หน้าหลัก > บทความเศรษฐกิจ > บทความวิเคราะห์รายงานทางเศรษฐกิจและการเงิน เดือนมิถุนายน 2555

บทความวิเคราะห์รายงานทางเศรษฐกิจและการเงิน เดือนมิถุนายน 2555


สรุปภาวะเศรษฐกิจ

 

           ข้อมูลเดือนเมษายน 2555 จากตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน จะเห็นว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคมีค่าเพิ่มขึ้น ในขณะที่ภาคการผลิตมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการได้ทำการผลิตสินค้าสำหรับส่งออกเพิ่มขึ้น แต่ก็เริ่มมีสัญญาณชะลอตัวจากภาวะเศรษฐกิจโลก ในขณะที่ดุลการค้ายังมีค่าเป็นลบ เพราะการส่งออกยังขยายตัวไม่สูงมากนัก ในขณะเดียวกันภาวะการเงินยังทรงตัวไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงมากนัก โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

1. ดัชนีราคาผู้บริโภค
           จากตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน จะเห็นว่าดัชนีราคาผู้บริโภคในเดือนเมษายนมีค่า114.8 มีค่าเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนมีนาคมที่มีค่า 114.3 เพราะสินค้าในหมวดอาหารยังมีราคาสูงตามสภาพอากาศที่ร้อนจนทำให้สินค้าบางอย่างออกมาสู่ตลาดน้อยลง ในขณะที่ราคาน้ำมันทรงตัวในระดับสูงไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก อย่างไรก็ตามยังมีมาตรการภาครัฐในการช่วยทำให้ดัชนีราคาผู้บริโภคไม่ให้ปรับตัวสูงขึ้นไปมาก ซึ่งต้องติดตามในเรื่องของราคาน้ำมัน ที่ยังมีความไม่แน่นอน และอาจจะส่งผลต่อดัชนีราคาผู้บริโภคได้อย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้นดัชนีราคาผู้บริโภคในเดือนเมษายนจึงมีค่าเพิ่มขึ้นมากเมื่อเทียบกับเดือนมีนาคมตามตารางที่ปรากฏ

2. ภาวะการผลิต
           จากดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมและอัตราการใช้กำลังการผลิตในตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน จะเห็นได้ว่าดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมในเดือนเมษายนมีค่า 180.07 เพิ่มขึ้นจากเดือนมีนาคมที่มีค่า177.43  และอัตราการใช้กำลังการผลิตในเดือนเมษายนมีค่าร้อยละ 67.77 เพิ่มขึ้นจากเดือนมีนาคมที่มีค่าร้อยละ 63.79 โดยสาเหตุที่ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมและอัตราการใช้กำลังการผลิตมีค่าเพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการต่างๆ ได้ผลิตสินค้าออกมาสำหรับการส่งออกมากขึ้น จึงส่งผลทำให้การผลิตสินค้าได้มีการปรับตัวสูงขึ้นไปบ้าง อย่างไรก็ตามแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่เริ่มส่งสัญญาณชะลอตัวลงก็อาจจะมีผลกระทบต่อภาคการผลิตในอนาคตได้ อีกทั้งผู้ประกอบการจำเป็นต้องติดตามในเรื่องของราคาน้ำมันอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันความผันผวนที่จะเกิดขึ้น และควรจะต้องเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ เพื่อรองรับความเสี่ยง และเตรียมแผนรองรับสถานการณ์ในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของต้นทุนราคาน้ำมันและความผันผวนของค่าเงินบาทด้วย ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าวส่งผลทำให้ภาวะการผลิตในเดือนนี้มีการปรับตัวลดลงมาเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนที่แล้ว

3. ภาวะการค้า
           ดุลการค้าในเดือนเมษายนมีค่า -734.43 จะเห็นว่าเพิ่มขึ้นจากเดือนมีนาคมที่มีค่า -1,401.48 และดุลบัญชีเดินสะพัดในเดือนเมษายนมีค่า -1,516.36 เพิ่มขึ้นจากเดือนมีนาคมที่มีค่า -1,521.77 จะเห็นได้ว่าดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดมีค่าเพิ่มขึ้น แต่ดุลการค้ายังมีค่าเป็นลบอยู่ เนื่องจากการส่งออกมีการขยายตัวได้ไม่สูงมากเท่าไรนัก ถึงแม้ว่าผู้ผลิตสินค้าจะมีการผลิตสินค้ามากขึ้น แต่เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มการชะลอตัว จึงทำให้ดุลการค้ายังเป็นลบอยู่ต่อไป ในขณะที่ดุลบัญชีเดินสะพัดก็มีค่าเป็นลบ เนื่องจากผลของดุลการค้าที่ติดลบ แต่ก็ยังมีเงินไหลเข้ามาในประเทศอยู่ จึงยังไม่ต้องเป็นห่วงมากนัก อย่างไรก็ตามยังมีความจำเป็นต้องเฝ้าติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจต่างๆ อย่างใกล้ชิด ทั้งในเรื่องของค่าเงินบาทรวมไปถึงยังมีปัจจัยลบอื่นๆ ที่เป็นปัญหาสำคัญที่อาจทำให้เศรษฐกิจของประเทศเกิดการชะลอตัว และจากปัจจัยต่างๆ ดังที่ได้กล่าวไปแล้วทำให้ภาวะการค้าในเดือนนี้มีค่าเพิ่มขึ้นมาเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า

4. ภาวะการเงิน
           ตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงินแสดงได้ว่า เงินฝากเดือนมีนาคมมีค่า 8,466.91 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ที่มีค่า 8,177.91 พันล้านบาท และเงินให้สินเชื่อในเดือนมีนาคมมีค่าเป็น 10,191.32 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ที่มีค่า 10,173.34 พันล้านบาท ซึ่งจะเห็นว่าปริมาณเงินฝากและเงินให้สินเชื่อมีค่าเพิ่มขึ้น สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังมีความผันผวนอยู่ เนื่องจากเศรษฐกิจโลกมีความกังวลในเรื่องหนี้สาธารณะของยุโรป จึงทำให้ประชาชนยังออมเงินเพิ่มมากขึ้นอยู่ต่อไป สำหรับการปล่อยสินเชื่อยังมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากธนาคารได้เร่งการปล่อยสินเชื่อมากยิ่งขึ้น ส่งผลทำให้การปล่อยสินเชื่อมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามผลของภาวะเศรษฐกิจที่ยังฟื้นตัวได้อย่างไม่เต็มที่หลังจากที่มีผลกระทบจากหลายๆ ปัจจัย จึงทำให้ภาวะการฝากเงินและการให้สินเชื่อยังทรงตัวอยู่ต่อไป

ตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน

รายละเอียด

มกราคม  55

กุมภาพันธ์ 55

มีนาคม 55

เมษายน 55

ดัชนีราคาผู้บริโภค

113.2

113.6

114.3

114.3

ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม

165.31

182.99

177.43

175.17

อัตราการใช้กำลังการผลิต

59.71

65.52

63.79

62.86

ดุลการค้า

522.27

2,052.33

-1,401.48

-1,401.48

ดุลบัญชีเดินสะพัด

98.83

1,091.86

-1,521.77

-1,521.77

เงินฝาก

8,085.48

8,177.91

8,466.91

n.a.

เงินให้สินเชื่อ

9,949.16

10,173.34

10,191.32

n.a.

                    ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย
                    หมายเหตุ: ดัชนีราคาผู้บริโภค มีปีฐานคือ 2545 เงินฝาก/เงินให้สินเชื่อ มีหน่วยเป็นพันล้านบาท
                                 อัตราการใช้กำลังการผลิต มีหน่วยเป็น ร้อยละ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม มีปีฐานคือ 2543
                                 ดุลการค้า ดุลบัญชีเดินสะพัด มีหน่วยเป็น ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา

วิเคราะห์เงินเฟ้อ ดุลบัญชีเดินสะพัด และนโยบายการเงิน*

           1. เงินเฟ้อเกิดจากอะไร ในช่วงนี้เงินเฟ้อเป็นประเด็นที่สาธารณชนให้ความสนใจ ในทางเศรษฐศาสตร์เงินเฟ้อเกิดได้จาก 3 สาเหตุ ดังนี้
               - ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น เช่น ค่าจ้างแรงงาน ค่าพลังงาน ค่าวัตถุดิบ อย่างไรก็ดีถ้าราคาที่สูงขึ้น
                 จากต้นทุนนี้ไม่มีความต้องการมาตอบสนอง ราคาสินค้าหรือเงินเฟ้อจะสูงขึ้นเพียงชั่วคราว
               - ความต้องการซื้อสินค้าและบริการ ถ้ามีความต้องการซื้อมากกว่าสินค้าที่ผลิตได้ ก็จะเป็น
                 แรงผลักดันให้ราคาสินค้าสูงขึ้น
               - การคาดการณ์ ถ้ายิ่งมีการคาดว่าราคาสินค้าจะแพงขึ้นก็ยิ่งทำให้มีความต้องการซื้อเพิ่มขึ้น
                 เกิดพฤติกรรมกักตุนสินค้า จนทำให้ราคาสินค้าแพงขึ้นจริง ผู้ใช้แรงงานก็จะเรียกร้องค่าแรงเพิ่ม
                 วัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตก็มีราคาสูงขึ้น ในที่สุดราคาสินค้าก็เพิ่มขึ้นจนเป็นวงจรไม่รู้จบ ทั้งนี้เงินเฟ้อ
                 อาจเกิดจากสาเหตุใดสาเหตุหนึ่งหรือหลายสาเหตุร่วมกันก็ได้

           2. เงินเฟ้อกับดุลบัญชีเดินสะพัด มีบางแนวคิดกล่าวว่าสำหรับประเทศไทย ซึ่งเป็นเศรษฐกิจแบบเล็กและเปิด จึงไม่มีเงินเฟ้อที่เกิดจากความต้องการสินค้าและบริการที่มากกว่าความสามารถในการผลิต เพราะตราบใดที่สามารถนำเข้าสินค้ามาทดแทน เพื่อสนองความต้องการส่วนเกินได้ จะไม่มีแรงกดดันเงินเฟ้อ แต่ไปปรากฏอยู่ที่การขาดดุลของบัญชีเดินสะพัดแทน และการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดอาจสรุปต่อได้อีกว่าความต้องการในประเทศยังมีน้อยกว่าสินค้าที่ผลิตได้ จึงไม่มีแรงกดดันเงินเฟ้อ

           สำหรับในประเด็นแรก การนำเข้าสินค้าเพื่อมาทดแทนความต้องการส่วนเกิน อาจช่วยบรรเทาแรงกดดันเงินเฟ้อลงได้บ้าง แต่น้อยมากเพราะมีสินค้าและบริการจำนวนมากที่ไม่สามารถนำเข้าได้ (non-tradable) หรือนำเข้าได้ก็มีต้นทุนที่สูงมากจนไม่คุ้มที่จะนำเข้า เช่น อิฐ หิน ดิน ทราย เป็นต้น ซึ่งถ้าไปดูองค์ประกอบของตะกร้าเงินเฟ้อจะพบว่าสัดส่วนสินค้าและบริการที่ไม่สามารถนำเข้าได้ (non-tradable) สูงถึงร้อยละ 65 ส่วนสินค้าและบริการนำเข้าจากต่างประเทศได้ (tradable) มีเพียงร้อยละ 35

           อย่างไรก็ตามถึงแม้เป็นสินค้าที่สามารถนำเข้าได้ แต่ก็ต้องอาศัยบริการต่างๆ ในประเทศ เช่น นำเข้ารถยนต์ก็ต้องมีบริการขนส่ง ประกันภัย ตัวแทนขาย ซึ่งค่าบริการเหล่านี้ย่อมต้องสูงขึ้นตามเงินเฟ้อของประเทศ และยังมีความแตกต่างในเรื่องของความชอบและวัฒนธรรมอีก เช่น คงไม่สามารถนำเข้าแฮมเบอร์เกอร์มากินแทนส้มตำหรือข้าวผัดกะเพราได้อย่างสมบูรณ์ ตัวอย่างเหล่านี้จึงชี้ให้เห็นว่าความคิดที่ว่าสามารถลดแรงกดดันเงินเฟ้อได้โดยการนำเข้าสินค้ามาทดแทนนั้นอาจจะช่วยได้เพียงบางส่วนเท่านั้น

           ส่วนประเด็นที่สอง “การเกินดุลบัญชีเดินสะพัด” หรือในทางบัญชีหมายความว่า “การออมในประเทศสูงกว่าการลงทุน จึงตีความได้ว่าความต้องการในประเทศมีน้อย ไม่มีเงินเฟ้อ” หรืออีกนัยหนึ่งอาจตีความว่า “ผลิตสินค้าแล้วคนในประเทศซื้อน้อย จึงนำสินค้าส่วนที่เหลือไปส่งออก และเลยตีความไปว่าเศรษฐกิจซบเซา
และราคาสินค้าก็คงไม่เพิ่มขึ้น” ในความเป็นจริงสินค้าที่ประเทศไทยส่งออกไม่ใช่ของเหลือจากการกินใช้ในประเทศ แต่เป็นเพราะมีบางอุตสาหกรรมตั้งใจผลิตเพื่อการส่งออกเป็นหลัก เช่น อุตสาหกรรมผลิตหน่วยความจำและแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อนำไปประกอบเป็น Smart phone หรือ Tablet ที่ประเทศจีน และทำให้ประเทศไทยเกินดุลบัญชีเดินสะพัด แต่ในอีกด้านหนึ่งประเทศยังมีความต้องการสินค้าประเภทอื่นๆ ที่ผลิตไม่ทันกับความต้องการ เช่น รถยนต์ อาหาร ยารักษาโรค เครื่องนุ่งห่ม ซึ่งทำให้ราคาสินค้าแพงขึ้น กรณีเช่นนี้  ดุลบัญชีเดินสะพัดจึงเกินดุลได้ทั้งๆ ที่ยังคงมีความต้องการสินค้าจากในประเทศ ซึ่งสร้างแรงกดดันเงินเฟ้ออยู่

           มีตัวอย่างในหลายประเทศที่แสดงว่าดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลไม่ได้หมายความว่าความต้องการในประเทศน้อย จนทำให้ราคาสินค้าในประเทศไม่สูงขึ้นมาก เช่น สิงคโปร์ซึ่งเป็นเศรษฐกิจที่เล็กและเปิดกว่าประเทศไทยมาก เกินดุลบัญชีเดินสะพัดประมาณร้อยละ 20 ของ GDP แต่ก็กำลังต่อสู้กับแรงกดดันเงินเฟ้อที่สูงกว่าร้อยละ 5 ทำให้ธนาคารกลางต้องดำเนินนโยบายการเงินเข้มงวดขึ้น เช่นเดียวกับประเทศจีนที่เกินดุลบัญชีเดินสะพัดสูงมาตลอด แต่ยังต้องดำเนินนโยบายลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจ เพื่อชะลอเงินเฟ้อและภาวะ  ฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ ในทางตรงกันข้ามประเทศสหรัฐอเมริกาที่ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดเป็นจำนวนมาก แต่เศรษฐกิจมีความอ่อนแอ คนตกงานจำนวนมาก ไม่มีความต้องการส่วนเกิน และไม่มีแรงกดดันเงินเฟ้อ จนต้องใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายเป็นพิเศษ เพื่อกระตุ้นความต้องการ หรือประเทศออสเตรเลียซึ่งขาดดุลบัญชีเดินสะพัดมาตลอดในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา ก็มีทั้งเวลาที่เศรษฐกิจร้อนแรงและเวลาที่เศรษฐกิจถดถอย ดังนั้น การพิจารณาดุลบัญชีเดินสะพัดเพียงอย่างเดียวแล้วสรุปว่าตราบใดที่ดุลบัญชีเดินสะพัดเป็นบวกจะไม่มีแรงกดดันเงินเฟ้อต่อเศรษฐกิจ จึงไม่น่าจะเป็นข้อสรุปที่ได้จากการพิจารณาอย่างถ่องแท้

            3. เงินเฟ้อกับนโยบายการเงิน เงินเฟ้อหรือราคาสินค้าที่สูงขึ้นจากต้นทุนการผลิตแต่เพียงอย่างเดียว โดยไม่มีกำลังซื้อมาสนับสนุนนั้น ไม่มีความจำเป็นต้องใช้นโยบายการเงิน ต่างจากเงินเฟ้อที่มีสาเหตุจากความต้องการสินค้าและบริการมีมากกว่าความสามารถในการผลิต ซึ่งแก้ปัญหาที่ต้นเหตุได้โดยการเพิ่มความสามารถในการผลิต อย่างไรก็ตามในระยะสั้นคงไม่สามารถขยายกำลังการผลิต เพื่อตอบสนองความต้องการได้ทันที ดังนั้นจึงมีแรงกดดันเงินเฟ้อสูงขึ้น จึงไม่มีทางเลือกนอกจากจะต้องลดความต้องการลงมา เพื่อให้เศรษฐกิจมีความสมดุล เพราะหากปล่อยให้สถานการณ์ยืดเยื้อ จะทำให้ผู้คนคาดคะเนว่าราคาสินค้าจะแพงขึ้นไปเรื่อยๆ ค่าจ้างแรงงานและราคาวัตถุดิบจะสูงขึ้น ทำให้เกิดวัฏจักรเพิ่มขึ้นของราคาและค่าจ้าง ซึ่งกัดกร่อนความเชื่อมั่นและอำนาจซื้อของประชาชน จึงเป็นหน้าที่สำคัญของนโยบายการเงินที่จะต้องรักษาเงินเฟ้อและเศรษฐกิจไม่ให้ขาดความสมดุล

           สำหรับประเทศไทยแล้ว ปัจจัยที่มีความเชื่อมโยงกับความต้องการมากที่สุด คือ อัตราดอกเบี้ย เพราะคนไทยพึ่งพาระบบสถาบันการเงินเป็นหลัก โดยการบริหารจัดการเงินของคนไทยจะเน้นการฝากเงินและกู้เงินกับธนาคารค่อนข้างมาก เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากจะเป็นแรงจูงใจให้ประชาชนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่ายได้ โดยอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากที่ลดลงก็จะจูงใจให้ประชาชนกู้เงินและถอนเงินฝากไปจับจ่ายใช้สอย ส่งผลให้มีความต้องการซื้อสินค้าและบริการมากขึ้น และอาจเป็นแรงผลักดันให้ราคาสินค้าสูงขึ้น ในทางตรงข้ามหากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากเพิ่มขึ้น ก็จะจูงใจให้ประชาชนไม่กู้ แต่จะเก็บออมเงิน ซึ่งจะลดความต้องการซื้อสินค้าและบริการ ทำให้ราคาสินค้าไม่เพิ่มสูงขึ้นมาก

           นอกจากนี้ข้อเท็จจริงที่ว่าสินค้าส่วนใหญ่ของไทยเป็นสินค้าที่ไม่สามารถนำเข้ามาทดแทนได้ (non-tradable) การเปลี่ยนแปลงของเงินเฟ้อจึงถูกกำหนดจากปัจจัยในประเทศ ซึ่งผูกโยงกับอัตราดอกเบี้ยในประเทศเป็นสำคัญ อัตราดอกเบี้ยจึงมีผลต่อความต้องการบริโภคและการลงทุนของคนในประเทศ ซึ่งจะเชื่อมโยงไปสู่ เงินเฟ้อได้ ดังจะเห็นได้จากประสบการณ์จากต่างประเทศที่มีลักษณะเศรษฐกิจเล็กและเปิดคล้ายกับประเทศไทย ธนาคารกลางส่วนใหญ่ก็เลือกใช้อัตราดอกเบี้ยเป็นเครื่องมือในการดูแลเงินเฟ้อและความสมดุลของระบบเศรษฐกิจเช่นกัน เช่น ออสเตรเลีย แคนาดา เกาหลี อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน นิวซีแลนด์ ฯลฯ

           4. อัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสมกับเศรษฐกิจไทย โดยทั่วไปการปรับขึ้น ปรับลง หรือคงอัตราดอกเบี้ยไม่มีสูตรตายตัว แต่ต้องปรับให้เหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจของประเทศตัวเอง เช่น สหรัฐอเมริกาประเทศยังไม่พ้นวิกฤติ มีการว่างงานถึงร้อยละ 8-9 ยังคงมีหนี้เสียและราคาบ้านยังลดลงต่อเนื่อง มีอุปทานที่อยู่อาศัยล้นตลาด ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา จึงให้คำมั่นสัญญาว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะอยู่ในระดับต่ำใกล้ร้อยละ 0 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ มีบางแนวคิดมองว่าอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันของประเทศไทยที่ร้อยละ 3.0 อยู่ในระดับสูงเกินไป และเสนอให้ประเทศไทยควรมีอัตราดอกเบี้ยใกล้เคียงกับสหรัฐอเมริกา

           หากประเทศไทยจะต้องลดอัตราดอกเบี้ยลงเข้าใกล้ร้อยละ 0 ธปท. คงต้องอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบอีกมหาศาล ซึ่งไม่สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจปัจจุบันของประเทศไทยที่มีการจ้างงานเต็มที่ อัตราการว่างงานต่ำ คนยังมีรายได้ดีและมีความต้องการที่ยังรอค้างอยู่ไม่สามารถผลิตได้ทัน อาทิเช่น การส่งมอบรถยนต์ยังต้องรอข้ามปี ถ้าลดอัตราดอกเบี้ยให้ต่ำจะยิ่งกระตุ้นให้มีความต้องการสูงขึ้น ในขณะที่ด้านการผลิตไม่สามารถตอบสนองได้ทัน ผลสุดท้ายการลดดอกเบี้ยจะก่อให้เกิดแรงกดดันต่อเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะยึดอัตราดอกเบี้ยของประเทศไทยให้เท่ากับสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้ภายใต้สภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้พิจารณาแล้วเห็นว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปัจจุบันมีความเหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจ โดยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและไม่เป็นปัญหาต่อภาวะเงินเฟ้อ

           นอกจากนี้หากดูอัตราดอกเบี้ยนโยบายของประเทศต่างๆ ทั่วโลก ไม่ว่าจะเล็กใหญ่หรือมีเศรษฐกิจที่เปิดมากหรือน้อย ประเทศส่วนใหญ่ไม่ได้ยึดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของตนกับประเทศใดประเทศหนึ่ง โดยจะเห็นว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของแต่ละประเทศมีความแตกต่างกันค่อนข้างมากตามสภาวะเฉพาะของเศรษฐกิจประเทศนั้นๆ เช่น เกาหลีใต้ ร้อยละ 3.25 อินเดีย ร้อยละ 8 อินโดนีเซีย ร้อยละ 5.75 เวียดนาม ร้อยละ 13 มาเลเซีย ร้อยละ 3 ฟิลิปปินส์ ร้อยละ 4 เป็นต้น และหากเทียบอัตราดอกเบี้ยนโยบายของประเทศไทยในปัจจุบันกับประเทศอื่นก็จะพบว่าไม่สูงเมื่อเทียบกับภูมิภาค ที่สำคัญอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริง (หักผลของเงินเฟ้อแล้ว) ในปัจจุบันก็ยังติดลบอยู่ประเทศเดียวในภูมิภาคนี้

           อัตราดอกเบี้ยนโยบายในปัจจุบันที่ต่างจากอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐอเมริกา ทำให้มีความกังวลว่าจะเป็นสาเหตุดึงดูดเงินทุนให้ไหลเข้าเศรษฐกิจและจะต้องเป็นภาระของ ธปท. ในการจัดการเงินทุนที่เข้ามามากนี้ ในความเป็นจริงแล้วอัตราดอกเบี้ยของประเทศไทยไม่ใช่ปัจจัยหลักที่ดึงดูดเงินทุนไหลเข้า ต้นเหตุสำคัญที่ทำให้เงินทุนไหลเข้าเกิดจากการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเป็นพิเศษของธนาคารกลางในประเทศอุตสาหกรรมหลัก ซึ่งทำให้เกิดสภาพคล่องส่วนเกินและไหลเข้ามาแสวงหากำไรในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งมีแนวโน้มการเจริญเติบโตที่ดีกว่า หลักฐานสำคัญ คือ เงินทุนไม่ได้ไหลเข้าเฉพาะประเทศไทย แต่ไหลเข้าทุกประเทศในภูมิภาค

           การจัดการกับเงินทุนไหลเข้านี้ ธนาคารกลางของทุกประเทศในภูมิภาคจัดการในลักษณะคล้ายๆ กันด้วยการแทรกแซงค่าเงินไม่ให้แข็งค่าเร็วหรือผันผวนเกินไป ซึ่งสะท้อนในระดับเงินสำรองของธนาคารกลางทุกประเทศที่เพิ่มขึ้น และแทบทุกประเทศต้องประสบปัญหาการขาดทุนจากการตีราคา อย่างไรก็ดีต้องยอมรับว่าการแทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยนในช่วงที่ผ่านมามีผลต่องบดุลและกำไรขาดทุนของ ธปท. ซึ่ง ธปท. ตระหนักดีถึงต้นทุนของการดำเนินนโยบายดังกล่าว แต่มองว่าคุ้มกับประโยชน์ที่ประชาชนได้รับ เพื่อบรรเทาไม่ให้ส่งผลกระทบต่อภาคเอกชนมากจนเกินไป โดยเฉพาะภาคการส่งออกจะได้มีเวลาในการปรับตัวได้ และไม่กระทบกับเศรษฐกิจในภาพรวมจนเกินไป จนในที่สุดก็อาจจะส่งผลต่ออัตราการเติบโตของประเทศได้เป็นอย่างดีด้วย

ทิศทางแนวโน้มเศรษฐกิจโลก

           จากการติดตามตัวเลขเศรษฐกิจของทั้งประเทศหลักๆ อย่างสหรัฐอเมริกา ยุโรป และจีน ซึ่งเปรียบเหมือนประเทศหลักของเศรษฐกิจโลกจะเห็นได้ว่าตัวเลขต่างๆ ที่ออกมาในเวลาพร้อมๆ กัน ได้ส่งสัญญาณการชะลอตัวทางเศรษฐกิจรอบใหม่ และอาจจะเป็นสาเหตุหลักในการฉุดให้เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะชะลอตัวลงได้เป็นอย่างดี

           ตัวเลขล่าสุดของประเทศสหรัฐอเมริกาที่รายงานว่าภาคธุรกิจกำลังชะลอคำสั่งซื้อสินค้าประเภทคอมพิวเตอร์ อากาศยาน เครื่องจักร และสินค้าคงทน เช่นเดียวกันกับเครื่องชี้วัดภาวะธุรกิจในยุโรปที่มีตัวเลขปรากฏออกมา ประกอบกับดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (พีเอ็มไอ) ทั่วโลกที่ลดลง และเศรษฐกิจประเทศจีนที่ดัชนีภาคการผลิตสำคัญๆ หดตัวลงเป็นเดือนที่ 7 ติดต่อกันแล้ว

           ซึ่งจากตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงภัยคุกคามใหม่ที่กำลังก่อตัวขึ้น กิจกรรมต่างๆ ทางเศรษฐกิจชะลอตัวลงในเวลาเดียวกันทั่วโลก ซึ่งไม่ใช่แค่บางตลาดที่มีปัญหาเฉพาะของตัวเอง แม้ว่าประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรปกำลังหาทางออกกับความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น หากประเทศกรีซต้องถอนตัวออกจากยูโรโซน รวมถึงปัญหาการขาดดุลงบประมาณที่เกิดขึ้นในหลายๆ ประเทศ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของความกังวลที่มีต่อเศรษฐกิจโลก แต่ในขณะเดียวกันก็พบปัญหาของเศรษฐกิจในภูมิภาคต่างๆ ทั้งประเทศจีน อินเดีย แอฟริกาใต้ บราซิล และอื่นๆ ด้วย

           ในเวลาที่เศรษฐกิจโลกมีสัญญาณที่ดีก็จะพบว่ามีการเติบโตไปพร้อมๆ กัน อีกทั้งมีส่วนช่วยเสริมและขยายความมั่งคั่งให้กว้างและไกลขึ้น แต่ในทางตรงกันข้ามการชะลอตัวทางเศรษฐกิจก็สามารถเชื่อมโยงกันหมด และระบาดถึงเศรษฐกิจโลกอีกครั้ง นับตั้งแต่เกิดวิกฤตการเงินในปี 2551 องค์กรเพื่อความร่วมมือและพัฒนาเศรษฐกิจ (โออีซีดี) เพิ่งปรับลดคาดการณ์การเติบโตในเขตเศรษฐกิจพัฒนาแล้วประจำปีนี้ เช่นเดียวกับกองทุนการเงินระหว่าประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ที่ประเมินเศรษฐกิจโลกน่าจะมีการชะลอตัวลงจากปี 2554
ภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอลงส่งผลทำให้นักลงทุนต่างๆ ต้องมีการพิจารณาความเสี่ยงอย่างรอบคอบ โดยดูจากดัชนีเอ็มเอสซีไอ เวิลด์ ซึ่งสะท้อนภาวะตลาดหุ้นทั่วโลกมีค่ากลับมาปรับตัวลดลงไปกว่า 9% นับจากกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา รวมถึงราคาน้ำมันดิบ ซึ่งสะท้อนความต้องการบริโภคทั่วโลกก็มีการปรับตัวลดลงไปด้วย 15% ในขณะนี้

            การที่ประเทศขนาดใหญ่มีสัญญาณที่ไม่ดีออกมาพร้อมๆ กัน จึงทำให้เกิดแรงกดดันใหม่ต่อผู้กำหนดนโยบายที่จะรับมือกับปัญหาดังกล่าวในการที่จะออกมาตรการกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (เฟด) ที่ไม่ผูกมัดตัวเองว่าจะออกมาตรการใหม่ๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจหรือไม่ ส่วนกลุ่มประเทศยุโรปก็เผชิญแรงกดดันอย่างหนักในการที่จะหลีกหนีมาตรการรัดเข็มขัด ขณะที่ประเทศจีนก็มองหาวิธีใหม่ๆ เพื่อกระตุ้นการเติบโตขึ้นมา

           ทั้งนี้อันตรายจากการชะลอตัวในกลุ่มประเทศยุโรปจะสร้างความเสียหายใหญ่หลวงต่อเศรษฐกิจโลกมากขึ้น ถึงแม้ว่าการชะลอตัวดังกล่าวอาจจะทำให้โลกไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย แต่ก็อาจจะทำให้เศรษฐกิจโลกไม่เติบโตอย่างแข็งแกร่งและมั่นคง ในขณะที่ภูมิภาคอื่นๆ ก็เผชิญปัญหาของตัวเอง อย่างกรณีภาคอุตสาหกรรมในประเทศบราซิลที่ต้องพยายามจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก ทั้งจากค่าแรง ค่าเช่า และวัตถุดิบ จนทำให้ประเทศบราซิลกลายเป็นประเทศที่มีราคาแพงสำหรับทำธุรกิจ และนี่อาจจะส่งผลเกี่ยวพันถึงการชะลอตัวทางเศรษฐกิจในประเทศจีน ซึ่งเป็นคู่ค้าและผู้บริโภคแร่เหล็ก ถั่วเหลือง และสินค้าโภคภัณฑ์รายใหญ่ของประเทศบราซิล

           ในขณะที่ประเทศแอฟริกาใต้ได้รับผลกระทบจากความต้องการบริโภคสินค้าโภคภัณฑ์ที่ลดลง และอาจจะเป็นสาเหตุสำคัญในการลดกำลังการผลิตที่เหมืองในแอฟริกาใต้ลง เนื่องจากความต้องการโลหะทั่วโลกที่ปรับตัวลดลงไปอย่างชัดเจน ส่วนที่ประเทศสหรัฐอเมริกาก็พบตัวเลขเกี่ยวกับคำสั่งซื้อสินค้าประเภทคอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ลดลง 0.6% ในเดือนเมษายน เช่นเดียวกับคำสั่งซื้อสินค้าทุนที่สะท้อนแผนใช้จ่ายของภาคธุรกิจก็ลดลง 1.9% อย่างไรก็ตามเป็นที่น่าสังเกตว่าหนึ่งในความเสี่ยงสำคัญของเศรษฐกิจโลกยังอยู่ที่ประเทศจีน โดยให้สังเกตุตัวเลขจากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อที่ลดลงสู่ระดับ 48.7 ในเดือนพฤษภาคม จาก 49.3 ในเดือนเมษายน ซึ่งจะเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงกิจกรรมการผลิตในประเทศจีนที่ได้มีการปรับตัวลดลงไปเป็นเดือนที่ 7 ติดต่อกัน นอกจากนี้ยังมีความอ่อนแอที่เกิดขึ้นทั้งในส่วนของภาคการค้าระหว่างประเทศไปจนถึงการปล่อยกู้ของธนาคาร ซึ่งอาจจะเป็นสัญญาณสำคัญที่ส่งผลทำให้การเติบโตของประเทศจีนชะลอตัวลงและอาจจะนำไปสู่การชะลอตัวลงของภาวะเศรษฐกิจโลกในปีนี้ได้เป็นอย่างดี


________________
* โดยสายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจฉบับวันที่ 18 พฤษภาคม 2555


กลุ่มข้อมูลองค์กร

สำนักกรรมการผู้จัดการใหญ่

บทความเศรษฐกิจ

วันที่ 20 กรกฎาคม 2555

2055 Views

BAM Mobile Application

ค้นหาทรัพย์ง่ายๆ เพียงปลายนิ้วสัมผัส

บริการฝากขาย
อสังหาฯ
ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย