หน้าหลัก > บทความเศรษฐกิจ > บทความวิเคราะห์รายงานทางเศรษฐกิจและการเงิน เดือนกันยายน 2554

บทความวิเคราะห์รายงานทางเศรษฐกิจและการเงิน เดือนกันยายน 2554

สรุปภาวะเศรษฐกิจ

           ข้อมูลเดือนกรกฎาคม 2554 จากตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน จะเห็นว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคยังมีค่าสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ภาคการผลิตมีการปรับตัวลดลง เนื่องจากภาคการผลิตมีการชะลอการผลิตสินค้า เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลกเริ่มมีความผันผวนมากขึ้นจากเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐอเมริกาและยุโรป ทำให้ผู้ประกอบการต่างรอดูสถานการณ์ที่เกิดขึ้นก่อน ในขณะที่ดุลการค้ายังมีค่าเป็นบวก เพราะการนำเข้าปรับตัวลดลงไปเป็นอย่างมาก ในขณะเดียวกันภาวะการเงินยังทรงตัวไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงมากนัก โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

1. ดัชนีราคาผู้บริโภค
           จากตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน จะเห็นว่าดัชนีราคาผู้บริโภคในเดือนกรกฎาคมมีค่า 112.7 มีค่าสูงขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายนที่มีค่า 112.5 เพราะสินค้าในหมวดพลังงานยังมีความผันผวน อีกทั้งสินค้าในหมวดอาหารมีราคาสูงขึ้นตามการปรับตัวของราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตามมาตรการภาครัฐยังมีส่วนช่วยทำให้ดัชนีราคาผู้บริโภคไม่ให้ปรับตัวสูงขึ้น แต่ก็ต้องติดตามในเรื่องของราคาน้ำมัน เพราะยังมีความไม่แน่นอนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจจะส่งผลต่อดัชนีราคาผู้บริโภคได้อย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้นดัชนีราคาผู้บริโภคในเดือนกรกฎาคมจึงมีค่าสูงขึ้นไปเมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายนตามตารางที่ปรากฏ

2. ภาวะการผลิต
          จากดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมและอัตราการใช้กำลังการผลิตในตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน จะเห็นได้ว่าดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมในเดือนกรกฎาคมมีค่า 185.69 ลดลงจากเดือนมิถุนายนที่มีค่า 197.13  และอัตราการใช้กำลังการผลิตในเดือนกรกฎาคมมีค่าร้อยละ 61.50 ลดลงจากเดือนมิถุนายนที่มีค่าร้อยละ 63.01 โดยสาเหตุที่ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมและอัตราการใช้กำลังการผลิตมีค่าลดลง เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่เริ่มมีความผันผวน เนื่องมาจากการชะลอตัวลงของประเทศเศรษฐกิจหลักของโลก เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกาและยุโรป จึงทำให้ผู้ประกอบการต่างรอดูสถานการณ์ว่าจะมีทิศทางเป็นอย่างไรบ้าง ทำให้มีการชะลอการผลิตสินค้าออกมา จนทำให้การผลิตมีการปรับตัวลดลงไป อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการจำเป็นต้องติดตามในเรื่องของราคาน้ำมันอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันความผันผวนที่จะเกิดขึ้น และควรจะต้องเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ เพื่อรองรับความเสี่ยง และเตรียมแผนรองรับสถานการณ์ในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของต้นทุนราคาน้ำมันและความผันผวนของค่าเงินบาทด้วย ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าวส่งผลทำให้ภาวะการผลิตในเดือนนี้มีการปรับตัวลดลงมาเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนที่แล้ว

3. ภาวะการค้า
          ดุลการค้าในเดือนกรกฎาคมมีค่า 2,705.11 จะเห็นว่าเพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายนที่มีค่า 1,885.50 และดุลบัญชีเดินสะพัดในเดือนกรกฎาคมมีค่า 3,574.34 เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายนที่มีค่า 2,498.71 จะเห็นได้ว่าดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดมีค่าเพิ่มขึ้น โดยที่ดุลการค้ายังมีค่าเป็นบวกอยู่ต่อไป เนื่องจากการนำเข้าที่ปรับตัวลดลงไปค่อนข้างมาก จึงส่งผลทำให้ดุลการค้ามีค่าเพิ่มขึ้น ในขณะที่ดุลบัญชีเดินสะพัดก็มีค่าเป็นบวกตามดุลการค้าที่มีค่าเป็นบวกสูง อีกทั้งยังมีเงินไหลเข้าประเทศอย่างต่อเนื่อง จึงส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดมีค่าดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามยังมีความจำเป็นต้องเฝ้าติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจต่างๆ อย่างใกล้ชิด ทั้งในเรื่องของค่าเงินบาทรวมไปถึงยังมีปัจจัยลบอื่นๆ ที่เป็นปัญหาสำคัญที่อาจทำให้เศรษฐกิจของประเทศเกิดการชะลอตัว และจากปัจจัยต่างๆ ดังที่ได้กล่าวไปแล้วทำให้ภาวะการค้าในเดือนนี้มีค่าเพิ่มขึ้นมาเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า

4. ภาวะการเงิน
           ตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงินแสดงได้ว่า เงินฝากเดือนมิถุนายนมีค่า 7,615.74 พันล้านบาท ลดลงจากเดือนพฤษภาคมที่มีค่า 7,662.28 พันล้านบาท และเงินให้สินเชื่อในเดือนมิถุนายนมีค่าเป็น 9,651.79 พันล้านบาท ลดลงจากเดือนพฤษภาคมที่มีค่า 9,713.85 พันล้านบาท ซึ่งจะเห็นว่าปริมาณเงินฝากและเงินให้สินเชื่อมีค่าลดลง สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะธนาคารได้มีการระดมเงินฝากไปมากแล้วในช่วงก่อนหน้า ส่งผลให้ประชาชนนำเงินมาฝากน้อยลง สำหรับการปล่อยสินเชื่อมีการปรับตัวลดลงไป เนื่องจากธนาคารได้เร่งการการปล่อยสินเชื่อออกไปเป็นจำนวนมาก จึงส่งผลทำให้การปล่อยสินเชื่อยังมีการปรับตัวลดลงไป อย่างไรก็ตามผลของภาวะเศรษฐกิจที่ยังฟื้นตัวได้อย่างไม่เต็มที่หลังจากที่มีผลกระทบจากหลายๆ ปัจจัย จึงทำให้ภาวะการฝากเงินและการให้สินเชื่อยังทรงตัวอยู่ต่อไป

ตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน

รายละเอียด
เมษายน 54
พฤษภาคม 54
มิถุนายน 54
กรกฎาคม 54
ดัชนีราคาผู้บริโภค

112.0

112.4

112.4

         112.7
ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม

179.07

        182.57

197.13

185.69

อัตราการใช้กำลังการผลิต

59.49

58.11

63.01

61.50

ดุลการค้า

-477.03

274.29

1,885.50

2,705.11

ดุลบัญชีเดินสะพัด

-165.12

-510.77

2,498.71

3,574.34

เงินฝาก

7,645.12

7,662.28

7,615.74

 n.a.

เงินให้สินเชื่อ

9,802.52

9,713.85

9,651.79

 n.a.

         ที่มา:   ธนาคารแห่งประเทศไทย
         หมายเหตุ:   ดัชนีราคาผู้บริโภค มีปีฐานคือ 2545  เงินฝาก/เงินให้สินเชื่อ มีหน่วยเป็น พันล้านบาท
                         อัตราการใช้กำลังการผลิต มีหน่วยเป็น ร้อยละ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม มีปีฐานคือ 2543
                         ดุลการค้า ดุลบัญชีเดินสะพัด มีหน่วยเป็น ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา

วิเคราะห์นโยบายการคลังภายใต้เศรษฐกิจโลกเสี่ยงชะลอตัวลง*

          ในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมาตลาดเงินและตลาดทุนทั่วโลกต้องประสบกับความผันผวนเป็นอย่างมาก   ซึ่งเกิดจากข่าวร้ายของประเทศยักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจทั้งสองฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกอย่างเช่นประเทศสหรัฐอเมริกาและยูโรโซน โดยที่ประเทศสหรัฐอเมริกามีการถูกปรับลดตัวเลข GDP ในไตรมาส 1 จาก 1.9% เหลือเพียง 0.4% และประกาศ GDP ไตรมาส 2 ออกมาอยู่ที่เพียง 1.3% ซึ่งเป็นตัวเลขที่ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ได้ทำการคาดการณ์กันเอาไว้ที่ 1.8% รวมไปถึงการที่ S&P ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือพันธบัตรสหรัฐอเมริกา และให้แนวโน้มเป็นลบ โดยมีโอกาสที่จะถูกปรับลดลงอีก

          ส่วนข่าวร้ายของกลุ่มประเทศยูโรโซน ซึ่งกำลังเป็นที่จับตามองก็คือสถานะการคลังที่ย่ำแย่ ของประเทศเล็กๆ อย่างประเทศกรีซ และโปรตุเกส ที่ทำท่าจะลุกลามไปยังประเทศสเปน อิตาลี หรือแม้แต่ฝรั่งเศส รวมไปถึงตัวเลข GDP ไตรมาส 2 ของประเทศแกนหลักทางเศรษฐกิจอย่างประเทศเยอรมนีที่มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจได้เพียง 0.1% และเป็นการลดลงจาก 1.3% ในไตรมาส 1 รวมไปถึงประเทศฝรั่งเศสที่ไม่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจเลยในไตรมาส 2 หลังจากที่มีการขยายตัวได้เพียง 0.9% ในไตรมาสแรก ซึ่งทั้งสองประเทศนี้มีขนาดเศรษฐกิจรวมกันเท่ากับราวครึ่งหนึ่งของยูโรโซน

          สิ่งที่คนทั่วโลกกำลังกังวลขณะนี้ คือการที่เศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัวลงในภาวะที่ฐานะการคลังของรัฐบาลหลายประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่อยู่ในภาวะย่ำแย่ และกำลังถูกจับจ้องโดยสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือว่าอาจจะต้องมีการลด CREDIT RATING อีกหรือไม่ โดยหนี้สาธารณะของประเทศสหรัฐอเมริกาก็มีระดับสูงเข้าใกล้ 100% ของ GDP เข้าไปเรื่อยๆ
 
          ขณะที่หนี้สาธารณะของประเทศกรีซ ไอร์แลนด์ และอิตาลี ก็อยู่ในระดับเกิน 100% ไปแล้ว ส่วนหนี้สาธารณะของประเทศโปรตุเกส ฝรั่งเศส และเยอรมนี ก็อยู่ในระดับ 80-90% ของ GDP นั่นหมายความว่า รัฐบาลประเทศต่างๆ จะไม่สามารถออกมาเร่งการใช้จ่ายเพื่อที่จะช่วยพยุงเศรษฐกิจได้เหมือนในช่วงวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ที่ผ่านมา จึงทำให้เกิดความกังวลว่าเศรษฐกิจโลกอาจต้องประสบภาวะของการชะลอตัวลงอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก

          ส่วนเศรษฐกิจของประเทศไทยที่พึ่งพาการส่งออกถึงกว่า 60% ของ GDP คงหนีไม่พ้นที่จะต้องพบกับการชะลอตัวลงด้วยเช่นเดียวกัน หากเศรษฐกิจทั่วโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย เพราะเพียงแค่เหตุการณ์สึนามิในประเทศญี่ปุ่นก็ส่งผลกระทบต่อการนำเข้าวัตถุดิบสำหรับผลิตรถยนต์ของประเทศไทยในระยะเพียง 2-3 เดือน ตัวเลข GDP ไตรมาส 2 ของประเทศไทยก็หดตัวถึง -0.2% QOQ (เทียบกับไตรมาสก่อนหน้า) จากที่เคยเติบโตถึง 2% ในไตรมาส 1

          จากวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ที่เพิ่งจะผ่านพ้นไป น่าจะทำให้ตระหนักถึงความสำคัญของความแข็งแกร่งทางพื้นฐานของเศรษฐกิจประเทศไทยที่ได้ช่วยให้ประเทศสามารถผ่านพ้นวิกฤตไปได้อย่างไม่ยากลำบากมากนัก โดยช่วงก่อนวิกฤตประเทศไทยมีความแข็งแกร่งในหลายๆ ด้านด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่อยู่ในระดับสูง ดุลบัญชีเดินสะพัดที่เกินดุล (เงินไหลเข้าประเทศ) หนี้สินส่วนใหญ่ก็เป็นหนี้สินในประเทศ

           ในขณะที่ภาคการเงิน ธนาคารต่างๆ มีฐานะการเงินที่แข็งแรง มีฐานเงินฝากที่สูง และไม่ได้พึ่งพาเงินกู้ระยะสั้นมากนัก ภาคธุรกิจเองก็มีฐานะการเงินที่มีความเสี่ยงไม่มาก โดยสัดส่วนหนี้สินต่อทุนของบริษัทที่ทำการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ก็อยู่ที่เพียง 1 เท่าเศษๆ เท่านั้น ที่สำคัญที่สุดคือประเทศไทยมีฐานะการคลังที่แข็งแรง โดยตอนที่เกิดวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์นั้น ประเทศไทยมีหนี้สาธารณะต่อ GDP อยู่ในระดับต่ำเพียง 38% ของ GDP (กรอบความยั่งยืนทางการคลังกำหนดว่าหนี้สาธารณะไม่ควรเกิน 50% ของ GDP) จึงทำให้รัฐบาลสามารถเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจได้ในภาวะคับขัน ซึ่งผลก็คือ เศรษฐกิจของประเทศไทยมีการหดตัวเพียงราว 2% ในปี 2552 ก่อนที่จะสามารถทำการขยายตัวได้สูงถึงเกือบ 8% ในปี 2553

            ภายใต้ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นขณะนี้ ทำให้ประเทศไทยไม่ควรชะล่าใจ เพราะการใช้จ่ายในการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลไทยในช่วงวิกฤตดังกล่าว ได้ส่งผลทำให้หนี้สาธารณะของประเทศไทยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 38% ขึ้นมาอยู่ที่ 44% ของ GDP ซึ่งแม้จะยังไม่เกินกรอบความยั่งยืนทางการคลังที่ได้กำหนดไว้อยู่ที่ 50% แต่ช่องว่างที่อยู่ประมาณ 6% ที่เหลืออยู่นั้นนับว่าไม่มากเลย โดยเฉพาะช่วงวิกฤตที่อาจจะทำให้หนี้สาธารณะมีการเพิ่มขึ้นไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งดูได้จากตัวอย่างของประเทศสหรัฐอเมริกาที่มีหนี้สาธารณะเพิ่มจาก 62% ของ GDP ช่วงก่อนวิกฤตเป็นกว่า 90% ของ GDP ในปี 2553 และยังมีแนวโน้มที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ต่อเนื่อง จนในที่สุดก็หนีไม่พ้นที่จะต้องมีการถูกปรับลดระดับความน่าเชื่อถือลง

           ดังนั้นประเทศไทยจึงควรที่จะต้องมีการรักษาวินัยทางการคลังให้ดี เพื่อเก็บความแข็งแรงทางการคลังของประเทศเอาไว้ใช้สำหรับในการกระตุ้นเศรษฐกิจในยามจำเป็น และควรที่จะทำการเรียนรู้จากบทเรียนของประเทศพัฒนาแล้วทั้งหลายที่กำลังยืนอยู่ใกล้กับช่วงของภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจโดยแทบไม่เหลือเครื่องมือทางการคลังและการเงินไว้ต่อสู้กับวิกฤตเศรษฐกิจเลย เพราะหนี้สาธารณะก็อยู่ในระดับสูงมาก ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายก็ถูกปรับลดลงจนเกือบที่จะเข้าใกล้ศูนย์ไปแล้ว

           นอกจากนี้เงินที่ใช้ไปยังควรคำนึงถึงผลประโยชน์ในระยะยาวด้วย ซึ่งสิ่งที่ควรแก้ไขเร่งด่วนที่สุดคือการเพิ่มงบลงทุนในงบประมาณประจำปี ซึ่งต้องบอกว่าในปัจจุบันงบลงทุนของรัฐบาลไทยนั้นน้อยมากโดยคิดเป็นสัดส่วนเพียง 12% ของงบประมาณทั้งหมดเท่านั้น เทียบกับกรอบความยั่งยืนทางการคลังที่เคยกำหนดไว้ว่าควรมีสัดส่วนงบลงทุนอย่างน้อย 25% ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะหลายๆ ปีที่ผ่านมางบลงทุนก็แทบไม่เพิ่มขึ้นเลย โดยตั้งแต่ปี 2544 ตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา งบลงทุนเพิ่มขึ้นเพียง 10% ในขณะที่งบประจำใช้จ่ายทั่วไปเพิ่มขึ้นถึง 170% ในช่วงเวลาเดียวกัน

           กล่าวโดยสรุป ยิ่งเศรษฐกิจโลกมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะถดถอยมากขึ้นเท่าไร ความแข็งแกร่งทางการคลังของประเทศก็จะต้องยิ่งมีความจำเป็นมากขึ้นเท่านั้น เพื่อที่จะใช้สำหรับเป็นภูมิคุ้มกันเศรษฐกิจของประเทศไทย ทั้งนี้ไม่ได้แปลว่าไม่ให้ใช้จ่ายเลย เพียงแต่ต้องใช้จ่ายอย่างประหยัดและคุ้มค่าเท่านั้น อย่ามุ่งแต่การเน้นใช้เงินส่วนใหญ่ไปกับโครงการประเภทลดแลกแจกแถมหรือโครงการประชานิยมเท่านั้น เพราะเมื่อมีการเริ่มโครงการเหล่านี้ไปแล้วจะทำให้มีการยกเลิกได้ยาก และจะยิ่งทำให้รัฐบาลไม่เหลือเงินมาทำโครงการลงทุนระยะยาวที่จำเป็นสำหรับในอนาคตได้อีกด้วย

วิเคราะห์การเพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้วย CSR

          การขยายฐานความคิดเรื่อง CSR ที่แบ่งออกเป็น Responsive CSR กับ Strategic CSR ทุกวันนี้มีการพูดกันอย่างกว้างขวางถึงการนำ CSR มาเป็นเครื่องมือช่วยสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขันที่แบ่งออกเป็น Responsive CSR กับ Strategic CSR จึงพยายามขยายความถึงฐานความคิดในเรื่องดังกล่าวและองค์กรจะสามารถนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้อย่างไร

           คำว่า Responsive ถ้าจะอธิบายอย่างง่ายในบริบทของ CSR คือ ความที่องค์กร Respond ในเรื่องที่เป็นผลกระทบอันมีสาเหตุจากการประกอบกิจการ หากมองในเชิงอุดมคติ ถ้าองค์กรไม่ได้ไปทำให้ใครเดือดร้อน ก็อาจจะไม่ต้องทำ CSR ก็ได้ แต่ในความเป็นจริง กระบวนการในทางธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการผลิต การส่งมอบ การจำหน่าย การบริการ เป็นต้น ย่อมจะต้องมีการเกิดผลภายนอก (Externalities) ไม่มากก็น้อย ฉะนั้นการที่ประชาชนเดินมาหาโรงงานและบอกว่าได้รับผลกระทบจากน้ำทิ้ง กลิ่นเหม็น อากาศเสีย หากโรงงานไม่ดำเนินการอะไรเลยนั่นแสดงว่าไม่มี CSR

           การที่องค์กรรับที่จะดำเนินการตามที่ชาวบ้านร้องขอ อันนี้เรียกว่า Responsive คือ React ในสิ่งที่ตนเองได้สร้างผลกระทบไว้ ซึ่งพอร์เตอร์กล่าวไว้ว่า การที่องค์กรตอบสนองต่อข้อท้วงติงหรือข้อเรียกร้องเช่นนี้ องค์กรจะได้รับการยอมรับในฐานะ Good Citizen ในสังคมที่สามารถอยู่ร่วมกันได้

           ในมุมมองที่กล่าวถึงนั้นยังขยายความต่อว่า แม้องค์กรจะได้ทำเรื่อง Responsive CSR ครบถ้วนเป็นอย่างดีแล้ว แต่ก็อาจจะไม่เพียงพอต่อการเสริมสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขันที่ทุกธุรกิจให้ความสำคัญ เพราะการดำเนินงาน CSR ในเชิงรับ องค์กรไม่สามารถกำหนดประเด็นการดำเนินงานทางสังคมได้เอง ซึ่งถือเป็นโจทย์สำคัญของการสร้างความแตกต่าง (Differentiation) และเป็นปัจจัยแห่งความสำเร็จหนึ่งของการพัฒนาขีดความสามารถทางการแข่งขันด้วย
 
           แนวคิดของ CSR เชิงกลยุทธ์ หรือ Strategic CSR ซึ่งก็คือการทำ CSR ในเชิงรุก จึงได้มีการถูกหยิบยกขึ้นมานำเสนอ โดยที่องค์กรเป็นผู้หยิบยกประเด็นทางสังคมขึ้นมาวิเคราะห์และเลือกดำเนินการให้สอดรับกับกลยุทธ์ทางธุรกิจ และเชื่อมโยงกับวิสัยทัศน์ รวมทั้งเกื้อหนุนกับพันธกิจ ตลอดจนการเน้นถึงค่านิยมขององค์กรอย่างผสมผสานและกลมกลืน

            อย่างไรก็ตามการที่องค์กรหลายแห่งได้มาประกาศเกี่ยวกับว่าจะเข้าไปทำงานเชิงรุกกับสังคม แต่หากผลกระทบทางลบจากกิจการที่มีต่อผู้มีส่วนได้เสียกลุ่มต่างๆ ยังไม่ได้รับการแก้ไข หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ยังไม่ได้ทำ Responsive CSR การแสวงหาความแตกต่างหรือมุ่งเน้นพัฒนาขีดความสามารถทางการแข่งขันด้วย Strategic CSR ก็จะไม่เป็นผล เนื่องเพราะองค์กรยังละเลยสิ่งที่เป็นความต้องการของประชาชนที่ได้เรียกร้องในสิ่งที่ควรต้องดำเนินการอยู่

           ดังนั้นการทำ CSR เชิงกลยุทธ์ จึงมิได้มาทดแทน Responsive CSR แต่เป็นสิ่งที่องค์กรต้องมีพัฒนาการตั้งแต่การทำ CSR ในเชิงรับ ซึ่งก็คือการที่เน้นแก้ไขผลกระทบทางลบที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการดำเนินงานของบริษัท จนนำมาสู่ CSR ในเชิงรุกที่เน้นเสริมสร้างผลกระทบทางบวกอย่างเป็นลำดับขั้น ก็จะทำให้ความสามารถในการแข่งขันของบริษัทในเรื่องที่เกี่ยวกับ CSR ได้ผลตอบรับที่ดีมากขึ้นจนนำไปสู่ภาพลักษณ์ที่ดีของบริษัทได้อย่างยั่งยืนต่อไป


______________________
* โดย : พรเทพ ชูพันธุ์ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจ และธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจฉบับวันที่ 24 สิงหาคม 2554

 

กลุ่มข้อมูลองค์กร
สำนักกรรมการผู้จัดการใหญ่

บทความเศรษฐกิจ

วันที่ 6 ตุลาคม 2554

1297 Views

BAM Mobile Application

ค้นหาทรัพย์ง่ายๆ เพียงปลายนิ้วสัมผัส

บริการฝากขาย
อสังหาฯ
ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย