หน้าหลัก > บทความการเงิน > ตลาดหุ้นขึ้นสูงแล้วหรือยัง

ตลาดหุ้นขึ้นสูงแล้วหรือยัง

ตลาดหุ้นขึ้นสูงแล้วหรือยัง*

          เมื่อดัชนีหุ้นขึ้นมาสูงมากติดต่อกันหลายปี คำถามที่ตามมาก็คือ ตลาดหุ้นขึ้นมาถึง “ดอย” หรือยัง? การที่จะวิเคราะห์ได้ว่าตลาดหุ้นใกล้ถึง Peak หรือจุดสูงสุด และกำลังปรับตัวลงมากนั้น เป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากอย่างไรก็ตามจากการสังเกตของผู้เชี่ยวชาญและนักลง ทุนที่คร่ำหวอดในตลาดหุ้นมายาวนานนั้น ตลาดที่ใกล้ถึงจุดสิ้นสุดนั้น มักจะมีอาการหรือสัญญาณหลายๆ อย่างประกอบกันพอสรุปได้ดังต่อไปนี้

          ข้อแรก คือ ค่า PE หรือราคาหุ้นต่อกำไรของบริษัทของตลาดและหุ้นโดยทั่วไปมักจะอยู่ในระดับสูง ใกล้กับระดับสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ ค่า PB หรือราคาหุ้นต่อมูลค่าทางบัญชีของตลาดและหุ้นโดยทั่วไปนั้นอยู่ในระดับสูง ส่วนอัตราเงินปันผลเมื่อเทียบกับราคาหุ้นหรือ Dividend Yield นั้นจะค่อนข้างต่ำ ดูจากตลาดหุ้นไทยช่วงนี้คิดว่าค่า PE ของตลาดหุ้นน่าจะใกล้ระดับสูงสุดในประวัติศาสตร์เช่นเดียวกับค่า PB อย่างไรก็ตามปันผลนั้นยังค่อนข้างจะพอใช้ได้ที่ประมาณ 2.5%-3% ในความเห็นนั้นตัวเลขชุดนี้ยังไม่ชัดเจนว่าหุ้นน่าจะถึงยอดดอยแล้ว เหตุผลคืออัตราดอกเบี้ยในท้องตลาดช่วงนี้ต่ำเป็นประวัติการณ์ เงินฝากอยู่ในระดับไม่เกิน 2%-3% ดังนั้น ค่า PE ระดับ 17-18 เท่า และปันผลจากการลงทุนในหุ้นยังให้ผลตอบแทนดีกว่าพอสมควร

          ข้อสอง คือ หุ้นที่เข้าข่ายจะเป็นหุ้น “Value” นั้นหาได้ยากขึ้นมาก หุ้นดีราคาค่อนข้างแพงเป็นส่วนใหญ่ ส่วนหุ้นพื้นๆ นั้น ราคาไม่ถูก จริงอยู่อาจจะพอลงทุนได้ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มี “Margin of Safety” เหลือเพียงพอสำหรับ “VI” ที่เน้นลงทุนระยะยาวจริง ๆ ในข้อนี้คิดว่าตลาดหุ้นไทยในเวลานี้ก็เข้าข่ายแล้ว

          ข้อสาม อาจบ่งบอกว่าหุ้นใกล้ถึงดอย คืออัตราดอกเบี้ยในท้องตลาดกำลังขึ้น หรือสภาพคล่องการเงินเริ่มลดลง หรือภาษาทางเศรษฐศาสตร์คือ Money Supply กำลังหดตัว ซึ่งในตลาดของไทยนั้น ดูเหมือนว่าอัตราดอกเบี้ยยังไม่มีท่าทีว่าจะขึ้น และอาจจะมีแนวโน้มที่จะลดลง ถ้าดูจากการลงมติของคณะกรรมการนโยบายการเงินครั้งล่าสุดที่มีกรรมการ 2 เสียงลงมติให้ลดดอกเบี้ย ในขณะที่เสียงส่วนใหญ่ยังให้คงไว้ อย่างไรก็ตาคิดว่าเรื่องนี้มีโอกาสเปลี่ยนได้เร็ว และอัตราดอกเบี้ยสหรัฐเองที่มีอิทธิพลต่อตลาดเงินโลกก็มีท่าทีว่าจะปรับ เพิ่มขึ้น ดังนั้นสัญญาณข้อนี้จริงๆ ยังไม่น่าไว้วางใจ

           ข้อสี่ คือ เรื่องหุ้น IPO นี่เป็นสัญญาณที่แรงมากในตลาดหุ้นไทย นั่นก็คือในช่วงที่ตลาดหุ้นใกล้ถึงจุดสูงสุดนั้น จะมีหุ้น IPO ออกขายมากมายและราคาหุ้นที่เข้าตลาดในวันแรกๆ ก็จะปรับตัวสูงขึ้นมาก และนี่ก็เป็นข้อที่รู้สึกกังวลว่าตลาดหุ้นไทยนั้นอาจจะใกล้ Peak

           ข้อห้า เป็นเรื่องของการวิเคราะห์ทางเทคนิค ซึ่งมีคนเคยศึกษาหรือให้ข้อสังเกตว่าถ้าหุ้นกว่า 75% ในตลาดหลักทรัพย์นั้นมีราคาสูงกว่าแนวโน้มระยะยาวของมันมาระยะหนึ่งซึ่งอาจ จะหลายปีแล้ว ต่อมาจำนวนมันลดต่ำลงกว่า 75% นี่ก็อาจเป็นสัญญาณว่าหุ้นถึงดอยแล้ว และก็ไม่ทราบว่ามีใครศึกษาเรื่องแบบนี้ในตลาดหุ้นไทยหรือไม่ ความเชื่อก็คือหุ้นไทยในช่วงเร็วๆ นี้นั้น กว่า 75% มีราคาสูงกว่าแนวโน้มระยะยาว เพราะราคาหุ้นได้สูงขึ้นมามาก สิ่งที่ไม่รู้ก็คือขณะนี้มันลดลงมาต่ำกว่า 75% หรือไม่
ข้อหก คือ สัญญาณที่ ปีเตอร์ ลินช์ เรียกว่า ทฤษฎี “งานเลี้ยงค็อกเทล” นี่คือเหตุการณ์ที่คนทั่วไปที่ไม่ใช่นักลงทุนมืออาชีพหันมาสนใจการลงทุนหรือ เล่นหุ้น ช่วงแรกอาจสนใจไม่มาก แต่เมื่อหุ้นปรับตัวขึ้นเรื่อยๆอย่างรวดเร็ว การทำเงินจากการเล่นหุ้นดูเหมือนจะง่ายมาก คนสนใจหุ้นมากขึ้นจนถึงจุดหนึ่งที่คนไม่ควรสนใจลงทุนหุ้นเลย เช่นช่างทำผมหรือคนขับแท็กซี่หันมาสนใจเรื่องหุ้น ถ้าเกิดอาการแบบนี้ ก็อาจจะเป็นสัญญาณว่าหุ้นกำลังถึงยอดดอยและใกล้จะลง จากการสังเกตคิดว่าช่วงนี้ในตลาดหุ้นไทยมีคนกลุ่มใหม่ๆ เข้ามาสนใจลงทุนในตลาดหุ้นมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่น่าจะค่อนข้างมีฐานะ และหรือมีการศึกษาพอสมควร ส่วนคนทั่วไปนั้นคิดว่ามีความสนใจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่รู้ว่ามากเท่าไร โดยรวมแล้วน่าจะเป็นช่วงที่มีความตื่นตัวในหุ้นมากที่สุดที่เคยเจอมา ดังนั้นคิดว่าอาการนี้น่าจะ “ก้ำกึ่ง” สำหรับตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้

           ข้อเจ็ด คือ เรื่อง “การสนองตอบต่อข่าวสารของหุ้น” ความหมายคือในช่วงที่หุ้นยังเป็น “ขาขึ้น” หรืออยู่ในภาวะกระทิงอยู่นั้น ข่าวสารที่ดีๆ เช่น บริษัทประกาศผลประกอบการที่ดี ราคาหุ้นจะ “วิ่ง” รับข่าวชิ้นนั้น บางทีวิ่งมากกว่าข่าวดีด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตามช่วงที่จะสิ้นสุดยุคกระทิง ข่าวดีที่ประกาศออกมานั้น กลับไม่ได้รับการตอบรับดีเท่าที่ควร บางครั้งประกาศข่าวดีแต่ราคาหุ้นกลับลง ดูเหมือนว่าหุ้นนั้นรับข่าวดีไปหมดแล้ว ไม่มีเงินเหลือที่จะซื้อหุ้นอีกต่อไป คนรอแต่จะขายหุ้น สำหรับข้อนี้คิดว่าตลาดหุ้นไทยยังไม่เห็น ยังรู้สึกว่าข่าวดีนั้นยังได้รับการตอบรับที่ดี

           ข้อแปด คือ เรื่อง “การเปลี่ยนกลุ่มหุ้นชั้นนำในตลาด” ความหมายของเรื่องนี้ก็คือ ในแต่ละช่วงเวลานั้น จะมีหุ้นบางกลุ่มเป็นหุ้นกลุ่มชั้นนำในตลาดเช่น ถ้าย้อนหลังไปหลายสิบปี ในช่วงนั้นหุ้นกลุ่มแบงก์เคยเป็นหุ้นกลุ่มนำ ต่อมาอสังหาริมทรัพย์ก็เคยเป็นกลุ่มที่ทุกคนสนใจเล่นและมีขนาดใหญ่ เช่นเดียวกับหุ้นกลุ่มไฟแนนซ์ ต่อมาก็หุ้นสื่อสารและกลุ่มพลังงานที่โดดเด่นมาจนถึงล่าสุด คำถามคือตอนนี้เกำลังมีการ“เปลี่ยนกลุ่ม” หรือไม่ โดยเฉพาะกลุ่มพลังงาน? ที่อาจมีปัญหาราคาน้ำมันตกต่ำ ในเรื่องนี้ก็วิเคราะห์ไม่ออก แต่การเปลี่ยนกลุ่มหุ้นชั้นนำในตลาดหุ้นที่พัฒนาแล้วนั้น หลายครั้งสอดคล้องกับการกลับตัวของทิศทางดัชนีตลาดหุ้น

           ข้อเก้า คือ เรื่องของข่าวสารข้อมูลตลาดหุ้นและการลงทุนทางสื่อมวลชนด้านต่างๆ ในช่วงใกล้ถึงจุดสูงสุดของตลาดหุ้นนั้น ข่าวและคอมเม้นท์จะมีมากมายในสื่อ ซึ่งถ้ามากถึงจุดหนึ่งก็จะออกทางสื่อมวลชน “กระแสหลัก” สำหรับในข้อนี้คิดว่า “ข่าวหุ้น” ของไทยนั้น มีค่อนข้างมากและกว้างขวาง การจัดสัมมนาและมหกรรมต่างๆ เกี่ยวกับหุ้นได้รับการต้อนรับมากขึ้นเรื่อยๆ บ่อยครั้งสื่อกระแสหลักก็นำเรื่องเกี่ยวกับตลาดหุ้นไปออก ข้อนี้คิดว่าตลาดหุ้นไทยมีอาการระดับ 8-9 จากคะแนนเต็ม 10

           สุดท้าย คือ คำพูดหรือความรู้สึกของคนที่มีเงินและเป็นนักลงทุน ในช่วงที่เศรษฐกิจและตลาดหุ้นแย่ที่สุดอย่างช่วงปีวิกฤติ 2540 นั้น ทุกคนบอกว่า “Cash is King” แต่ในช่วงที่หุ้นจะถึง “ดอย” นั้น คำพูดจะเปลี่ยนเป็น “Cash is Trash” หรือเงินก็คือ “ขยะ” และสำหรับผมที่ช่วงนี้มีเงินสดที่ได้จากการขายหุ้นไปบางส่วนนั้น รู้สึกอยู่บ้างเหมือนกันว่าเงินสดที่ถืออยู่นั้นได้ดอกเบี้ยต่ำเหลือเกิน ดูคล้ายกับขยะอะไรอย่างนั้น และทั้งหมดก็คือสัญญาณบางส่วน ที่เมื่อนำมาประมวลว่าหุ้นไทยตอนนี้อยู่ระดับไหน ข้อสรุปก็คือ มันยังผสมผสานระหว่างใช่กับไม่ใช่ นักลงทุนแต่ละคนจะต้องตัดสินใจเองว่าจะทำอย่างไรกับพอร์ตของตนเองครับ



________________________
* โดย : ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร โลกในมุมมองของ VALUE INVESTOR หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ

 

บทความการเงิน

วันที่ 23 มกราคม 2558

897 Views

BAM Mobile Application

ค้นหาทรัพย์ง่ายๆ เพียงปลายนิ้วสัมผัส

บริการฝากขาย
อสังหาฯ
ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย