สรุปภาวะเศรษฐกิจ
ข้อมูลเดือนกันยายน 2554 จากตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน จะเห็นว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคมีค่าลดลงเล็กน้อย ในขณะที่ภาคการผลิตมีการปรับตัวลดลง เนื่องจากภาคการผลิตได้มีการเตรียมการในการรับมือกับภาวะน้ำท่วมที่จะเข้ามาในนิคมอุตสาหกรรม ส่งผลทำให้การผลิตได้มีการชะลอตัวลงไป ในขณะที่ดุลการค้ายังมีค่าเป็นบวก เพราะการนำเข้ายังปรับตัวลดลง ในขณะเดียวกันภาวะการเงินยังทรงตัวไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงมากนัก โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
1. ดัชนีราคาผู้บริโภค
จากตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน จะเห็นว่าดัชนีราคาผู้บริโภคในเดือนกันยายนมีค่า 112.9 มีค่าลดลงเมื่อเทียบกับเดือนสิงหาคมที่มีค่า 113.2 เพราะสินค้าในหมวดพลังงานเริ่มมีการปรับราคาลดลงตามนโยบายของรัฐบาล อีกทั้งสินค้าในหมวดอาหารก็มีราคาทรงตัวไม่ได้ปรับเพิ่มสูงขึ้นไป ในขณะที่มาตรการภาครัฐยังมีส่วนช่วยทำให้ดัชนีราคาผู้บริโภคไม่ให้ปรับตัวสูงขึ้น แต่ก็ต้องติดตามในเรื่องของราคาน้ำมัน เพราะยังมีความไม่แน่นอนอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งราคาสินค้าในหมวดอาหารที่น่าจะมีการปรับตัวสูงขึ้นไปได้อีก ตามภาวะของน้ำท่วมที่เริ่มจะส่งผลเสียหายได้มากขึ้นในเดือนถัดไป ซึ่งอาจจะส่งผลต่อดัชนีราคาผู้บริโภคได้อย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้นดัชนีราคาผู้บริโภคในเดือนกันยายนจึงมีค่าลดลงมาเมื่อเทียบกับเดือนสิงหาคมตามตารางที่ปรากฏ
2. ภาวะการผลิต
จากดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมและอัตราการใช้กำลังการผลิตในตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน จะเห็นได้ว่าดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมในเดือนกันยายนมีค่า 188.57 ลดลงจากเดือนสิงหาคมที่มีค่า 194.55 และอัตราการใช้กำลังการผลิตในเดือนกันยายนมีค่าร้อยละ 62.54 ลดลงจากเดือนสิงหาคมที่มีค่าร้อยละ 64.36 โดยสาเหตุที่ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมและอัตราการใช้กำลังการผลิตมีค่าลดลง เนื่องจากผู้ประกอบการได้มีการชะลอการผลิตสินค้าเพราะต้องเตรียมการรับมือกับภาวะน้ำท่วมที่เริ่มไหลเข้ามามากขึ้นในนิคมอุตสาหกรรม อีกทั้งภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังมีการชะลอตัวอยู่ จึงทำให้การผลิตมีการปรับตัวลดน้อยลงไป อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการจำเป็นต้องติดตามในเรื่องของราคาน้ำมันอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันความผันผวนที่จะเกิดขึ้น และควรจะต้องเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ เพื่อรองรับความเสี่ยง และเตรียมแผนรองรับสถานการณ์ในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของต้นทุนราคาน้ำมันและความผันผวนของค่าเงินบาทด้วย ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าวส่งผลทำให้ภาวะการผลิตในเดือนนี้มีการปรับตัวลดลงมาเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนที่แล้ว
3. ภาวะการค้า
ดุลการค้าในเดือนกันยายนมีค่า 2,419.05 จะเห็นว่าเพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคมที่มีค่า 704.76 และ ดุลบัญชีเดินสะพัดในเดือนกันยายนมีค่า 404.16 เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคมที่มีค่า -696.74 จะเห็นได้ว่าดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดมีค่าเพิ่มขึ้น และดุลการค้ายังมีค่าเป็นบวกอยู่ เนื่องจากการนำเข้ายังปรับตัวลดลง ในขณะที่ดุลบัญชีเดินสะพัดกลับมามีค่าเป็นบวก เนื่องจากเริ่มมีเงินไหลเข้ามาในประเทศเพิ่มสูงขึ้นจากการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดมีการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตามยังมีความจำเป็นต้องเฝ้าติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจต่างๆ อย่างใกล้ชิด ทั้งในเรื่องของค่าเงินบาทรวมไปถึงยังมีปัจจัยลบอื่นๆ ที่เป็นปัญหาสำคัญที่อาจทำให้เศรษฐกิจของประเทศเกิดการชะลอตัว และจากปัจจัยต่างๆ ดังที่ได้กล่าวไปแล้วทำให้ภาวะการค้าในเดือนนี้มีค่าเพิ่มขึ้นมาเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า
4. ภาวะการเงิน
ตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงินแสดงได้ว่า เงินฝากเดือนสิงหาคมมีค่า 7,750.93 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนกรกฎาคมที่มีค่า 7,684.62 พันล้านบาท และเงินให้สินเชื่อในเดือนสิงหาคมมีค่าเป็น 9,875.34 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนกรกฎาคมที่มีค่า 9,780.76 พันล้านบาท ซึ่งจะเห็นว่าปริมาณเงินฝากและเงินให้สินเชื่อมีเพิ่มขึ้น สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะการลงทุนในด้านอื่นๆ ยังคงมีความผันผวนอยู่ อีกทั้งอัตราดอกเบี้ยเงินฝากก็มีผลตอบแทนที่ดี ส่งผลให้ประชาชนยังนำเงินมาฝากอย่างต่อเนื่อง สำหรับการปล่อยสินเชื่อมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมา เนื่องจากก่อนหน้านั้นธนาคารได้มีการชะลอการปล่อยสินเชื่อออกไปบ้าง จึงทำให้ธนาคารยังเร่งการปล่อยสินเชื่ออยู่ต่อไป อย่างไรก็ตามผลของภาวะเศรษฐกิจที่ยังฟื้นตัวได้อย่างไม่เต็มที่หลังจากที่มีผลกระทบจากหลายๆ ปัจจัย จึงทำให้ภาวะการฝากเงินและการให้สินเชื่อยังทรงตัวอยู่ต่อไป
ตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน
|
รายละเอียด
|
มิถุนายน 54
|
กรกฎาคม 54
|
สิงหาคม 54
|
กันยายน 54
|
| ดัชนีราคาผู้บริโภค |
112.5 |
112.7 |
113.2 |
112.9 |
| ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม |
197.23 |
187.67 |
194.55 |
188.57 |
| อัตราการใช้กำลังการผลิต |
62.67 |
61.97 |
64.36 |
62.54 |
| ดุลการค้า |
3,798.09 |
4,552.36 |
704.77 |
2,419.05 |
| ดุลบัญชีเดินสะพัด |
2,401.93 |
3,438.31 |
-696.74 |
404.16 |
| เงินฝาก |
7,615.74 |
7,684.62 |
7,750.93 |
n.a. |
| เงินให้สินเชื่อ |
9,651.79 |
9,780.76 |
9,875.34 |
n.a. |
ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย
หมายเหตุ: ดัชนีราคาผู้บริโภค มีปีฐานคือ 2545 เงินฝาก/เงินให้สินเชื่อ มีหน่วยเป็น พันล้านบาท
อัตราการใช้กำลังการผลิต มีหน่วยเป็น ร้อยละ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม มีปีฐานคือ 2543
ดุลการค้า ดุลบัญชีเดินสะพัด มีหน่วยเป็น ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา
วิเคราะห์วิกฤตน้ำท่วมกับผลกระทบเศรษฐกิจในไตรมาส 4*
สถานการณ์อุทกภัยในปี 2554 นับเป็นเหตุการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติร้ายแรงที่สุดครั้งหนึ่งของไทย อันเป็นผลมาจากอิทธิพลของปรากฏการณ์ลานีญา ทำให้ประเทศไทยในปีนี้มีปริมาณน้ำฝนมากและฝนมาเร็วกว่าปกติ โดยพายุหลายระลอกที่พัดเข้ามายังภูมิภาคนับตั้งแต่พายุโซนร้อนไหหม่า (ปลายเดือนมิถุนายน) พายุนกเตน (ปลายเดือนกรกฎาคม) และพายุนาลแก (ต้นเดือนตุลาคม) ได้ก่อให้เกิดฝนตกหนักในพื้นที่ภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ส่งผลให้เกิดอุทกภัยในพื้นที่เกือบทั่วประเทศ โดยเฉพาะภาคเหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง ที่สำคัญ ยังต้องจับตาเฝ้าระวังพายุที่อาจจะก่อกำเนิดขึ้นได้อีกเนื่องจากฤดูกาลที่ฝนตกชุกยังไม่สิ้นสุด
ปริมาณน้ำที่มีมากนี้ไม่เพียงแต่สร้างความเสียหายแก่ผลผลิตทางการเกษตรครอบคลุมพื้นที่ในวงกว้าง แต่อุทกภัยครั้งนี้อาจถือเป็นครั้งแรกที่น้ำไหลบ่าเข้าท่วมพื้นที่อุตสาหกรรมหลักในหลายจังหวัดตอนเหนือของกรุงเทพฯ ทำให้ความเสียหายจากอุทกภัยในปีนี้อาจมีมูลค่าสูงกว่าที่เคยประเมินไว้หลายเท่าตัว รวมทั้งยังอาจมีผลกระทบอื่นๆ ที่จะตามมาอีกหลายด้าน
จากการวิเคราะห์ความเสียหายที่เกิดจากอุทกภัยนับตั้งแต่ปลายเดือนกรกฎาคม 2554 จนถึงปัจจุบัน และการประเมินสถานการณ์มวลน้ำขนาดใหญ่ที่กำลังมุ่งลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยาเพิ่มเติม ทำให้คาดการณ์ผลกระทบและผลที่จะมีต่อเนื่องจากปัญหาดังกล่าวต่อภาวะการผลิตในภาคอุตสาหกรรม การส่งออก การจ้างงาน ตลอดจนการใช้จ่ายภายในประเทศ โดยอาจสรุปมูลค่าความสูญเสียและผลรวมต่ออัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2554 ได้ดังนี้
ภาคเกษตรกรรม จากข้อมูลของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พบว่าสถานการณ์อุทกภัยนับตั้งแต่ปลายเดือนกรกฎาคมเป็นต้นมา ได้ส่งผลกระทบต่อภาคเกษตรกรรมรวมทั้งสิ้น 66 จังหวัด มีพื้นที่การเกษตรที่คาดว่าจะได้รับความเสียหายประมาณ 8.6 ล้านไร่ (ข้อมูล ณ วันที่ 10 ตุลาคม 2554) โดยผลผลิตที่คาดว่าจะเสียหายส่วนใหญ่เป็นข้าวประมาณ 7.3 ไร่ ทั้งนี้ประเมินว่าในกรณีรุนแรงหากเกิดความเสียหายเพิ่มเติมจากมวลน้ำที่จะเข้ามาอีกในระยะข้างหน้า ความเสียหายจากอุทกภัยในรอบนี้อาจครอบคลุมพื้นที่การเกษตรโดยรวมถึง 12 ล้านไร่
ภาคอุตสาหกรรม ผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมในครั้งนี้นับว่ามีความรุนแรง เนื่องจากขณะนี้น้ำได้ท่วมเข้าถึงนิคมอุตสาหกรรมและเขตอุตสาหกรรมหลายแห่งในจังหวัดตอนเหนือของกรุงเทพฯ โดยเฉพาะลพบุรีและอยุธยา ซึ่งเป็นศูนย์กลางการผลิตของอุตสาหกรรมยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ที่สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศ นอกจากนี้ยังมีโรงงานผลิตสินค้าสำคัญอื่นๆ อีกด้วย เช่น สิ่งทอ รองเท้า ผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์ยาง และพลาสติก เป็นต้น โดยหลายโรงงานผลิตสินค้าชิ้นส่วนและวัตถุดิบต้นน้ำ ซึ่งหากไม่สามารถควบคุมขอบเขตผลกระทบและสถานการณ์ยืดเยื้อนานหลายสัปดาห์ อาจจะกระทบต่อห่วงโซ่การผลิตของอุตสาหกรรมในจังหวัดอื่นๆ ทำให้เกิดการขาดแคลนชิ้นส่วนและวัตถุดิบในการผลิต และจะส่งผลต่อภาคการผลิตของประเทศในระดับที่รุนแรงยิ่งขึ้น
ทั้งนี้เฉพาะอยุธยาเพียงจังหวัดเดียวก็นับเป็นจังหวัดศูนย์กลางอุตสาหกรรมใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศ (รองจากกรุงเทพฯ และสมุทรปราการ) มีสัดส่วนกว่าร้อยละ 11 ของมูลค่าการผลิตในภาคอุตสาหกรรมโดยรวม ขณะที่เป็นแหล่งรวมของคลัสเตอร์อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 30-40 ของประเทศ รวมทั้งมีความเชื่อมโยงด้านซัพพลายเชนกับคลัสเตอร์อิเล็กทรอนิกส์ในพื้นที่จังหวัดอื่น เช่น ปทุมธานี นครราชสีมา และปราจีนบุรี ขณะที่อุตสาหกรรมยานยนต์ในโซนตอนเหนือของกรุงเทพฯ ก็นับเป็นกลุ่มคลัสเตอร์อุตสาหกรรมยานยนต์ที่สำคัญด้วยสัดส่วนการผลิตประมาณร้อยละ 10 ของประเทศ
ภาคบริการ ผลกระทบต่อการท่องเที่ยวคาดว่าจะไม่รุนแรง หากสถานการณ์ภัยพิบัติไม่ส่งผลต่อภาคใต้และภาคตะวันออก เนื่องจากแหล่งท่องเที่ยวในจังหวัดภาคเหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือและภาคกลาง ส่วนใหญ่มีตลาดนักท่องเที่ยวหลักเป็นนักท่องเที่ยวชาวไทย โดยภาวะน้ำท่วมในหลายพื้นที่และเส้นทางคมนาคมที่สัญจรไม่สะดวก ตลอดจนความกังวลของคนกรุงเทพฯ ต่อที่อยู่อาศัยและทรัพย์สินในช่วงจุดเสี่ยงที่อาจเกิดน้ำท่วม คงทำให้คนไทยหลีกเลี่ยงการเดินทางในระยะนี้ ซึ่งอาจส่งผลให้ธุรกิจบริการท่องเที่ยวเสียโอกาสในการสร้างรายได้จากการเดินทางท่องเที่ยวของคนไทยในช่วงปิดเทอม
ส่วนภาคบริการอื่นๆ ที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบ ได้แก่ ธุรกิจค้าปลีก ซึ่งอาจมียอดขายชะลอตัวในช่วงน้ำท่วม โดยเฉพาะการใช้จ่ายซื้อสินค้าฟุ่มเฟือยอาจลดลง จากการที่ผู้บริโภคมีความกังวลต่อแนวโน้มการจ้างงานและรายได้ในอนาคต แต่ขณะเดียวกัน ภายหลังน้ำลดน่าจะมีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นสำหรับการซ่อมแซมหรือซื้อสินค้าเพื่อทดแทนของที่เสียหาย ด้านธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ อาจได้รับผลกระทบจากการขนส่งกระจายสินค้าที่เข้าถึงพื้นที่ได้ยากลำบาก รวมทั้งอุปสงค์ในการใช้บริการที่อาจลดลงจากการผลิตและการส่งออกที่หยุดชะงัก ขณะที่ธุรกิจก่อสร้าง อาจได้รับผลกระทบในช่วงน้ำท่วม แต่หลังจากน้ำลดแล้วน่าจะมีปริมาณงานเพิ่มมากขึ้น จากการฟื้นฟูบูรณะความเสียหายต่างๆ
ผลกระทบจำแนกตามสาขาเศรษฐกิจ มีรายละเอียดดังนี้
มูลค่าความสูญเสียต่อผลผลิตในภาคเศรษฐกิจต่างๆ (ล้านบาท) 75,000-113,000
- ภาคการเกษตร 20,000-30,000
- ภาคอุตสาหกรรม 38,000-59,000
- โรงแรมและภัตตาคาร 6,500-9,500
- ภาคบริการอื่นๆ เช่น ค้าปลีก โลจิสติกส์ และก่อสร้าง 10,500-14,500
ผลกระทบต่ออัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ
- ผลต่อจีดีพีไตรมาส3/2554 -0.6% ทำให้อัตราการขยายตัวของจีดีพีไตรมาส 3/2554 อยู่ที่ 4.6%
- ผลต่อจีดีพีไตรมาส 4/2554 -2.0 ถึง -3.2% ทำให้อัตราการขยายตัวของจีดีพีไตรมาส 4/2554 อยู่ที่ 2.0-3.8%
- ผลต่อจีดีพีทั้งปี 2554 -0.69 ถึง -1.04% ทำให้อัตราการขยายตัวของจีดีพีปี 2554 กรอบคาดการณ์ : 2.9-3.6% กรณีพื้นฐาน : 3.3%
ที่มา : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย โดยมูลค่าความสูญเสียคิดตามฐานผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือ จีดีพี โดยเป็นมูลค่าสุทธิที่คิดจากกิจกรรมเศรษฐกิจที่สูญหายไปในแต่ละช่วงเวลา โดยคำนึงถึงกิจกรรมเศรษฐกิจที่จะกลับเข้ามาหลังจากปัญหาคลี่คลายลงด้วย
หมายเหตุ
1. สมมติฐาน : กรณีดี -- สถานการณ์วิกฤตน้ำคลี่คลายได้ภายในเดือนตุลาคม และผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมและสาขาเศรษฐกิจอื่นๆ อยู่ในวงจำกัด กรณีเลวร้าย -- สถานการณ์วิกฤตน้ำในพื้นที่ประสบภัยยังเป็นปัญหาต่อเนื่องไปถึงเดือนพฤศจิกายน และซัพพลายเชนในอุตสาหกรรมหลักได้รับผลกระทบต่อเนื่อง ทำให้ต้องหยุดการผลิตและกระทบต่อการจ้างงาน แต่ทั้งนี้ ยังไม่รวมผลในกรณีหากเกิดภัยพิบัติเพิ่มเติมในพื้นที่อื่น เช่น ภาคใต้
2. ผลกระทบต่อจีดีพีไตรมาสที่ 3/2554 ถูกรวมไว้ในกรอบประมาณการเดิมอยู่แล้ว
ผลต่อตัวเลขเศรษฐกิจมหภาคของไทยจากสถานการณ์อุทกภัยดังกล่าว คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการส่งออก การบริโภค และการลงทุนในไตรมาสที่ 4/2554 ดังนี้
การส่งออก การหยุดการผลิตในภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์ อาจส่งผลกระทบต่อการผลิตและการส่งออกในไตรมาส4/2554 ซึ่งมีแนวโน้มชะลอตัวอยู่แล้วจากภาวะเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ตามหากบริษัทผู้ผลิตสินค้าต้นน้ำที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ประสบภัยต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูความเสียหายนานหลายสัปดาห์ บริษัทผู้ผลิตสินค้าขั้นสุดท้ายหรือสินค้าปลายน้ำที่ไม่ได้รับความเสียหายโดยตรง อาจมีการปรับแผนหันไปจัดหาชิ้นส่วนและวัตถุดิบจากแหล่งอื่นเข้ามาทดแทนส่วนที่หายไปจากโรงงานในพื้นที่ที่ประสบปัญหา เพื่อให้สามารถผลิตสินค้าส่งมอบตามคำสั่งซื้อได้ทันเวลา ซึ่งการปรับกลยุทธ์ตามแนวทางดังกล่าวอาจทำให้การส่งออกชะลอลงจากคาดการณ์เดิมไม่มากนัก โดยคาดว่าการส่งออกในปี 2554 อาจขยายตัวร้อยละ 19.5 ต่ำลงจากคาดการณ์เดิมที่ร้อยละ 20 แต่ทั้งนี้การที่ผู้ผลิตอาจปรับตัวหันไปนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและชิ้นส่วนจากต่างประเทศทดแทน จะทำให้ยอดเกินดุลการค้าปรับตัวลดลง
การบริโภค ปัญหาน้ำท่วมอาจกระทบต่ออารมณ์ในการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค ตลอดจนความถี่ในการซื้อสินค้าเนื่องจากการเดินทางไม่สะดวก นอกจากนี้การที่โรงงานอุตสาหกรรมจำนวนมากต้องหยุดการผลิตยังจะกระทบต่อรายได้และกำลังซื้อของแรงงานในอุตสาหกรรมดังกล่าว ซึ่งเฉพาะนิคมอุตสาหกรรมในจังหวัดอยุธยาที่ต้องหยุดการผลิตลง มีแรงงานได้รับผลกระทบประมาณ 200,000 คน อย่างไรก็ตามในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะอาหารแห้ง อาหารกระป๋อง อาหารสำเร็จรูป และน้ำดื่ม น่าจะได้รับอานิสงส์จากความต้องการซื้อของผู้บริโภคในปริมาณที่มากขึ้น เพื่อเตรียมรับสถานการณ์ช่วงน้ำท่วม รวมทั้งการซื้อเพื่อบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัย ขณะที่สินค้าที่เกี่ยวกับการซ่อมแซมที่อยู่อาศัยและของใช้ในบ้านอาจมีความต้องการเพิ่มขึ้นภายหลังน้ำลด โดยรวมแล้วคาดว่าการบริโภคของภาคเอกชนในปี 2554 อาจขยายตัวต่ำลงมาอยู่ที่ประมาณร้อยละ 3.4 จากคาดการณ์เดิมที่ร้อยละ 3.6
การลงทุน ภาวะน้ำท่วมหนักคงส่งผลให้กิจกรรมการลงทุนชะลอตัว ที่สำคัญปัญหาอุทกภัยในครั้งนี้ได้สร้างความเสียหายต่อพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมอันเป็นที่ตั้งของนักลงทุนต่างชาติจำนวนมาก ซึ่งน่าจะมีผลต่อการตัดสินใจของนักลงทุนต่างชาติในการเลือกที่ตั้งของการลงทุนและนิคมอุตสาหกรรม โดยให้ความสำคัญกับระบบการป้องกันภัยพิบัติมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามภายหลังสถานการณ์น้ำคลี่คลายน่าจะมีการบูรณะฟื้นฟูความเสียหายของสิ่งปลูกสร้าง โครงสร้างพื้นฐาน และสาธารณสมบัติต่างๆ นอกจากนี้บทเรียนอันเลวร้ายจากภัยพิบัติจะทำให้ทั้งธุรกิจ ประชาชน และภาครัฐจำเป็นต้องเพิ่มแนวป้องกันน้ำท่วมที่แข็งแรงและมีระดับความสูงเพิ่มขึ้นกว่าปัจจุบัน ซึ่งน่าจะเป็นผลดีต่อธุรกิจก่อสร้างในช่วงปลายไตรมาสต่อเนื่องจนถึงปีหน้า สำหรับในปี 2554 คาดว่าการลงทุนโดยรวมอาจขยายตัวร้อยละ 5.9 จากเดิมคาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ 6.3
โดยภาพรวมคาดว่าอุทกภัยร้ายแรงในครั้งนี้จะส่งผลกระทบให้อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2554 ต่ำลงจากคาดการณ์เดิมอย่างมีนัยสำคัญ จากความเสียหายที่ลุกลามไปถึงภาคอุตสาหกรรมอย่างหนัก โดยในกรณีพื้นฐาน เศรษฐกิจไทยอาจขยายตัวเพียงร้อยละ 3.3 หรืออยู่ในกรอบร้อยละ 2.9-3.6 ต่ำลงจากเดิมที่คาดว่าจีดีพีในกรณีพื้นฐานอาจขยายตัวร้อยละ 3.8 และมีกรอบคาดการณ์ที่ร้อยละ 3.5-4.2
โดยสรุปสืบเนื่องจากเหตุการณ์อุทกภัยนับตั้งแต่ปลายเดือนกรกฎาคม 2554 ที่สร้างความเสียหายอย่างหนักต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน และความเสียหายยังมีโอกาสทวีความรุนแรงขึ้นจากมวลน้ำที่กำลังไหลผ่านแม่น้ำเจ้าพระยามุ่งสู่ภาคกลางตอนล่าง รวมถึงพื้นที่กรุงเทพฯ อีกทั้งยังมีการก่อตัวของพายุที่อาจจะพัดเข้าประเทศไทยได้อีก โดยประเมินว่าความสูญเสียต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือ จีดีพี อาจมีมูลค่าสุทธิ 75,000-113,000 ล้านบาท จำแนกเป็นความเสียหายในภาคการเกษตร 20,000-30,000 ล้านบาท ภาคอุตสาหกรรม 38,000-59,000 ล้านบาท และภาคบริการและอื่นๆ รวม 17,000-24,000 ล้านบาท โดยจังหวัดที่เสียหายหนักที่สุดคาดว่าจะเป็นอยุธยาที่มูลค่าเศรษฐกิจของจังหวัดโดยสุทธิแล้วอาจสูญหายไปถึง 20,000-30,000 ล้านบาท
ทั้งนี้คาดว่าอุทกภัยร้ายแรงในครั้งนี้จะส่งผลกระทบให้อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2554 ลดลงจากคาดการณ์เดิมถึงร้อยละ 0.69-1.04 ลงมาอยู่ในกรอบร้อยละ 2.9-3.6 โดยกรณีพื้นฐานคาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 3.3 (จากเดิมมีกรอบคาดการณ์ที่ร้อยละ 3.5-4.2 และกรณีพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ 3.8) ความเสียหายส่วนใหญ่เกิดขึ้นในช่วงไตรมาสสุดท้าย โดยคาดว่าจะส่งผลให้จีดีพีในไตรมาสที่ 4/2554 มีอัตราการขยายตัวต่ำลงเหลือเพียงร้อยละ 2.0-3.8 หายไปถึงร้อยละ 2.0-3.2 (จากเดิมที่เคยคาดว่าอาจขยายตัวร้อยละ 4.0-5.8) นอกเหนือจากผลกระทบต่อตัวเลขเศรษฐกิจมหภาคแล้ว ยังมีประเด็นอื่นๆ ที่จะตามมาจากเหตุการณ์ภัยพิบัติดังกล่าว อาทิ
ทิศทางราคาสินค้า ความเสียหายต่อผลผลิตทางการเกษตรจะส่งผลให้ราคาสินค้าอาหารถีบตัวสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อในช่วงเดือนที่เหลือของปีสูงกว่าที่เคยคาดไว้ แม้ว่าอาจไม่มีผลทำให้ตัวเลขเงินเฟ้อเฉลี่ยทั้งปีแตกต่างไปจากกรอบคาดการณ์เดิมนัก เนื่องจากเหลือเพียง 3 เดือนสุดท้าย แต่ก็จะยิ่งเป็นปัจจัยกดดันเพิ่มขึ้นต่อแนวโน้มเงินเฟ้อในต้นปีหน้า ซึ่งเป็นช่วงที่อาจจะมีการปรับขึ้นค่าจ้างแรงงาน การยกเลิกมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพ และการปรับมาตรการราคาพลังงาน ทั้งนี้คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2554 นี้จะอยู่ในช่วงร้อยละ 3.8-4.0 ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ 2.3-2.6
ความท้าทายต่อภาคอุตสาหกรรม อุทกภัยที่เข้าสู่นิคมอุตสาหกรรมและพื้นที่อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ของประเทศเป็นแรงซ้ำเติม โดยเฉพาะต่ออุตสาหกรรมยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเพิ่งฟื้นตัวจากผลกระทบของภัยพิบัติในญี่ปุ่น และยังมีหลากหลายปัญหาที่รออยู่ข้างหน้า ไม่ว่าวิกฤตหนี้สาธารณะในยุโรป ความอ่อนแอของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ตลอดจนการรับมือผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำในช่วงปีหน้า จึงนับได้ว่าผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมจำนวนมากกำลังตกอยู่ในสภาวะยากลำบากในการประคองตัวกลับมาพลิกฟื้นความเสียหายของโรงงาน สถานประกอบการ และเครื่องจักร ขณะที่การหยุดการผลิตก็จะส่งผลต่อรายได้ของธุรกิจ ซึ่งปัญหาดังกล่าวน่าจะมีผลต่อเนื่องไปถึงการส่งออกโดยรวมของไทย
การลงทุนจากต่างประเทศ บทเรียนที่เกิดขึ้นนี้อาจมีนัยต่อแนวโน้มการลงทุนจากต่างประเทศในอนาคต ซึ่งหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องควรเร่งเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนถึงเสถียรภาพความปลอดภัยของธุรกิจที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทย โดยควรมีแนวทางชัดเจนในการป้องกันปัญหาในอนาคตอย่างยั่งยืน
นโยบายรัฐบาล ผลที่ตามมาจากอุทกภัยครั้งนี้อาจทำให้รัฐบาลต้องมีการปรับแนวนโยบาย ซึ่งการดำเนินการในบางด้านอาจไม่เป็นไปตามแผนการที่วางไว้ เช่น การจำนำข้าวที่ผลผลิตข้าวนาปีจำนวนมากต้องเสียหากจากภาวะน้ำท่วม ทำให้มีข้าวเข้าสู่โครงการจำนำน้อยกว่าที่คาด และอาจต้องมีการขยายเวลาจำนำออกไปจากที่จะสิ้นสุดในเดือนกุมภาพันธ์ 2555 นอกจากนี้ยังมีประเด็นเรื่องการปรับขึ้นค่าจ้างที่มีกำหนดจะเริ่มต้นในเดือนมกราคม 2555 ว่ารัฐบาลจะมีแนวทางดำเนินการอย่างไรเมื่อคำนึงถึงผลกระทบจากอุทกภัยต่อธุรกิจและอุตสาหกรรมจำนวนมาก ขณะเดียวกันนอกเหนือจากการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าแล้ว การวางยุทธศาสตร์ในการป้องกันแก้ไขปัญหาน้ำท่วมอย่างถาวรก็เป็นเรื่องเร่งด่วนเพื่อให้ภาคส่วนต่างๆ สามารถรับมือกับสถานการณ์น้ำในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผลยิ่งขึ้น
วิเคราะห์เศรษฐกิจไทยกับการรวมกลุ่มอาเซียน
ในระยะเวลาอีก 4 ปีจากนี้ไป ประเทศไทยจะเข้าเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือที่เรียกชื่อเป็นทางการว่า ASEAN Economic Community (AEC) ซึ่งถือได้ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมไทยเป็นอย่าง อันจะเป็นการรวมประเทศ 10 ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast Asia) เป็นเขตเศรษฐกิจเดียวกัน ช่วงที่ผ่านมคนส่วนใหญ่ในประเทศยังไม่ค่อยได้รับรู้และเข้าใจถึงบทบาทของไทยในการร่วมจัดตั้ง AEC เท่าที่ควร ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลจำเป็นต้องเร่งสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับประชาชนและภาคธุรกิจไทยต่อไป เพราะปรากฏการณ์ AEC จะส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตคนไทยอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ ในวันนี้จึงจำเป็นต้องมารับรู้ถึงที่มาของความร่วมมืออาเซียน และแนวทางการรวมตัวทางเศรษฐกิจภายใต้กรอบ AEC รวมทั้งผลกระทบที่เกิดขึ้นกับภาคธุรกิจของไทย
ในการดำเนินงานไปสู่การเป็น AEC จำเป็นต้องมีการวางรากฐานเพื่อนำไปสู่การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจที่ลึกซึ้งและกว้างขวางมากขึ้น อาเซียนจึงได้จัดทำพิมพ์เขียวภายใต้ AEC Blueprint ซึ่งประกอบด้วย 3 ด้านหลัก คือ 1. ความมั่นคง 2. เศรษฐกิจ และ 3. สังคมและวัฒนธรรม โดยหลังจากนั้นอาเซียนได้มีการจัดทำกฎบัตรอาเซียน (ASEAN Charter) ซึ่งเป็นเสมือนธรรมนูญของอาเซียนที่จะเปลี่ยนสถานะของอาเซียนจากการรวมตัวในรูปแบบสมาคม เป็นองค์กรระหว่างประเทศ (International Organization) ที่มีฐานะทางกฎหมาย ซึ่งจะเป็นพื้นฐานสำคัญในการรองรับการดำเนินงานไปสู่ AEC ในปี พ.ศ. 2558 โดยกฎบัตรนี้ได้มีผลบังคับใช้แล้ว ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2551 ทั้งนี้องค์ประกอบสำคัญภายใต้ AEC Blueprint ประกอบด้วย 4 ส่วนหลัก ซึ่งอ้างอิงมาจากเป้าหมายการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจของอาเซียนตามแถลงการณ์บาหลี ฉบับที่ 2 (Bali Concord II) ได้แก่
1. การเป็นตลาดและฐานการผลิตเดียว โดยให้มีการเคลื่อนย้ายสินค้า บริการ การลงทุน และแรงงานมีฝีมืออย่างเสรี และการเคลื่อนย้ายเงินทุนอย่างเสรีมากขึ้น รวมทั้งการส่งเสริมการรวมกลุ่มสาขาสำคัญของอาเซียนให้เป็นรูปธรรม
2. การสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจของอาเซียน ซึ่งให้ความสำคัญกับประเด็นด้านนโยบายที่จะช่วยส่งเสริมการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ เช่น กรอบนโยบายการแข่งขันของอาเซียน การคุ้มครองผู้บริโภค สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ นโยบายภาษี และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (การเงิน การขนส่ง เทคโนโลยีสารสนเทศ และพลังงาน)
3. การพัฒนาเศรษฐกิจอย่างเสมอภาค โดยการพัฒนา SMEs และการเสริมสร้างขีดความสามารถผ่านโครงการต่างๆ เช่น โครงการริเริ่มเพื่อการรวมกลุ่มของอาเซียน (Initiative for ASEAN Integration : IAI) เพื่อลดช่องว่างการพัฒนาทางเศรษฐกิจ
4. การบูรณาการเข้ากับเศรษฐกิจโลก เน้นการปรับประสานนโยบายเศรษฐกิจของอาเซียนกับประเทศภายนอกภูมิภาค เพื่อให้อาเซียนมีท่าทีร่วมกันอย่างชัดเจน เช่น การจัดทำเขตการค้าเสรีของอาเซียนกับประเทศคู่เจรจาต่างๆ เป็นต้น รวมทั้งส่งเสริมการสร้างเครือข่ายในด้านการผลิต/จำหน่ายภายในภูมิภาคให้เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลก
โดยประเทศไทยจะต้องมีการเสรีตลาดสินค้าและบริการ รวมทั้งการลงทุนให้กับประเทศสมาชิกอาเซียน โดยในการเปิดเสรีการค้าสินค้าประเทศไทยได้มีการปรับลดภาษีเหลือศูนย์สำหรับรายการสินค้าลดภาษีทั่วไป (Inclusion List) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2553 เป็นต้นมา ในการเปิดเสรีการค้าบริการจะมีสาขาบริการสำคัญ (Priority Integration Sectors : PIS) ได้แก่ สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศ สาขาสุขภาพ สาขาการท่องเที่ยว และสาขาโลจิสติกส์ โดยจะเป็นการอนุญาตการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในสาขาบริการสำคัญของไทยได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2553 ยกเว้นสาขาโลจิสติกส์ที่เลื่อนเป็นปี พ.ศ. 2556 สำหรับสาขาบริการอื่น (Non-Priority Services Sector) ครอบคลุมบริการทุกสาขานอกเหนือจากสาขาบริการสำคัญ (priority services sectors) ได้กำหนดเป้าหมายการเปิดเสรีภายในปี พ.ศ. 2558 (ค.ศ. 2015) โดยจะอนุญาตให้นักลงทุนอาเซียนสามารถเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในสาขาบริการอื่นๆ ของไทยได้ร้อยละ 70 สำหรับสาขาการบริการด้านการเงิน ประเทศไทยจะต้องทยอยเปิดเสรีตามลำดับอย่างเป็นขั้นตอน เพื่อรักษาไว้ซึ่งความมั่นคงทางการเงิน เศรษฐกิจและสังคมแต่ยังมิได้มีการกำหนดระยะเวลาที่ชัดเจนนัก ในการเปิดเสรีการลงทุน โดยจะได้มีการเปิดเสรีการลงทุนในสาขาอุตสาหกรรมที่ตกลงกันและการให้การปฏิบัติเยี่ยงคนชาติ ซึ่งไทยได้เริ่มดำเนินการแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ. 2553 ยกเว้นสาขาอุตสาหกรรมในบัญชียกเว้นภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว สำหรับการเปิดเสรีด้านเงินทุนเคลื่อนย้าย ประเทศไทยจะเปิดให้มีการเคลื่อนย้ายเงินทุนที่เสรียิ่งขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยให้มีมาตรการปกป้องที่เพียงพอเพื่อรองรับผลกระทบจากปัญหาความผันผวนของเศรษฐกิจ มหภาค และความเสี่ยงเชิงระบบ รวมถึงการมีสิทธิที่จะใช้มาตรการที่จำเป็นเพื่อรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ มหภาค สำหรับการเคลื่อนย้ายแรงงานฝีมืออย่างเสรีจะให้บริหารจัดการการเคลื่อนย้ายหรืออำนวยความสะดวกในการเดินทางสำหรับบุคคลธรรมดาที่เกี่ยวข้องกับการค้าสินค้า บริการ และการลงทุน ให้สอดคล้องกับกฎเกณฑ์ของแต่ละประเทศ โดยอำนวยความสะดวกในการตรวจลงตราและออกใบอนุญาตทำงานสำหรับผู้ประกอบวิชาชีพและแรงงานฝีมืออาเซียนที่เกี่ยวข้องกับการค้าข้ามพรมแดน และกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการลงทุน
ทั้งนี้เชื่อว่าประเทศไทยจะได้รับประโยชน์จากการรวมตัวเป็น AEC โดยการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจของอาเซียนจะช่วยขยายโอกาสทางการค้าและการลงทุน ซึ่งสะท้อนได้จากที่เมื่อเริ่มดำเนินการ AFTA ในปี พ.ศ. 2535 อาเซียนได้เพิ่มความสำคัญในการเป็นตลาดส่งออกของไทย จนปัจจุบันเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทย นำทั้งสหรัฐ และญี่ปุ่น โดยมีมูลค่าการส่งออกในปี พ.ศ. 2553 กว่า 70 พันล้านดอลลาร์ และยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต เมื่ออุปสรรคทางการค้าทั้งภาษีและไม่ใช่ภาษีถูกยกเลิกให้หมดไป จะเปิดโอกาสให้สินค้าเคลื่อนย้ายได้อย่างเสรีในภูมิภาคและเพิ่มปริมาณการค้าให้มากขึ้น อย่างไรก็ดีในด้านการลงทุนประเทศไทยย