

ทาวน์เฮ้าส์

4,772

10.67

อาคารพาณิชย์

860

1.92

บ้านแฝด

679

1.52

รวม

44,731

100.00

ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์


     • ด้านอุปสงค์
        -การโอนกรรมสิทธิ์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เปรียบเทียบ ณ เม.ย. 58 กับ 59 มีรายละเอียดดังนี้

ปี

จำนวน(ยูนิต)

การเติบโต(%)

ณ เม.ย. 58

51,630

NA

ณ เม.ย. 59

81,047

56.98%

ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์

       -ประเภทที่อยู่อาศัยที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ ณ เม.ย. 59 เรียงตามลำดับมีรายละเอียดดังนี้

ประเภท

จำนวน(ยูนิต) 

สัดส่วน(%)

อาคารชุด

45,074

55.61

ทาวน์เฮ้าส์

20,436

25.21

บ้านเดี่ยว

8,955

11.05

อาคารพาณิชย์

4,545

5.61

บ้านแฝด

2,037

2.52

รวม

81,047

100.00

ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์

 

  • สินเชื่อที่อยู่อาศัยปล่อยใหม่บุคคลทั่วไปของสถาบันการเงินทั้งระบบ

       - สินเชื่อที่อยู่อาศัยปล่อยใหม่ ณ ไตรมาส 1 ปี 59 มีจำนวนทั้งสิ้น 136,718 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้น 3.54% จาก ณ ไตรมาส 1 ปี 58 ที่สามารถปล่อยสินเชื่อได้ 132,044 ล้านบาท

 

  • สินเชื่อที่อยู่อาศัยคงค้างบุคคลทั่วไปของสถาบันการเงินทั้งระบบ

       - สินเชื่อที่อยู่อาศัยคงค้างบุคคลทั่วไป ณ ไตรมาส 1 ปี 59 มีจำนวนทั้งสิ้น 3,145,377 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้น 8.67% จาก ณ ไตรมาส 1 ปี 58 ที่มียอดคงค้างทั้งสิ้นอยู่ที่ 2,894,395 ล้านบาท

 

  • อัตราดอกเบี้ยที่อยู่อาศัยบุคคลทั่วไปลอยตัวเฉลี่ยของ 6 ธนาคารใหญ่ มีรายละเอียดดังนี้

ปี 59

อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย
6 ธนาคาร

อัตราดอกเบี้ยนโยบาย ธปท.

มกราคม-มีนาคม

6.85

1.50

เมษายน

                 6.73

                            1.50

ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
                      หมายเหตุ: 6 ธนาคาร ประกอบ ธ.อาคารสงเคราะห์, ธ.กสิกรไทย, ธ.กรุงเทพ, 
             ธ.กรุงศรีอยุธยา, ธ.กรุงไทย และ ธ.ไทยพาณิชย์

 

สรุปภาพภาวะอสังหาริมทรัพย์เดือนเมษายน 2559

          ภาพรวมของอุปทานมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น 30.62% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากมาตรการของภาครัฐที่ออกมาได้สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ประกอบการ ส่งผลทำให้ผู้ประกอบการมีการพัฒนาโครงการออกมา อุปทานจึงมีการปรับเพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่ทางด้านอุปสงค์ปรับตัวสูงขึ้น 56.98% เพราะผู้ประกอบการเร่งออกโปรโมชั่นรวมถึงมาตรการภาครัฐที่ออกมาใกล้ที่จะสิ้นสุดมาตรการแล้ว ทำให้ผู้บริโภคมีการซื้อที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ที่อยู่อาศัยประเภทอาคารชุดยังมียอดการโอนกรรมสิทธิ์มากที่สุด รองลงมาคือทาวน์เฮ้าส์ และบ้านเดี่ยว ส่วนสินเชื่อที่อยู่อาศัยมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยตามมาตรการของภาครัฐ ทำให้มีการปรับตัวสูงขึ้นไป 3.54% ณ ไตรมาส 1 ปี 59 ในขณะที่ดอกเบี้ยที่อยู่อาศัยลดลงไปอยู่ที่ 6.73% และอัตราดอกเบี้ยนโยบายไม่เปลี่ยนแปลงมีค่าอยู่ที่ 1.50%

 

วิเคราะห์จุดเชื่อมต่อเศรษฐกิจไทย*

         

          ปี 2559-2560 จะเป็นจุดเชื่อมต่อที่สำคัญของเศรษฐกิจไทย และจากการติดตามเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด มักจะมีคำถามอยู่ในใจอยู่เสมอในช่วงหลังๆ ว่า “กำลังเกิดอะไรขึ้นกับเศรษฐกิจไทย” เพราะในอดีต ประเทศไทยเคยเจริญเติบโตได้ดี เคยเติบโตสูงสุดของโลก ต่อมาแม้จะชะลอลงบ้าง แต่ GDP ที่โตปีละ 6-7% ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาของเศรษฐกิจไทย เช่นเดียวกับการส่งออกที่โตได้อย่างน่าพึงพอใจในระดับ 20% ปีแล้วปีเล่า

 

          แต่ล่าสุดเศรษฐกิจไทยกลับมีทิศทางตรงกันข้าม ระหว่างปี 2556-2558 ขยายตัวเพียง 2.7%, 0.8% และ 2.8% ตามลำดับ โดยเฉพาะปี 2558 แม้ฐานก็ต่ำจากปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นปีที่มีการเผชิญหน้าอย่างรุนแรงทางการเมือง อีกทั้งรัฐบาลจะได้อัดฉีดมาตรการออกไปหลายต่อหลายขนานเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจก็ยังไม่โตอย่างที่ควรจะเป็น ส่วนด้านการส่งออกก็เช่นกัน ขยายตัวได้เพียง 2.9%, -0.3%, -0.4% และ -5.8% ในช่วงสี่ปีที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าห่างไกลจากอัตราในอดีตมาก


          กำลังเกิดอะไรขึ้นกับเศรษฐกิจไทย
          บางคนอธิบายว่าโลกกำลังเข้าสู่ New Normal ทุกประเทศขยายตัวได้ช้าลง ประเทศไทยก็คงหลีกเลี่ยงจากแนวโน้มดังกล่าวไม่ได้ ดังนั้นที่ไทยขยายตัวได้ไม่ถึง 3% ถือเป็นเรื่องปกติ ไม่ต้องกังวลใจ แต่ในประเด็นนี้ คิดว่าไม่น่าจะจริง ถ้าพิจารณาดูอัตราการเจริญเติบโตของประเทศเพื่อนบ้านในปี 2558 ที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่ามีเพียงประเทศไทยเท่านั้น ที่โตไม่สูง ขยายตัวไม่ได้ เพราะในปีดังกล่าวประเทศเพื่อนบ้าน เช่น มาเลเซียสามารถขยายตัวได้ประมาณ 5% อินโดนีเซียขยายตัว 5% ฟิลิปปินส์ขยายตัว 6% และถ้าเข้าสู่ New Normal โตได้ไม่ถึง 3% มา 3 ปี แล้วทำไมประเทศเพื่อนบ้านยังสามารถขยายตัวได้คนละ 5-6% ในช่วงเดียวกัน

 

          หลังหาคำตอบก็สามารถสรุปผลที่ได้ก็คือ เศรษฐกิจไทยกำลังทำตัวเหมือน “บริษัทที่พยายามขายมือถือตกรุ่น” เพื่อนๆ ก้าวไปสู่การเป็น Smartphone แบบหน้าจอสัมผัสไปแล้ว แต่ไทยก็ยังขายรุ่นเดิมๆ ที่อาศัยแป้นกดอยู่เหมือนเดิม พยายามให้พนักงานไปเร่งขาย ทำทุกวิถีทางเพื่อเพิ่มยอด แต่ท้ายที่สุดยอดขายก็โตแบบกระท่อนกระแท่น ขณะที่ยอดขายเพื่อนโตได้ดีมาก ทำให้ต้องยอมรับความจริงว่า 10 ปีที่ผ่านมาประเทศไทยมีความไม่แน่นอนทางการเมืองจนกระทั่งไม่ได้ลงทุนก่อสร้างในโครงสร้างพื้นฐานสำคัญๆ ไม่ได้สร้างอุตสาหกรรมใหม่ที่จะเป็นอนาคตให้กับทุกคน นอกจากนี้ปัญหาน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 ยิ่งช่วยเร่งให้นักลงทุนต่างชาติ ที่เดิมใช้ไทยเป็นฐานหลักในการผลิต มองหาทางเลือกใหม่ ฐานการผลิตใหม่ที่จะช่วยลดความเสี่ยงต่อกระบวนการผลิตด้วยเหตุนี้จึงไม่น่าแปลกใจว่าเศรษฐกิจไทยไม่สามารถออกตัว ไม่สามารถวิ่งไปข้างหน้าได้ดีเช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ

          จุดเชื่อมต่อของเศรษฐกิจไทย
          การที่เศรษฐกิจไทยจะไปได้ดีหรือไม่ในอนาคต จึงอยู่ที่ปี 2559-2560 ว่าจะสามารถปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจไทยได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าสามารถใช้โอกาสที่เปิดขึ้นในการเร่งลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เร่งพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่เพื่อสร้างอนาคตให้กับทุกคน และปรับเปลี่ยนกฎหมายที่เป็นข้อจำกัด ตัวถ่วงการพัฒนาประเทศในด้านต่างๆ เพื่อให้เป็น Platform ใหม่ พร้อมแข่งขันกับทุกคนได้หรือไม่

 

          ในประเด็นนี้สิ่งที่น่าดีใจก็คือ โครงการ Mega Projects ที่พูดถึงกันมามากกว่า 10 ปี กำลังเริ่มขยับเขยื้อนเป็นครั้งแรก จากการประมูล 4G และการประมูลโครงการรถไฟทางคู่สายจิระ-ขอนแก่น และแก่งคอย-คลองสิบเก้า-ฉะเชิงเทรา เมื่อปลายปีที่แล้ว ต้นปีนี้โครงการสุวรรณภูมิช่วงที่สอง รถไฟฟ้าสายสีชมพู สีเหลือง สีน้ำเงิน ทางหลวงบางปะอิน-โคราช บางใหญ่-กาญจนบุรี กำลังเริ่มขึ้นเช่นกัน นอกจากนี้รัฐบาลกำลังสั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำโครงการรถไฟฟ้าที่เหลือเข้าสู่การพิจารณา เตรียมการเรื่องรถไฟความเร็วสูงสายต่างๆ ตลอดจนมุ่งยกระดับ Eastern Seaboard ขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง โดยเริ่มพิจารณาการขยายท่าเรือแหลมฉบังเฟสสาม การยกระดับท่าเรือและสนามบินอู่ตะเภา ตลอดจนการสร้าง Free Trade Zone ในภาคตะวันออก เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางสำคัญของการผลิตและโลจิสติกส์ของอาเซียนต่อไป

 

          อีกด้านที่น่าดีใจเช่นกันก็คือเริ่มเดินหน้าสร้างอุตสาหกรรมใหม่ให้กับประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกำหนดอุตสาหกรรมเป้าหมาย 10 กลุ่มที่จะเป็นอนาคตให้กับประเทศ เช่น อุตสาหกรรม Digital อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ อุตสาหกรรม Biochemical และ Biofuels ตลอดจนอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร (Medical Hub) ออกมาตรการเพิ่มเติมเพื่อช่วยสนับสนุนการลงทุนของภาคเอกชนในการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ การเอื้อให้มหาวิทยาลัยทำงานใกล้ชิดกับภาคเอกชนในการวิจัย รวมทั้งการให้ความสำคัญกับการสร้าง Start up ไม่ว่าจะเป็น Bio-tech, Medical-tech, Fin-tech และ Digital-tech ฯลฯ ซึ่งอุตสาหกรรมและบริษัทใหม่ๆ เหล่านี้ จะออกดอกออกผลและเป็นกำลังสำคัญในการแข่งขันให้กับประเทศในช่วงต่อไป เช่นเดียวกับอุตสาหกรรม ยานยนต์และปิโตรเคมิคอลที่กำลังออกดอกออกผลอยู่ในขณะนี้

 

          ท้ายสุดคือการปรับปรุงกฎระเบียบและออกกฎหมายที่จะเป็นรากฐานด้านเศรษฐกิจของประเทศ เช่น ในด้านศุลกากร Work Permits การอำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจ พ.ร.บ. การแข่งขันทางการค้า พ.ร.บ. การเงินการคลัง พ.ร.บ. กำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ พ.ร.บ. ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ตลอดจนกฎหมายอื่นๆ ที่จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำของชนชั้น เช่น พ.ร.บ. สถาบันการเงินชุมชน พ.ร.บ. ระบบเกษตรพันธสัญญาที่เป็นธรรม พ.ร.บ. ธนาคารที่ดิน ตลอดจนการปรับปรุงกฎระเบียบต่างๆ เพื่อสนับสนุนให้เกิดการประกันภัยพืชผลอย่างทั่วถึง เป็นต้น จะช่วยวางกรอบใหม่ในการทำงานของระบบเศรษฐกิจไทย

 

          โดยสรุปการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงในทั้งสามด้านนี้ จะเป็นจุดเชื่อมต่อสำคัญที่จะช่วยวาง Platform ใหม่ให้กับประเทศ ซึ่งเมื่อสำเร็จจะช่วยให้เศรษฐกิจไทยสามารถแข่งขันได้ สามารถขยายตัว ส่งออกได้ไม่น้อยกว่าประเทศอื่นๆ และที่สำคัญยังช่วยสร้างอนาคตให้กับลูกหลานคนไทยได้อย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต

 

วิเคราะห์นโยบายเศรษฐกิจจีนที่มีต่อไทย

 

          นโยบายเศรษฐกิจของจีนที่สำคัญที่ได้ดำเนินการออกมาได้แก่ นโยบาย One Belt One Road หรือ นโยบายหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง ถือเป็นหนึ่งนโยบายสำคัญของการพัฒนาประเทศจีน โดยนโยบายนี้ได้รับการพัฒนามาจากเส้นทางการค้าอันเก่าแก่ของจีนที่ชื่อว่า "เส้นทางสายไหม (Silk Road)" ซึ่งถือเป็นเส้นทางการค้าและวัฒนธรรมที่สำคัญยิ่งของชาวจีน ทั้งนี้นโยบาย One Belt One Road คือ การนำเส้นทางสายไหมมาปรับปรุงอีกครั้ง โดยมีชื่อเรียกใหม่ว่า "เส้นทางสายไหมใหม่ (New Silk Road) ในศตวรรษที่ 21" ซึ่งมียุทธศาสตร์สำคัญคือการพัฒนาและสร้างทางคมนาคม 2 เส้นทางอันได้แก่ "Silk Road Economic Belt" ซึ่งเป็นเส้นทางสายไหมทางบก และ "Maritime Silk Road" ซึ่งเป็นเส้นทางสายไหมทางทะเล ถ้าเปรียบเทียบระหว่างเส้นทางสายไหมใหม่ทางบกและทางทะเล จะพบว่า "เส้นทางสายไหมทางทะเล" จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อภูมิภาคอาเซียน และจีนก็หวังเป็นอย่างยิ่งที่จะใช้ประโยชน์จากเส้นทางคมนาคมเส้นนี้ในการพัฒนาเศรษฐกิจระหว่างจีนและอาเซียนภายใต้แนวคิดดังต่อไปนี้
          1. สนับสนุนการเชื่อมโยงระบบโครงสร้างพื้นฐานในภูมิภาคอุปสรรคสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจระหว่างภายในภูมิภาคอาเซียนเอง และระหว่างภูมิภาคอาเซียน-จีน คือ ปัญหาระบบโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะด้านการคมนาคม จีนในฐานะที่มีความพร้อมมากกว่าทั้งทางด้านการเงินและเทคโนโลยีที่ทันสมัย เมื่อเทียบกับประเทศในภูมิภาคอาเซียน จึงมีแนวคิดที่จะผลักดันการเชื่อมโยงระบบโครงสร้างพื้นฐานดังกล่าวนี้
          2. ส่งเสริมและพัฒนาทุนระหว่างภูมิภาคอาเซียนและจีน อาเซียนต้องการเงินลงทุนเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานไม่ต่ำกว่า 6 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 21 ล้านล้านบาท ด้วยเหตุนี้จีนจึงได้จัดตั้ง "ธนาคารเพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเอเชียน (Asian Infrastructure Investment Bank ; AIIB) ขึ้น โดยต้องการปล่อยเงินกู้ให้กับประเทศในภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะกลุ่มประเทศอาเซียน ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ เพื่อนำไปลงทุนก่อสร้างและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเป็นที่ทราบกันดีว่า การที่จีนพยายามผลักดันให้จัดตั้ง AIIB ขึ้น ทั้งที่มีธนาคารพัฒนาแห่งเอเชียน (Asian Development Bank; ADB) รวมถึงธนาคารโลก (World Bank) กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (Interna-tional Monetary Fund; IMF) แล้วก็ตาม ทั้งนี้เป็นเพราะจีนต้องการส่งเสริมให้เกิดการใช้สกุลเงินหยวนในภูมิภาคอาเซียน และผลักดันให้หยวนเป็นอีกหนึ่งสกุลเงินหลักในเวทีการค้าโลก ดังนั้น AIIB เป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นถึงความพยายามในการยกระดับทั้งบทบาทและสถานะของจีนในเวทีระหว่างประเทศทั้งทางด้านเศรษฐกิจการเมืองและการเงิน
          3. ส่งเสริมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจเขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน จัดได้ว่าเป็นเขตการค้าเสรีที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก ในปี 2557 มูลค่าการลงทุนระหว่างอาเซียน-จีนมีมูลค่าสูงถึง 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 3.5 ล้านล้านบาท และจีนตั้งเป้าไว้ว่ามูลค่าทางการค้าระหว่างอาเซียน-จีน จะต้องไม่ต่ำกว่า 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 35 ล้านล้านบาท ในปี 2563
          4. ส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างภูมิภาคอาเซียนและจีน ความสัมพันธ์ที่กล่าวนี้ คือ ความสัมพันธ์ทางด้านสังคม วัฒนธรรม ซึ่งเป็นหนึ่งในวัตถุประสงค์หลักของนโยบาย One Belt One Road โดยการกระชับความสัมพันธ์ของจีนกับภูมิภาคอาเซียนกระทำผ่านการศึกษาและการท่องเที่ยวเป็นหลัก

 

          ผลกระทบของนโยบาย One Belt One Road ที่มีต่อไทย
          นโยบาย One Belt One Road ส่งผลกระทบต่อไทยอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง แต่หากพิจารณาตามเส้นทางสายไหมในศตวรรษที่ 21 จะพบว่าตลอดเส้นทางการค้าสายนี้ทั้งทางบกและทางน้ำไม่ผ่านประเทศไทยเลย หากแต่เชื่อมโยงกับภูมิภาคอาเซียน ซึ่งในทางภูมิศาสตร์ ไทยถือเป็นจุดศูนย์กลางของภูมิภาคนี้ จึงกล่าวได้ว่าผลกระทบต่อไทยที่เกิดจากนโยบาย One Belt One Road เป็นผลกระทบทางอ้อม แต่ก็ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศไทยทั้งทางเศรษฐกิจ ทางสังคมและวัฒนธรรม โดยมีรายละเอียดดังนี้
          ทางเศรษฐกิจ
          การที่จีนให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานของภูมิภาคอาเซียนและการสร้างเครือข่ายเชื่อมต่อของท่าเรือต่างๆ ตามเส้นทางสายไหมทางทะเล ในขณะที่ไทยคือศูนย์กลางของกลุ่มประเทศอาเซียน ดังนั้นไทยจึงควรอาศัยความได้เปรียบนี้ผลักดันตนเองให้เป็นศูนย์กลางด้านคมนาคมขนส่งและเป็นศูนย์กลางของการกระจายสินค้าระหว่างภูมิภาคอาเซียนและจีนรวมถึงภูมิภาคอื่นๆ

 

          ในส่วนของเส้นทางการค้าทางทะเล จีนมีทางออกติดทะเลเพียงด้านเดียว ดังนั้นจีนจึงอาศัยแนวคิด Maritime Silk Road เป็นการปกป้องเส้นทางการค้าทางทะเลของตน โดยร่วมมือกับประเทศที่เป็นทางผ่าน ซึ่งบางประเทศในอาเซียนอย่างเวียดนามและฟิลิปปินส์ที่กำลังมีข้อพิพาทกับจีนในเรื่องของการรุกล้ำอธิปไตยทางทะเล ส่งผลให้ทั้งสองประเทศนี้ไม่ใคร่จะยอมรับแนวคิด Maritime Silk Road ของจีนเท่าใดนัก ซึ่งอาจเป็นโอกาสของไทยในการกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับจีน ในฐานะที่ไทยเป็นส่วนสำคัญของภูมิภาคอาเซียน และไม่มีข้อพิพาทใดๆ กับจีน


          การจัดตั้ง AIIB ของจีนส่งผลกระทบทางบวกต่อไทยในด้านของการเพิ่มช่องทางการเข้าถึงแหล่งเงินทุน และการผลักดันให้สกุลเงินหยวนเป็นอีกหนึ่งเงินสกุลหลักในเวทีการค้าระหว่างประเทศจะส่งผลบวกต่อไทยในแง่ของความหลากหลายในตลาดเงินระหว่างประเทศ ซึ่งถือเป็นการลดต้นทุนและกระจายความเสี่ยงในตลาดเงินอย่างไรก็ตามเมื่อเงินหยวนกลายเป็นหนึ่งสกุลเงินหลักในเวทีการค้าโลกย่อมส่งผลต่อรูปแบบการค้าระหว่างไทยและจีน ดังนั้นไทยจำต้องคำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ด้วย

 

          ทางสังคมและวัฒนธรรม
          ไทยและจีนถือได้ว่ามีการเชื่อมโยงทางเชื้อสายและวัฒนธรรมอันดีต่อกัน ความได้เปรียบนี้ย่อมส่งผลบวกต่อหลายอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง อุตสาหกรรมภาพยนตร์ อุตสาหกรรมด้านความบันเทิง อุตสาหกรรมด้านการศึกษา เป็นต้น โดยเฉพาะอุตสาหกรรมด้านการศึกษาของไทยได้รับผลกระทบทางบวกจากการที่รัฐบาลจีนมีนโยบายให้การสนับสนุนชาวจีนเดินทางไปศึกษายังต่างประเทศด้วยการให้สิทธิของการสมัครเป็นพลเมืองของเมืองใหญ่ๆ ของจีนหลังจากที่จบการศึกษาและกลับมาทำงานที่ประเทศตน ซึ่งอุดมศึกษาของไทยถือเป็นแหล่งที่ชาวจีนให้ความสำคัญในอันดับต้นๆ ที่ได้เข้ามาศึกษา จึงถือเป็นการสร้างรายได้ที่สำคัญให้กับประเทศไทยได้เป็นอย่างดี

 

_______________
* แหล่งที่มาของข้อมูล : ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล

 

 

กลุ่มข้อมูลและวางแผนสื่อสารองค์กร
ฝ่ายสื่อสารองค์ก

บทความเศรษฐกิจ

วันที่ 17 มิถุนายน 2559

1582 Views

BAM Mobile Application

ค้นหาทรัพย์ง่ายๆ เพียงปลายนิ้วสัมผัส

บริการฝากขาย
อสังหาฯ
ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย