หน้าหลัก > บทความเศรษฐกิจ > บทความวิเคราะห์รายงานทางเศรษฐกิจและการเงิน เดือนตุลาคม 2554

บทความวิเคราะห์รายงานทางเศรษฐกิจและการเงิน เดือนตุลาคม 2554

สรุปภาวะเศรษฐกิจ

 

          ข้อมูลเดือนสิงหาคม 2554 จากตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน จะเห็นว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคยังมีค่าสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ภาคการผลิตมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากภาคการผลิตเริ่มมีการผลิตสินค้า เนื่องจากก่อนหน้านั้นได้มีการชะลอการผลิตลงไปบ้าง ทำให้ในเดือนนี้จึงเร่งการผลิตขึ้นมา ในขณะที่ดุลการค้ายังมีค่าเป็นบวก เพราะการนำเข้ายังปรับตัวลดลง ในขณะเดียวกันภาวะการเงินยังทรงตัวไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงมากนัก โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

1. ดัชนีราคาผู้บริโภค
          จากตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน จะเห็นว่าดัชนีราคาผู้บริโภคในเดือนสิงหาคมมีค่า 113.2 มีค่าสูงขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนกรกฎาคมที่มีค่า 112.7 เพราะสินค้าในหมวดพลังงานยังมีความผันผวน อีกทั้งสินค้าในหมวดอาหารมีราคาสูงขึ้นตามการปรับตัวของราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตามมาตรการภาครัฐยังมีส่วนช่วยทำให้ดัชนีราคาผู้บริโภคไม่ให้ปรับตัวสูงขึ้น แต่ก็ต้องติดตามในเรื่องของราคาน้ำมัน เพราะยังมีความไม่แน่นอนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจจะส่งผลต่อดัชนีราคาผู้บริโภคได้อย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้นดัชนีราคาผู้บริโภคในเดือนสิงหาคมจึงมีค่าสูงขึ้นไปเมื่อเทียบกับเดือนกรกฎาคมตามตารางที่ปรากฏ

2. ภาวะการผลิต
         จากดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมและอัตราการใช้กำลังการผลิตในตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน จะเห็นได้ว่าดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมในเดือนสิงหาคมมีค่า 195.09 เพิ่มขึ้นจากเดือนกรกฎาคมที่มีค่า 187.80  และอัตราการใช้กำลังการผลิตในเดือนสิงหาคมมีค่าร้อยละ 63.98 เพิ่มขึ้นจากเดือนกรกฎาคมที่มีค่าร้อยละ 62.00 โดยสาเหตุที่ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมและอัตราการใช้กำลังการผลิตมีค่าเพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการได้มีการชะลอการผลิตสินค้าออกไปภายหลังจากที่เศรษฐกิจโลกมีความผันผวน อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียยังมีการเติบโตอยู่ จึงทำให้ผู้ประกอบการได้เร่งการผลิตสินค้าออกมา เพื่อผลิตสินค้าส่งออกไปยังภูมิภาคเอเชียที่ยังมีความต้องการสินค้าอยู่ อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการจำเป็นต้องติดตามในเรื่องของราคาน้ำมันอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันความผันผวนที่จะเกิดขึ้น และควรจะต้องเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ เพื่อรองรับความเสี่ยง และเตรียมแผนรองรับสถานการณ์ในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของต้นทุนราคาน้ำมันและความผันผวนของค่าเงินบาทด้วย ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าวส่งผลทำให้ภาวะการผลิตในเดือนนี้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมาเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนที่แล้ว

3. ภาวะการค้า
          ดุลการค้าในเดือนสิงหาคมมีค่า 704.77 จะเห็นว่าลดลงจากเดือนกรกฎาคมที่มีค่า 4,552.36 และดุลบัญชีเดินสะพัดในเดือนสิงหาคมมีค่า -696.74 ลดลงจากเดือนกรกฎาคมที่มีค่า 3,438.31 จะเห็นได้ว่าดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดมีค่าลดลง แต่ดุลการค้ายังมีค่าเป็นบวกอยู่ เนื่องจากการนำเข้ายังปรับตัวลดลงไป ในขณะที่ดุลบัญชีเดินสะพัดมีค่าเป็นลบ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีความผันผวน จึงทำให้มีเงินไหลออกจากประเทศเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดปรับตัวลดลงไป อย่างไรก็ตามยังมีความจำเป็นต้องเฝ้าติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจต่างๆ อย่างใกล้ชิด ทั้งในเรื่องของค่าเงินบาทรวมไปถึงยังมีปัจจัยลบอื่นๆ ที่เป็นปัญหาสำคัญที่อาจทำให้เศรษฐกิจของประเทศเกิดการชะลอตัว และจากปัจจัยต่างๆ ดังที่ได้กล่าวไปแล้วทำให้ภาวะการค้าในเดือนนี้มีค่าลดลงมาเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า

4. ภาวะการเงิน
          ตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงินแสดงได้ว่า เงินฝากเดือนกรกฎาคมมีค่า 7,684.62 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายนที่มีค่า 7,615.74 พันล้านบาท และเงินให้สินเชื่อในเดือนกรกฎาคมมีค่าเป็น 9,780.76 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายนที่มีค่า 9,651.79 พันล้านบาท ซึ่งจะเห็นว่าปริมาณเงินฝากและเงินให้สินเชื่อมีเพิ่มขึ้น สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะการลงทุนในด้านอื่นๆ เริ่มมีความผันผวนมากขึ้น อีกทั้งอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่มีผลตอบแทนที่ดีขึ้น ส่งผลให้ประชาชนจึงนำเงินมาฝากเพิ่มขึ้น สำหรับการปล่อยสินเชื่อมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมา เนื่องจากก่อนหน้านั้นธนาคารได้มีการชะลอการปล่อยสินเชื่อออกไปบ้าง จึงทำให้ในเดือนนี้ธนาคารได้เร่งการปล่อยสินเชื่อยังออกมามากขึ้น อย่างไรก็ตามผลของภาวะเศรษฐกิจที่ยังฟื้นตัวได้อย่างไม่เต็มที่หลังจากที่มีผลกระทบจากหลายๆ ปัจจัย จึงทำให้ภาวะการฝากเงินและการให้สินเชื่อยังทรงตัวอยู่ต่อไป

ตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน

รายละเอียด
พฤษภาคม 54
มิถุนายน 54
กรกฎาคม 54
สิงหาคม 54
ดัชนีราคาผู้บริโภค

112.4

112.5

112.7

113.2
ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม

182.95

197.26

187.80

195.09

อัตราการใช้กำลังการผลิต

58.18

62.71

62.00

63.98

ดุลการค้า

2,186.39

3,798.09

4,552.36

704.77

ดุลบัญชีเดินสะพัด

-655.74

2,401.93

3,438.31

-696.74

เงินฝาก

7,662.28

7,615.74

7,684.62

 n.a.

เงินให้สินเชื่อ

9,713.85

9,651.79

9,780.76

 n.a.

         ที่มา:   ธนาคารแห่งประเทศไทย
         หมายเหตุ:   ดัชนีราคาผู้บริโภค มีปีฐานคือ 2545  เงินฝาก/เงินให้สินเชื่อ มีหน่วยเป็น พันล้านบาท
                         อัตราการใช้กำลังการผลิต มีหน่วยเป็น ร้อยละ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม มีปีฐานคือ 2543
                         ดุลการค้า ดุลบัญชีเดินสะพัด มีหน่วยเป็น ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา

มาตรการบ้านหลังแรกสร้างสีสันอสังหาริมทรัพย์ปลายปี*

          เมื่อวันอังคารที่ 20 กันยายน 2554 ที่ผ่านมากระทรวงการคลังได้เสนอมาตรการลดหย่อนภาษีสำหรับผู้ซื้อที่อยู่อาศัยหลังแรก และราคาที่อยู่อาศัยไม่เกิน 5,000,000 บาท โดยผู้ที่ซื้อสามารถนำค่าใช้จ่ายจากการซื้อที่อยู่อาศัยมาคำนวณเพื่อหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ไม่เกินร้อยละ 10 ของราคาบ้าน (ราคาบ้าน 5,000,000 บาท หักลดหย่อนได้ 500,000 บาท) โดยหักลดหย่อนเท่าๆ กัน เป็นระยะเวลา 5 ปี ซึ่งผู้ที่ซื้อที่อยู่อาศัยจะสามารถนำมาหักภาษีเพิ่มเติมจากที่ปัจจุบันผู้ที่ซื้อที่อยู่อาศัยสามารถนำอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ซื้อที่อยู่อาศัยมาหักลดหย่อนภาษีได้ปีละ 100,000 บาท โดยมาตรการดังกล่าวนี้จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 22 กันยายน 2554 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2555 และจะมีผลการหักลดหย่อนภาษีนับตั้งแต่ปี 2556 อย่างไรก็ดีมาตรการดังกล่าวนี้ไม่รวมถึงการซื้อที่อยู่อาศัยมือสองและบ้านปลูกสร้างเอง

         ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมีความเห็นว่าความชัดเจนจากมาตรการดังกล่าวนี้น่าจะส่งผลให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจสินเชื่อที่อยู่อาศัยในช่วงที่เหลือของปีนี้กลับมาคึกคักอีกครั้ง ภายหลังจากที่ผู้ซื้อที่อยู่อาศัยได้ชะลอการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยไปเมื่อ 2-3 เดือนที่ผ่านมา มาตรการของรัฐบาลที่ให้หักลดหย่อนภาษีสำหรับผู้ซื้อที่อยู่อาศัยหลังแรกนั้นน่าจะช่วยกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงที่เหลือของปีนี้ให้กลับมาคึกคักขึ้น โดยเฉพาะผู้ซื้อที่อยู่อาศัยที่ปัจจุบันได้ชะลอการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยให้ตัดสินใจ และกลุ่มผู้ประกอบการที่มีที่อยู่อาศัยเหลือขายและที่กำลังจะสร้างเสร็จ โดยเฉพาะในกลุ่มที่อยู่อาศัยแนวราบที่มีระยะเวลาในการสร้างเสร็จรวดเร็วกว่าโครงการแนวสูง

         โดยผู้ที่ได้รับประโยชน์เต็มจำนวนจากการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีซื้อบ้านหลังแรกจะต้องเป็นผู้มีเงินได้ 23,333 บาทต่อเดือนขึ้นไป ภายใต้เงื่อนไขผู้มีรายได้สุทธิไม่เกิน 150,000 บาทต่อปี จะได้รับยกเว้นไม่ต้องจ่ายภาษี ในขณะที่ผู้มีรายได้ไม่ถึงเกณฑ์ต้องชำระภาษีจะไม่ได้รับประโยชน์จากมาตรการนี้ ทั้งนี้ค่าใช้จ่ายในการซื้อที่อยู่อาศัยจะลดลงมากน้อยเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับ 1. ราคาที่อยู่อาศัยที่ซื้อ 2.ระดับรายได้ของผู้ซื้อบ้าน 3. ฐานอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของผู้ซื้อบ้าน

 

รายได้ต่อเดือน

ฐานภาษี

ราคาบ้านที่ซื้อได้

รวมวงเงินลดหย่อน

ที่หักได้

(ไม่เกิน 10%
ของราคา)

ค่าลดหย่อนต่อปี

ภาระค่าใช้จ่ายในการซื้อบ้าน

ที่ลดลง

มูลค่ารวม5 ปี

มูลค่าต่อปี

23,333 * 12 =   279,996 

          10 %

1,000,000 

100,000 

20,000 

10,000 

2,000

             40,000 * 12 = 480,000 

           10%

 2,000,000 

200,000 

40,000 

20,000

 4,000

             60,000 * 12 = 720,000 

           20%

3,000,000 

300,000 

 60,000 

60,000 

12,000

             80,000 * 12 = 960,000 

           20%

4,000,000 

 400,000 

80,000 

80,000 

16,000

        100,000 * 12 = 1,200,000 

          30% 

5,000,000 

500,000 

100,000 

150,000 

30,000

 350,000 * 12 = 4,200,000 

         37%

5,000,000 

500,000 

 100,000 

185,000 

37,000

         ที่มา: ศูนย์วิจัยกสิกรไทย,

         1. คำนวณความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยจากระดับรายได้ในแต่ละเดือน ภายใต้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ซื้อที่อยู่อาศัยร้อยละ 7.25 และผ่อนระยะเวลา 30 ปี จำนวนเงินผ่อนชำระต่อเดือนประมาณ 1 ใน 3 ของรายได้ต่อเดือน
2.ภายใต้สมมติฐานรายได้ทั้งปี (ไม่รวมโบนัส) หักค่าใช้จ่ายส่วนตัว 60,000 บาท รายการลดหย่อนยกเว้นหลังการหักค่าใช้จ่าย 30,000 บาท หักลดหย่อนเงินสมทบประกันสังคม 9,000 บาท

        ตัวอย่างเช่นผู้ที่จะได้รับการลดหย่อนภาษีต่ำสุด คือ ผู้ที่ต้องจ่ายภาษีในอัตราร้อยละ 10 (หรือมีรายได้ประมาณ 21,000 ถึง 51,580 บาทต่อเดือน) และซื้อบ้านระดับราคาไม่เกิน 1,000,000 บาท จะลดค่าใช้จ่ายในการซื้อบ้านโดยรวมไม่เกิน 10,000 บาท ตลอดระยะเวลา 5 ปี ส่วนผู้ที่จะได้รับการลดหย่อนภาษีสูงสุด คือ ผู้ที่ต้องจ่ายภาษีในอัตราร้อยละ 37 (หรือมีรายได้สูงกว่า 341,585 บาทต่อเดือน) และซื้อบ้านราคา 5,000,000 บาท จะลดค่าใช้จ่ายในการซื้อบ้านลงได้ตั้งแต่ 150,000 บาท ไปจนสูงสุดได้ถึง 185,000 บาท (ตั้งแต่ร้อยละ 30-37 ของวงเงินที่สามารถหักค่าลดหย่อนได้ในแต่ละปี)

         ทำให้มองว่ามาตรการบ้านหลังแรกน่าจะช่วยสร้างบรรยากาศในตลาดที่อยู่อาศัยให้มีความคึกคักมากขึ้น จากกรณีที่หากไม่มีมาตรการตลาดที่อยู่อาศัยอาจมีแนวโน้มชะลอตัว โดยมาตรการนี้น่าจะกระตุ้นคนที่มีความสามารถในการซื้อบ้านระดับกลาง-บนได้ค่อนข้างมาก (ราคาประมาณ 3,000,000 – 5,000,000 บาท)  ซึ่งกลุ่มผู้บริโภคที่มีความสามารถในการซื้อบ้านราคาระดับกลาง-บน น่าจะมีความอ่อนไหวต่อปัจจัยทางเศรษฐกิจที่ค่อนข้างน้อย และมีความยืดหยุ่นในการที่จะเลือกซื้อที่อยู่อาศัยในช่วงระดับราคาที่ลดต่ำลงได้ เมื่อภาวะเศรษฐกิจมีความอ่อนไหว ขณะที่ผู้บริโภคกลุ่มที่มีรายได้ค่อนข้างต่ำ เช่น ผู้ที่มีรายได้ประมาณ 20,000 บาทต่อเดือน จะมีข้อจำกัดในการซื้อที่อยู่อาศัย โดยผู้ที่มีรายได้ระดับนี้จะสามารถซื้อที่อยู่อาศัยระดับประมาณราคา 1,000,000 บาทลงไป

         ขณะที่ตลาดที่อยู่อาศัยที่มีราคาระดับประมาณ 1,000,000 บาท หรือต่ำกว่า จะมีอยู่ประมาณร้อยละ 20 ของตลาดที่อยู่อาศัยที่เปิดตัว แต่ที่อยู่อาศัยระดับราคานี้ ก็มีข้อจำกัดในเรื่องของทำเลที่อาจจะห่างไกลเส้นทางคมนาคมขนส่ง เช่น รถไฟฟ้า เป็นต้น อย่างไรก็ดีราคาที่อยู่อาศัยมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นตามต้นทุนการก่อสร้างที่ปรับสูงขึ้น ทำให้ในระยะข้างหน้าราคาบ้านระดับนี้คงจะมีสัดส่วนที่ลดลง และจะทำให้ผู้บริโภคที่มีรายได้ต่อเดือนไม่สูงมากมีข้อจำกัดในการซื้อที่อยู่อาศัยมากขึ้น นอกจากนี้มาตรการดังกล่าวยังจำกัดกลุ่มผู้ที่ได้รับสิทธิประโยชน์เฉพาะกลุ่มผู้อยู่ในฐานภาษี ซึ่งปัจจุบันมีผู้ที่ยื่นแบบภาษีบุคคลธรรมดา ภ.ง.ด. 90 และ 91 ประมาณเกือบ 10 ล้านคน แต่มีผู้ที่ยื่นแบบและเสียภาษีประมาณ 2.1 ล้านคน ขณะเดียวกันมาตรการดังกล่าวยังไม่รวมถึงบ้านมือสอง และบ้านปลูกสร้างเอง ซึ่งคนที่อาศัยอยู่ต่างจังหวัดนิยมปลูกสร้างบ้านเองจำนวนมาก ดังนั้นจึงไม่ได้รับประโยชน์จากมาตรการนี้ อีกทั้งยังไม่ให้สิทธิผู้มีเงินได้ที่เคยเป็นผู้ที่กู้ร่วมและใช้สิทธิหักลดหย่อนดอกเบี้ยเงินกู้ซื้อที่อยู่อาศัย ซึ่งทำให้กลุ่มผู้ที่จะได้รับประโยชน์นั้นหดแคบลง

         สำหรับแนวโน้มที่อยู่อาศัยในช่วงที่เหลือของปี 2554 นี้ คาดว่าตลาดคงจะมีการแข่งขันที่เข้มข้นและรุนแรง โดยผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์คงจะเร่งทำการตลาด ออกแคมเปญที่จูงใจ เพื่อกระตุ้นให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยควบคู่ไปกับการกระตุ้นด้านสิทธิประโยชน์ภาษีของภาครัฐ โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสสุดท้ายนี้จะเป็นจังหวะที่ดีที่ผู้ประกอบการจะเร่งระบายบ้านที่เหลือขายสะสมอยู่ในมือออกไป และจะเป็นช่วงที่ดีของผู้บริโภคในการซื้อที่อยู่อาศัย เนื่องจากในปี 2555 ที่จะถึงนี้ ทั้งผู้บริโภคและผู้ประกอบการคงจะต้องเผชิญกับปัจจัยเฉพาะที่จะมีผลต่อต้นทุนที่เพิ่มขึ้น อาทิ

        มาตรการกำหนดอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (Loan to Value) สำหรับการให้สินเชื่อที่อยู่อาศัยที่มีราคาซื้อขายต่ำกว่า 10 ล้านบาทลงมา โดยเมื่อต้นปีที่ผ่านมามาตราการดังกล่าวนี้ได้มีผลบังคับใช้สำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัยแนวสูง หรือ คอนโดมิเนียม ซึ่งกำหนดอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกันที่ร้อยละ 90 ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2554 มาตรการดังกล่าวนี้ได้ส่งผลกระทบต่อตลาดคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จเหลือขาย สำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัยแนวราบ เช่น บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮ้าส์ กำหนดอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกันที่ร้อยละ 95 โดยจะมีผลใช้เฉพาะสัญญาจะซื้อจะขายที่ทำตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 ทำให้ผู้ประกอบการที่มีที่อยู่อาศัยเหลือขายคงจะต้องเร่งทำการตลาดระบายสินค้า

        ราคาประเมินที่ดินฉบับ 1 มกราคม 2552-2554 จะสิ้นสุดลง ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 ทางกรมธนารักษ์จะใช้บัญชีราคาประเมินทุนทรัพย์ที่ดินฉบับปี 2555-2558 ซึ่งราคาที่ดินประเมินรอบใหม่นี้ได้ปรับตัวสูงขึ้นเฉลี่ยประมาณร้อยละ 15-30 ของราคาประเมินที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ซึ่งราคาที่ดินในทำเลศักยภาพบางแห่งปรับตัวขึ้นถึงร้อยละ 50 ทั้งนี้ ราคาประเมินที่ดินที่ปรับขึ้นนี้จะมีผลต่อภาระรายจ่ายของผู้ซื้อที่อยู่อาศัยที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยผู้ซื้อที่อยู่อาศัยจะต้องชำระค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัย (ค่าธรรมเนียมการโอนอยู่ที่ร้อยละ 2.0 ของราคาประเมินของทางราชการ) อย่างไรก็ดีหากพิจารณาถึงปัจจัยแวดล้อมในด้านอื่นๆ ต้องยอมรับว่ามีปัจจัยที่เอื้อต่อการเติบโตของตลาดค่อนข้างน้อย เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจที่อยู่ภายใต้ความเสี่ยงต่อวิกฤตเศรษฐกิจโลกครั้งใหม่ ซึ่งอาจทำให้ผู้บริโภคมีความไม่มั่นใจต่อรายได้และการจ้างงานในอนาคต นอกจากนี้ผู้บริโภคยังเผชิญภาระรายจ่ายในชีวิตประจำวันที่สูงขึ้น รวมถึงอัตราดอกเบี้ยก็มีระดับสูงขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา

        คาดว่าในปี 2554 นี้ อาจมีการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล ประมาณ 155,500-161,500 หน่วย หดตัวลงร้อยละ 9.4-12.7 เมื่อเทียบกับปี 2553 ที่จำนวนการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยสูงถึง 178,128 หน่วย (ตามรายงานของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์) สำหรับแนวโน้มการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในปี 2555 นี้ คาดว่ามาตรการดังกล่าวนี้น่าจะช่วยให้การโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล ปี 2555 มีประมาณ 152,500-162,750 หน่วย ลดลงร้อยละ 3.8 ถึงเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.7 เมื่อเทียบกับปี 2554 โดยกรณีที่ลดลงนั้น เนื่องจากตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังคงมีความเสี่ยงจากวิกฤตเศรษฐกิจ ผู้บริโภคคงจะให้ความระมัดระวังมากขึ้นในการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย ผู้บริโภคส่วนหนึ่งที่มีแผนการซื้อที่อยู่อาศัยอยู่แล้วอาจตัดสินใจเร่งโอนกรรมสิทธิ์และซื้อที่อยู่อาศัยตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายของปี 2554 นี้แล้ว เนื่องจากถ้ารอรอบต่อไป การซื้อที่อยู่อาศัยในปี 2555 อาจมีต้นทุนค่าใช้จ่ายในการซื้อที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น จากการใช้มาตรการ LTV สำหรับโครงการบ้านจัดสรร และการใช้ราคาประเมินที่ดินฉบับใหม่

        นอกจากนี้นโยบายนี้เป็นนโยบายเฉพาะบ้านหลังแรก และไม่รวมบ้านมือสอง อีกทั้งยังไม่ให้สิทธิผู้มีเงินได้ที่เคยเป็นผู้ที่กู้ร่วมและใช้สิทธิหักลดหย่อนดอกเบี้ยเงินกู้ซื้อที่อยู่อาศัย แม้จะไม่ได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์นั้นก็ตาม ทำให้กลุ่มลูกค้าจึงอยู่ในขอบเขตที่จำกัด อย่างไรก็ดีหากไม่มีมาตรการนี้การโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล ในปี 2555 อาจอยู่ที่ประมาณ149,000 - 157,620 หน่วย  หดตัวร้อยละ 0.6-6.0 จากปี 2554 มาตรการบ้านหลังแรกไม่เพียงแต่จะมีผลในการกระตุ้นธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเท่านั้น แต่ยังมีผลต่อการแข่งขันของธุรกิจสินเชื่อที่อยู่อาศัยเช่นกัน เพราะมาตรการในครั้งนี้ไม่ได้จำกัดการแข่งขันของธนาคารพาณิชย์ อย่างเช่นมาตรการสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่ผ่านมา ที่รัฐบาลได้กำหนดให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐเป็นผู้ดำเนินการ นอกจากนี้การที่มาตรการให้มีผลครอบคลุมไปถึงบ้านระดับราคาสูงสุดถึง 5,000,000 บาทนั้น ถือว่าเป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของธนาคารพาณิชย์ ทำให้คาดว่าในช่วงที่เหลือของปีนี้ การแข่งขันในธุรกิจสินเชื่อที่อยู่อาศัยคงมีความเข้มข้นขึ้น โดยยังคงเน้นการทำตลาดร่วมกับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งกลยุทธ์การตลาดน่าจะยังคงเป็นกลยุทธ์ด้านอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0 เป็นระยะเวลาสั้นๆ เช่น 3 เดือน 6 เดือน เป็นต้น

         แต่อย่างไรก็ดีธนาคารพาณิชย์ยังคงจะต้องแข่งขันด้านราคา เพราะแม้ว่าสถาบันการเงินจะพยายามหลีกเลี่ยงการแข่งขันทางด้านราคาเพียงใด แต่เมื่อปัจจัยแวดล้อมทางธุรกิจที่มีการแข่งขันสูง และผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เองก็คงจะหาสถาบันการเงินที่เสนออัตราดอกเบี้ยที่ต่ำให้แก่ลูกค้าของตน ทำให้สถาบันการเงินต่างคงจะต้องคิดกลยุทธ์และผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่อยู่อาศัยให้เหมาะสม เพื่อรักษาฐานลูกค้าของตน สำหรับแนวโน้มยอดคงค้างสินเชื่อที่อยู่อาศัยในช่วงไตรมาส 4 ของปี 2554 นี้ ได้มีการปรับตัวเลขประมาณการอัตราการขยายตัวเนื่องจากมีการปรับข้อมูลใหม่ในปี 2553 โดยคาดว่ายอดคงค้างสินเชื่อที่อยู่อาศัยทั้งระบบจะมีประมาณ 2,034,000-2,052,200 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 7.5-8.5 ชะลอลงจากที่ขยายตัวประมาณร้อยละ 10.5 ในปี 2553

         ในขณะเดียวกันตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงที่เหลือของปี 2554  นี้ ยังมีประเด็นสำคัญที่ต้องติดตาม คือ การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของไทย (กนง.) ของธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อกำหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 2 ครั้ง ในวันที่ 19 ตุลาคม และวันที่ 30 พฤศจิกายน 2554 นี้ ซึ่งนับจากช่วงต้นปี 2554 ที่ผ่านมา ทาง กนง. ได้มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายมาแล้ว 6 ครั้ง มีผลทำให้สถาบันการเงินต่างปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยขึ้นตามมา ซึ่งการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่อยู่อาศัยคงจะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่มาตรการหักลดหย่อนภาษีสำหรับผู้ซื้อบ้านหลังแรก น่าจะส่งผลดีต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่มีแนวโน้มอ่อนตัวลง นอกจากนี้การเพิ่มเพดานราคาที่อยู่อาศัยเป็น 5,000,000 บาทนั้น ช่วยขยายฐานลูกค้าสู่ระดับกลาง-บน ก็น่าจะช่วยกระตุ้นให้ผู้บริโภคกลุ่มนี้ที่มีความพร้อมทางด้านการเงินตัดสินในการซื้อที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ดีมาตรการดังกล่าวนี้เป็นมาตรการหักลดหย่อนภาษี ซึ่งผู้ที่จะได้รับสิทธิประโยชน์จะเป็นผู้ที่เสียภาษีบุคคลธรรมดา และมีรายได้เมื่อหักลดหย่อนตามมาตรฐานที่กำหนดที่สูงกว่า 150,000 บาทต่อปี มาตรการดังกล่าวนี้มุ่งกระตุ้นกำลังซื้อของผู้มีรายได้ระดับปานกลางถึงสูง หลังจากก่อนหน้านี้รัฐบาลได้ดำเนินมาตรการหลายด้านเพื่อผู้มีรายได้น้อยไปบ้างแล้ว อาทิ มาตรการเพิ่มรายได้ เป็นต้น

          สำหรับกลุ่มผู้ประกอบการที่น่าจะได้รับประโยชน์จากมาตรการนี้น่าจะเป็นกลุ่มผู้ประกอบการที่มีจำนวนที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จและพร้อมขายอยู่ในปัจจุบัน หรือผู้ประกอบการที่มีแผนที่จะสร้างเสร็จในปี 2555 ซึ่งคาดว่าผู้ประกอบการคงจะเร่งดำเนินกลยุทธ์การตลาดให้มีความน่าสนใจมากขึ้นในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2554 นี้  เนื่องจากในวันที่ 1 มกราคม 2555 ที่จะถึงนี้ จะมีปัจจัยสำคัญที่อาจมีผลต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ให้ชะลอลงในระยะสั้น อาทิ มาตรการกำหนดวงเงินสินเชื่อ (LTV) จะมีผลบังคับใช้ในกลุ่มโครงการบ้านแนวราบ ขณะเดียวกันก็มีการใช้ราคาประเมินที่ดินฉบับ พ.ศ. 2555-2558 ซึ่งราคาที่ดินประเมินรอบใหม่นี้ได้ปรับตัวสูงขึ้นเฉลี่ยประมาณร้อยละ 15-30 ของราคาประเมินที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ซึ่งจะมีผลต่อภาระรายจ่ายในการซื้อที่อยู่อาศัยที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน ขณะเดียวกัน ธุรกิจสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่ปกติจะเติบโตตามตลาดอสังหาริมทรัพย์ นั้น คาดว่าในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ การแข่งขันทางธุรกิจสินเชื่อที่อยู่อาศัยคงจะมีความเข้มข้นเช่นกัน

          โดยสรุปประเมินได้ว่ามาตรการบ้านหลังแรกจะมีส่วนกระตุ้นตลาดที่อยู่อาศัยในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2554 แต่โดยรวมทั้งปีแล้วคาดว่าการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลทั้งปี 2554 ก็น่าจะยังคงหดตัวลงร้อยละ 9.4-12.7 เนื่องจากภาวะชะลอตัวของ 3 ไตรมาสแรกของปี 2554 และสำหรับปี 2555 คาดว่ายอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยอาจลดลงร้อยละ 3.8 ถึงเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.7 เทียบกับกรณีไม่มีมาตรการนี้การโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล ในปี 2555 อาจหดตัวร้อยละ 0.6-6.0 จากปี 2554

วิเคราะห์สหรัฐอเมริกาจะเข้าสู่ภาวะถดถอยอีกรอบหรือไม่

          ในระยะนี้ความสนใจของการลงทุนไปอยู่ที่เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นลำดับหนึ่งของโลก นอกจากสหรัฐอเมริกาจะถูกลดลำดับความน่าเชื่อถือ หรือ credit rating จากระดับ AAA ลงมาเหลือ AA+ แล้ว ในปัจจุบันตลาดการเงินกำลังมีความกลัวว่าสหรัฐอเมริกาจะเข้าสู่ภาวะถดถอยอีกรอบหรือไม่ ภายหลังที่มาตรการการเงินแบบพิเศษ (QE-2) สิ้นสุดลงในปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจหลักๆ เช่น ดัชนีชี้นำทางเศรษฐกิจ การจ้างงาน ยอดการใช้จ่ายของประชาชน ความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ตลอดจนดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่อ่อนตัวลงมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เคยขึ้นไปสู่ระดับสูงสุดในปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา และตกต่ำอย่างต่อเนื่องในเดือนสิงหาคมในช่วงที่ประเด็นการปรับขึ้นเพดานหนี้สาธารณะของภาครัฐยังไม่มีข้อยุติ

          หากเศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอยตามความกังวลของนักวิเคราะห์แล้ว จะนับได้ว่าเป็นการฟื้นตัวที่สั้นมากนับตั้งแต่การฟื้นตัวเกิดขึ้นในกลางปี ค.ศ. 2009 เป็นต้นมา จากคำแถลงของคณะกรรมการธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาครั้งหลังสุดในวันที่ 9 สิงหาคมที่ผ่านมา ได้ยอมรับว่าเศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวในอัตราต่ำกว่าคาดการณ์ของคณะกรรมการ อัตราการใช้กำลังการผลิตของประเทศยังอยู่ในระดับต่ำ ประกอบกับคาดการแนวโน้มของอัตราเงินเฟ้อในอนาคตจะอ่อนตัวลง จึงให้คงอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลาง (fed fund rate) ไว้ที่ระดับ 0.0-0.25% ต่อไปอีกจนถึงกลางปี 2013 จากเดิมที่ตลาดคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐน่าจะเริ่มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงในปีหน้า (ค.ศ. 2012) พร้อมทั้งระบุว่าธนาคารกลางจะติดตามเครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิดและพร้อมที่จะมีมาตรการในการรองรับมิให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย แม้จะไม่ได้ระบุชัดเจนว่าจะมีมาตรการการเงินพิเศษรอบใหม่เพิ่มเติม (QE-3) นโยบายคงอัตราดอกเบี้ยต่ำไปยาวนานอีก 2 ปีข้างหน้า สะท้อนว่าสหรัฐอเมริกามีข้อจำกัดของเครื่องมือที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรการทางด้านการคลังที่จะต้องมีแผนในการลดหนี้สาธารณะลงในอนาคต 10 ปีข้างหน้า มาตรการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจด้วยการเข้าไปซื้อพันธบัตรหรือหลักทรัพย์ต่างๆ ที่เคยใช้มาก็ยังไม่มีประสิทธิภาพตามความคาดหวัง จากการติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจโลก โอกาสที่น่าจะเกิดขึ้น คือ เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกามีแนวโน้มน่าจะเติบโตในอัตราที่ชะลอช้าลงเท่านั้น แต่จะไม่ถึงขั้นเข้าสู่ภาวะถดถอย หรือเกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจขึ้นอีกรอบหนึ่ง เพราะรัฐบาลของประเทศต่างๆ ค

บทความเศรษฐกิจ

วันที่ 19 ตุลาคม 2554

1484 Views

BAM Mobile Application

ค้นหาทรัพย์ง่ายๆ เพียงปลายนิ้วสัมผัส

บริการฝากขาย
อสังหาฯ
ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย