สรุปภาวะเศรษฐกิจ
ข้อมูลเดือนสิงหาคม 2555 จากตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน จะเห็นว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคมีค่าเพิ่มขึ้น ในขณะที่ภาคการผลิตมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากการชะลอตัวของภาคการผลิตในช่วงก่อนหน้านั้นไปมากแล้ว ทำให้เดือนนี้จึงมีการเร่งการผลิตขึ้นมาบ้าง ในขณะที่ดุลการค้ายังมีค่าเป็นบวก ตามการนำเข้าที่เริ่มมีแนวโน้มปรับตัวลดลง ในขณะเดียวกันภาวะการเงินยังทรงตัวไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงมากนัก โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
1. ดัชนีราคาผู้บริโภค
จากตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน จะเห็นว่าดัชนีราคาผู้บริโภคในเดือนสิงหาคมมีค่า116.3 มีค่าเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนกรกฎาคมที่มีค่า 115.8 เพราะสินค้าในหมวดอาหารสำเร็จรูปมีราคาสูง ในขณะที่ราคาน้ำมันยังผันผวนและราคาเปลี่ยนแปลงไม่มากเท่าไรนัก อย่างไรก็ตามยังมีมาตรการภาครัฐในการช่วยทำให้ดัชนีราคาผู้บริโภคไม่ให้ปรับตัวสูงขึ้นไปมาก ซึ่งต้องติดตามในเรื่องของราคาน้ำมัน ที่ยังมีความไม่แน่นอน และอาจจะส่งผลต่อดัชนีราคาผู้บริโภคได้อย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้นดัชนีราคาผู้บริโภคในเดือนสิงหาคมจึงมีค่าเพิ่มขึ้นมาเมื่อเทียบกับเดือนกรกฎาคมตามตารางที่ปรากฏ
2. ภาวะการผลิต
จากดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมและอัตราการใช้กำลังการผลิตในตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน จะเห็นได้ว่าดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมในเดือนสิงหาคมมีค่า 175.18 เพิ่มขึ้นจากเดือนกรกฎาคมที่มีค่า173.14 และอัตราการใช้กำลังการผลิตในเดือนสิงหาคมมีค่าร้อยละ 64.91 เพิ่มขึ้นจากเดือนกรกฎาคมที่มีค่าร้อยละ 64.18 โดยสาเหตุที่ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมและอัตราการใช้กำลังการผลิตมีค่าเพิ่มขึ้น เนื่องจากภาคการผลิตได้มีการชะลอตัวลงไปมากแล้วจากช่วงก่อนหน้านั้นตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีการชะลอตัวลงไปมาก แต่อย่างไรก็ตามจากการที่เร่งหาตลาดใหม่โดยเฉพาะตลาดในภูมิภาคอาเซียนที่ยังมีการขยายตัวได้ดีอยู่ จึงทำให้ผู้ประกอบการได้เร่งการผลิตเพื่อส่งออกมายังภูมิภาคอาเซียนมากขึ้น จึงมีส่วนสำคัญที่ทำให้ภาวะการผลิตเริ่มปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ในขณะเดียวกันผู้ประกอบการยังจำเป็นต้องติดตามในเรื่องของราคาน้ำมันอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันความผันผวนที่จะเกิดขึ้น และควรจะต้องเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ เพื่อรองรับความเสี่ยง และเตรียมแผนรองรับสถานการณ์ในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของต้นทุนราคาน้ำมันและความผันผวนของค่าเงินบาทด้วย ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าวส่งผลทำให้ภาวะการผลิตในเดือนนี้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมาเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนที่แล้ว
3. ภาวะการค้า
ดุลการค้าในเดือนสิงหาคมมีค่า 1,540.72 จะเห็นว่าเพิ่มขึ้นจากเดือนกรกฎาคมที่มีค่า 482.79 และดุลบัญชีเดินสะพัดในเดือนสิงหาคมมีค่า 857.84 เพิ่มขึ้นจากเดือนกรกฎาคมที่มีค่า 119.80 จะเห็นได้ว่าดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดมีค่าเพิ่มขึ้น และดุลการค้ายังมีค่าเป็นบวก เนื่องจากการนำเข้าเริ่มมีแนวโน้มในการปรับตัวที่ลดลง จึงส่งผลทำให้ดุลการค้ามีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมา ในขณะที่ดุลบัญชีเดินสะพัดยังมีค่าเป็นบวก อย่างไรก็ตามยังมีความจำเป็นต้องเฝ้าติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจต่างๆ อย่างใกล้ชิด ทั้งในเรื่องของค่าเงินบาทรวมไปถึงยังมีปัจจัยลบอื่นๆ ที่เป็นปัญหาสำคัญที่อาจทำให้เศรษฐกิจของประเทศเกิดการชะลอตัว และจากปัจจัยต่างๆ ดังที่ได้กล่าวไปแล้วทำให้ภาวะการค้าในเดือนนี้มีค่าเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า
4. ภาวะการเงิน
ตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงินแสดงได้ว่า เงินฝากเดือนกรกฎาคมมีค่า 9,459.58 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายนที่มีค่า 9,059.55 พันล้านบาท และเงินให้สินเชื่อในเดือนกรกฎาคมมีค่าเป็น 10,562.24 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายนที่มีค่า 10,417.77 พันล้านบาท ซึ่งจะเห็นว่าปริมาณเงินฝากและเงินให้สินเชื่อมีค่าเพิ่มขึ้น สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะธนาคารพาณิชย์เริ่มมีการแข่งขันในเรื่องการระดมเงินอยู่ ทำให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากในตลาดมีแนวโน้มสูงขึ้น ส่งผลทำให้ประชาชนยังออมเงินอยู่ต่อไป สำหรับการปล่อยสินเชื่อมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากธนาคารได้เตรียมปล่อยสินเชื่อ หลังจากที่ได้มีการชะลอตัวลงไปบ้าง ส่งผลทำให้การปล่อยสินเชื่อมีการขยายตัวขึ้น อย่างไรก็ตามผลของภาวะเศรษฐกิจที่ยังฟื้นตัวได้อย่างไม่เต็มที่หลังจากที่มีผลกระทบจากหลายๆ ปัจจัย จึงทำให้ภาวะการฝากเงินและการให้สินเชื่อยังทรงตัวอยู่ต่อไป
ตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน
|
รายละเอียด |
พฤษภาคม 55 |
มิถุนายน 55 |
กรกฎาคม 55 |
สิงหาคม 55 |
| ดัชนีราคาผู้บริโภค |
115.2 |
115.4 |
115.8 |
116.3 |
| ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม |
191.03 |
172.60 |
173.14 |
175.18 |
| อัตราการใช้กำลังการผลิต |
66.18 |
63.53 |
64.18 |
64.91 |
| ดุลการค้า |
573.91 |
1,643.56 |
482.79 |
1,540.72 |
| ดุลบัญชีเดินสะพัด |
-1,517.85 |
623.31 |
119.80 |
857.88 |
| เงินฝาก |
8,715.86 |
9,059.55 |
9,459.58 |
n.a. |
| เงินให้สินเชื่อ |
10,509.09 |
10,417.77 |
10,562.24 |
n.a. |
ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย
หมายเหตุ: ดัชนีราคาผู้บริโภค มีปีฐานคือ 2545 เงินฝาก/เงินให้สินเชื่อ มีหน่วยเป็นพันล้านบาท
อัตราการใช้กำลังการผลิต มีหน่วยเป็น ร้อยละ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม มีปีฐานคือ 2543
ดุลการค้า ดุลบัญชีเดินสะพัด มีหน่วยเป็น ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา
การเปลี่ยนแปลงของราคาประเมินที่ดินทั่วประเทศปี 2555*
เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 ทางราชการได้ประกาศใช้บัญชีราคาประเมินที่ดินใหม่ (รอบบัญชีปี พ.ศ. 2555 - 2558) เพื่อทดแทนบัญชีราคาประเมินที่ดินเก่า (รอบบัญชีปี พ.ศ. 2551 - 2554) ซึ่งครบกำหนดระยะเวลาการใช้ตามที่กฎหมายกำหนดแล้ว โดยราคาประเมินที่ดินทั่วประเทศใช้ใหม่หากเรียกตามแบบราชการก็คือ บัญชีกำหนดราคาประเมินทุนทรัพย์ที่ดินรอบบัญชีปี พ.ศ. 2555 - 2558 ซึ่งบัญชีดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ในการจัดทำขึ้นเพื่อให้เจ้าพนักงานที่ดินใช้เป็นฐานในการคำนวณเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามประมวลกฎหมายที่ดิน
การประกาศใช้บัญชีกำหนดราคาประเมินทุนทรัพย์ที่ดินแต่ละคราวจะมีระยะเวลาการใช้ตามปกติไม่เกิน 4 ปี ซึ่งตามกำหนดการเดิมบัญชีกำหนดราคาประเมินทุนทรัพย์ที่ดินรอบบัญชีปี พ.ศ. 2555 - 2558 จะต้องประกาศใช้บังคับตามรอบบัญชีตั้งแต่วันที่ 1มกราคม พ.ศ. 2555 เป็นต้นไป แต่เนื่องจากในช่วงปลายปี พ.ศ. 2554 ได้เกิดเหตุอุทกภัยร้ายแรงในจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ จึงได้มีการเลื่อนการประกาศใช้บัญชีราคาประเมินไปก่อนเป็นเวลา 6 เดือน และต่อมาเมื่อสถานการณ์อุทกภัยเริ่มคลี่คลายลง โดยในช่วงไตรมาสแรกของปี พ.ศ. 2555 ได้มีการศึกษาติดตามข้อมูลภาวการณ์ทางเศรษฐกิจและความเคลื่อนไหวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ผ่านมามีข้อมูลบ่งชี้ว่าสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศมีการฟื้นตัวค่อนข้างดีและกำลังกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ตลาดอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะธุรกิจบ้านจัดสรรมีแนวโน้มขยายตัวสูงขึ้น ข้อมูลการโอนกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัยภาคประชาชนมีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง และจากการรวบรวมข้อมูลราคาซื้อขายหรือราคาเสนอขายที่ดินของประชาชนในจังหวัดที่อยู่ตามแนวน้ำหลาก 21 จังหวัด ซึ่งได้รับผลกระทบจากอุทกภัยค่อนข้างมาก ปรากฏว่าข้อมูลราคาซื้อขายหรือราคาเสนอขายเกือบทั้งหมดมีระดับราคาใกล้เคียงกับราคาประเมินทุนทรัพย์ที่ดินรอบบัญชีปี พ.ศ. 2555 - 2558 และไม่มีแนวโน้มราคาที่ลดต่ำลงแต่อย่างใด ดังนั้นทางราชการจึงได้มีการประกาศใช้บัญชีกำหนดราคาประเมินทุนทรัพย์ที่ดินรอบบัญชีปี พ.ศ. 2555 - 2558 เพื่อใช้สำหรับการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามประมวลกฎหมายที่ดิน โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 ดังกล่าว
สำหรับข้อมูลการเปลี่ยนแปลงของราคาประเมินทุนทรัพย์ที่ดินรอบบัญชีปี พ.ศ. 2555 - 2558 เมื่อเปรียบเทียบกับบัญชีกำหนดราคาประเมินทุนทรัพย์ที่ดินรอบบัญชีปี พ.ศ. 2551 - 2554 สรุปภาพรวมของการเปลี่ยนแปลงดังนี้
พื้นที่ที่มีราคาประเมินสูงสุดในประเทศไทย
บริเวณที่มีราคาประเมินที่ดินสูงสุดของประเทศอยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร
• ถนนสีลม (แยกศาลาแดงถึงแยกนราธิวาสราชนครินทร์) ตารางวาละ 850,000 บาท(เพิ่มขึ้นร้อยละ 31)
(รอบบัญชีปี พ.ศ. 2551- 2554 ตารางวาละ 650,000 บาท)
• ถนนราชดำริ (แยกราชประสงค์ถึงคลองแสนแสบ) ถนนพระรามที่ 1 (แยกปทุมวันถึงแยกราชประสงค์)
ถนนเพลินจิต (ตลอดสาย) ตารางวาละ 800,000 บาท (รอบบัญชีปี พ.ศ. 2551 – 2554
ตารางวาละ 350,000, 350,000 และ430,000 ตามลำดับ)
• ถนนราชดำริ (แยกศาลาแดงถึงแยกราชประสงค์) และถนนเยาวราช (ตลอดสาย)
ตารางวาละ 700,000 บาท (รอบบัญชีปี พ.ศ. 2551 - 2554
ตารางวาละ 350,000 บาท และ 550,000 บาท ตามลำดับ)
พื้นที่ที่มีราคาประเมินสูงสุดในส่วนภูมิภาค
• ภาคใต้ ตารางวาละ 400,000 บาท จังหวัดสงขลา–อำเภอหาดใหญ่
(ถนนนิพัทธ์อุทิศ 3, ถนนประชาธิปัตย์, และถนนเสน่หานุสรณ์)
• ภาคเหนือ ตารางวาละ 250,000 บาท จังหวัดเชียงใหม่-อำเภอเมือง (ถนนวิชยานนท์)
• ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตารางวาละ 200,000 บาท จังหวัดขอนแก่น-อำเภอเมือง (ถนนศรีจันทร์)
• ภาคกลาง ตารางวาละ 150,000 บาท จังหวัดนนทบุรี - อำเภอเมือง (ถนนงามวงศ์วาน)
จังหวัดสมุทรปราการ – อำเภอเมือง (ถนนศรีสมุทร ถนนประโคนชัย ถนนด่านเก่า ถนนกายสิทธิ์
(ตลาดปากน้ำ))
• ภาคตะวันออก ตารางวาละ 150,000 บาท จังหวัดชลบุรี – อำเภอบางละมุง (ถนนเลียบหาดพัทยา
(พัทยาสาย 1))
• ภาคตะวันตก ตารางวาละ 150,000 บาท จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ - อำเภอหัวหิน (ติดชายทะเล)
พื้นที่ที่มีราคาประเมินต่ำสุด
• กรุงเทพมหานคร ตารางวาละ 500 บาท เขตบางขุนเทียน (ที่ดินบริเวณชายทะเลไม่มีทางเข้าออก)
• ภาคใต้ ตารางวาละ 25 บาท จังหวัดยะลา - อำเภอเบตง (ที่ดินไม่มีทางเข้าออก)
• ภาคตะวันออก ตารางวาละ 25 บาท จังหวัดจันทบุรี - อำเภอขลุง และอำเภอสอยดาว
(ที่ดินไม่มีทางเข้าออก) จังหวัดสระแก้ว - อำเภอตาพระยาและโคกสูง
• ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตารางวาละ 25 บาท จังหวัดมุกดาหาร - อำเภอเมืองอำเภอนิคมคำสร้อย
อำเภอคำชะอี และอำเภอดงหลวง (ที่ดินไม่มีทางเข้าออก) จังหวัดอุบลราชธานี - อำเภอศรีเมืองใหม่
และอำเภอกุดข้าวปุ้น (ที่ดินไม่มีทางเข้าออก)
• ภาคกลาง ตารางวาละ 10 บาท จังหวัดอุทัยธานี – อำเภอบ้านไร่ (ที่ดินไม่มีทางเข้าออก)
• ภาคเหนือ ตารางวาละ 10 บาท จังหวัดเชียงใหม่ – อำเภอดอยหล่อ แม่แจ่ม และกัลยานิวัฒนา
(ที่ดินไม่มีทางเข้าออก)
• ภาคตะวันตก ตารางวาละ 20 บาท จังหวัดกาญจนบุรี - อำเภอสังขละบุรีและอำเภอทองผาภูมิ
(ที่ดินไม่มีทางเข้าออก)
บัญชีกำหนดราคาประเมินทุนทรัพย์ที่ดินที่ประกาศใช้อยู่ปัจจุบันมีการจัดทำไว้ 2 รูปแบบ
แบบแรก คือ บัญชีกำหนดราคาประเมินทุนทรัพย์ที่ดินแบบรายแปลง คือ การระบุราคาประเมินของที่ดินไว้เป็นแปลงๆ ตามหมายเลขโฉนดที่ดิน เลขที่ดินหมายเลขระวางแผนที่ ซึ่งจะมีความสะดวก รวดเร็วยิ่งขึ้นในการนำไปใช้อ้างอิงต่างๆ โดยเฉพาะการจัดเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมของเจ้าพนักงานที่ดิน แต่บัญชีแบบรายแปลงนี้จะต้องมีความพร้อมของฐานข้อมูลต่างๆ จึงจะจัดทำได้ ฉะนั้นขณะนี้จึงมีพื้นที่ที่จัดทำบัญชีกำหนดราคาประเมินทุนทรัพย์ที่ดินแบบรายแปลงดังนี้
1 กรุงเทพมหานคร ครอบคลุมพื้นที่ 50 เขต
2 นนทบุรี ทุกอำเภอ
3 ปทุมธานี ทุกอำเภอ (ยกเว้น สามโคก/ลาดหลุมแก้ว)
4 สมุทรสาคร อำเภอเมืองสมุทรสาคร อำเภอกระทุ่มแบน
5 สมุทรปราการ ทุกอำเภอ
6 พระนครศรีอยุธยา อำเภอพระนครศรีอยุธยา
7 นครปฐม อำเภอเมืองนครปฐม อำเภอนครชัยศรี อำเภอพุทธมณฑล อำเภอสามพราน
อำเภอบางปลา และ (น.ส. 3 ก.) อำเภอดอนตูม
8 ชลบุรี อำเภอบางละมุง อำเภอเมือง อำเภอพานทอง
9 ระยอง อำเภอเมืองระยอง
10 เพชรบุรี อำเภอเมืองเพชรบุรี
11 นครราชสีมา อำเภอเมืองนครราชสีมา เทศบาลนคร
12 เชียงใหม่ อำเภอเมืองเชียงใหม่ เทศบาลนคร
13 ภูเก็ต เทศบาลนครภูเก็ต
14 อ่างทอง ทุกอำเภอ
15 สุพรรณบุรี อำเภอเมืองสุพรรณบุรี
16 นครนายก ทุกอำเภอ
17 ฉะเชิงเทรา อำเภอเมือง อำเภอบางน้ำเปรี้ยว
18 ชัยนาท อำเภอเมือง อำเภอสรรพยา อำเภอมโนรมย์ อำเภอวัดสิงห์
19 เชียงราย อำเภอเมือง อำเภอแม่ลาว
20 บุรีรัมย์ อำเภอเมือง
21 ลำปาง อำเภอเมือง อำเภอแม่เมาะ
22 สระบุรี อำเภอเมือง อำเภอเฉลิมพระเกียรติ อำเภอเสาไห้ อำเภอหนองแซง
23 สุราษฎร์ธานี เกาะสมุย เกาะพงัน
24 สุรินทร์ อำเภอเมือง
25 พังงา เทศบาลเมือง
แบบที่สอง บัญชีกำหนดราคาประเมินทุนทรัพย์ที่ดินแบบรายบล็อก คือ การระบุราคาประเมินที่ดินไว้เป็นกลุ่มที่ดินตามคุณลักษณะทางกายภาพของที่ดิน เช่น ที่ดินติดถนนสาย... ที่ดินติดซอย... ที่ดินในหมู่บ้านจัดสรร... รูปแบบราคาประเมินที่ดินแบบนี้จะเป็นรูปแบบที่ใช้อยู่เป็นส่วนมากในพื้นที่ทั่วประเทศ ผู้ใช้จำเป็นต้องทราบเกี่ยวกับสภาพพื้นที่และทำเลที่ตั้งของแปลงที่ดินก่อนจึงระบุราคาประเมินตามคุณลักษณะดังกล่าวได้ บัญชีกำหนดราคาประเมินทุนทรัพย์ที่ดินจะจัดทำเป็นรูปแบบใดก็ตาม หลักการสำคัญที่มุ่งมั่นปฏิบัติตลอดมา คือ การทำให้ราคาประเมินทุนทรัพย์ที่ดินมีความถูกต้องสอดคล้องกับความเป็นจริงของราคาตลาดมากที่สุด กระบวนการจัดทำต้องมีมาตรฐานเดียวกันและเป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งประชาชนผู้เป็นเจ้าของที่ดินสามารถตรวจสอบและรับรู้ข้อมูลราคาประเมินทุนทรัพย์ที่ดินของตนเองได้โดยกรม
ธนารักษ์พร้อมให้บริการ ดังนี้
1. การให้บริการทางอินเตอร์เน็ตที่ www.treasury.go.th
2. การให้บริการทางโทรศัพท์ ที่หมายเลข 0-2142-2465-7
3. การให้บริการสอบถามหรือขอดูราคาประเมินด้วยตนเอง กรณีนี้ผู้เป็นเจ้าของที่ดิน
จะต้องเตรียมเอกสารหลักฐานโฉนดที่ดินไปขอดูหรือตรวจสอบ ณ สถานที่ราชการ
ดังต่อไปนี้
• สำนักประเมินราคาทรัพย์สิน ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา
5 ธันวาคม 2550 อาคารรัฐประศาสนภักดี อาคารบี ชั้น 6 (ฝั่งตะวันตก)
ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร
• สำนักงานธนารักษ์พื้นที่ สำหรับที่ดินที่อยู่ในเขตพื้นที่นั้นๆ
วิเคราะห์แนวนโยบายธนาคารกลางกับวิกฤตเศรษฐกิจครั้งต่อไป
วิกฤตหนี้ยุโรปในขณะนี้ได้ดำเนินมากว่าสองปีแล้ว การแก้ไขปัญหาที่ผ่านมาแม้จะสามารถป้องกันไม่ให้ปัญหาหนี้ลุกลามไปสู่การเกิดวิกฤตที่รุนแรงได้นั้น แต่การแก้ไขก็ไม่สามารถแก้ปัญหาจริงๆ ที่มีอยู่ได้ นั่นก็คือ การลดหนี้สาธารณะ ปัญหาความเข้มแข็งของสถาบันการเงิน และเศรษฐกิจที่ไม่ขยายตัว ตรงกันข้ามการแก้ไขกลับได้สร้างความเสี่ยงและผลกระทบที่ไม่ตั้งใจที่อาจจะเกิดขึ้นตามมาได้ และเมื่อเกิดขึ้นก็จะเป็นหน้าที่ของธนาคารกลางที่จะต้องแก้ไขผลกระทบเหล่านี้ เพื่อรักษาไว้ซึ่งระบบเศรษฐกิจและเสถียรภาพเศรษฐกิจ ผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจการเงินโลกที่อาจจะเกิดน่าจะมีด้วยกันสามเรื่อง ดังนี้
หนึ่ง เศรษฐกิจโลกคงเข้าสู่การขยายตัวในเกณฑ์ต่ำต่อเนื่องไปอีกอย่างน้อยสองสามปีข้างหน้า หรืออาจมากกว่านั้น ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะเศรษฐกิจหลักของโลกขณะนี้ไม่ว่าจะเป็นสหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา หรือญี่ปุ่น ก็มีปัญหาในเรื่องของการขยายตัวเหมือนกันหมด กลุ่มเศรษฐกิจประเทศตลาดเกิดใหม่ทั้งจีน อินเดีย บราซิล และรัสเซีย ก็พบว่ามีแนวโน้มชะลอตัวลง และประเทศตลาดเกิดใหม่ในภูมิภาคเอเชีย และลาตินอเมริกา เศรษฐกิจก็มีทิศทางที่ชะลอตัวลงด้วยเช่นเดียวกัน ดังนั้นเศรษฐกิจโลกขณะนี้กำลังอยู่ในช่วงของวัฎจักรขาลง ที่สำคัญพื้นที่นโยบายด้านการเงินการคลังที่จะใช้กระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมก็จำกัด เพราะในหลายๆประเทศขณะนี้ระดับหนี้สาธารณะก็สูง และอัตราดอกเบี้ยก็ต่ำมากแล้วด้วย ดังนั้นเมื่อนโยบายไม่สามารถทำได้มาก เศรษฐกิจโลกก็คงจะซบเซาต่อเนื่องเป็นเวลานาน
สอง สาเหตุหลักที่มาตรการการแก้ไขปัญหาไม่สามารถฟื้นเศรษฐกิจและแก้ปัญหาที่มีอยู่ได้ก็เพราะ สถาบันการเงินในประเทศที่มีปัญหาหนี้ไม่สามารถทำหน้าที่ได้อย่างเต็มที่จากปัญหาที่ยังมีอยู่ในระบบสถาบันการเงิน นั่นก็คือปัญหาหนี้เสียและความเพียงพอของเงินกองทุน ปัญหานี้เมื่อรวมกับแนวโน้มที่เศรษฐกิจจะชะลอตัวลง จึงส่งผลทำให้สถาบันการเงินไม่กล้าปล่อยสินเชื่อใหม่ ซึ่งกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้เป็นอย่างมาก นอกจากนี้เกณฑ์กำกับดูแลธนาคารพาณิชย์ใหม่ หรือ Basel 3 ที่กำลังจะเริ่มนำมาใช้ทั่วโลกในช่วงต้นปีหน้า ที่ค่อนข้างจะมีความเข้มงวดในเรื่องเงินกองทุน สภาพคล่อง และการกู้ยืมเพื่อทำธุรกิจ ทำให้ธนาคารพาณิชย์ก็จะต้องยิ่งมีความระมัดระวังในการทำธุรกิจมากขึ้น เพื่อเป็นการประหยัดเงินกองทุนไม่ต้องมีการกันสำรองให้มากไปกว่านี้
ดังนั้นสิ่งที่จะเห็นต่อจากนี้ไปก็คือ ธนาคารพาณิชย์ในยุโรปและสหรัฐอเมริกาน่าจะมีการลดบทบาทลงไป โดยกิจกรรมทางการเงินเพื่อสนับสนุนภาคเศรษฐกิจจริงก็จะมีการย้ายออกจากตลาดสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์เข้ามาสู่ตลาดหุ้น ตลาดพันธบัตร รวมถึงธนาคารพาณิชย์นอกกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมแทน
สาม ผลกระทบที่ไม่ตั้งใจที่มาจากการอัดฉีดสภาพคล่องของธนาคารกลางประเทศอุตสาหกรรมหลักที่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลในช่วงสองปีผ่านมาตรการ QE ของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา และการซื้อพันธบัตรของธนาคารกลางสหภาพยุโรป ส่งผลทำให้ระบบการเงินโลกขณะนี้มีการเติบโตของปริมาณเงินอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ในทางเศรษฐศาสตร์ถ้ามองเศรษฐกิจโลกเป็นประเทศเดียว การอัดฉีดสภาพคล่องเป็นจำนวนมากขนาดนี้ในภาวะที่เศรษฐกิจจริงขยายตัวต่ำ ก็น่าจะส่งผลทำให้เงินเฟ้อในระบบเศรษฐกิจอาจจะมีความรุนแรงขึ้นอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงมีโอกาสสูงที่มาตรการการแก้ไขปัญหาที่ทางการประเทศอุตสาหกรรมได้ทำลงไปนั้น อาจจะทำให้เศรษฐกิจโลกเกิดปัญหาเงินเฟ้อที่รุนแรงตามมาก็ได้
ดังนั้นโจทย์สำคัญของปัญหาหนี้ยุโรปไม่ได้มีเฉพาะผลระยะสั้นที่จะมีต่อการส่งออก และการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างที่เป็นห่วงกัน แต่ที่น่ากลัวกว่าก็คือผลระยะยาวที่จะมาจากความเสี่ยงที่เศรษฐกิจโลกจะเกิดภาวะเงินเฟ้อที่รุนแรง การดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจและเสถียรภาพราคานั้น เป็นหน้าที่โดยตรงของธนาคารกลาง ดังนั้นผลกระทบที่ไม่ตั้งใจเหล่านี้จะเป็นหัวข้อใหม่ที่ท้าทายการทำงานของธนาคารกลางในประเทศตลาดเกิดใหม่ รวมถึงธนาคารแห่งประเทศไทยด้วย
ความท้าทายในส่วนนี้น่าจะมีสองเรื่องที่น่าจะเกิดขึ้น ได้แก่
เรื่องแรก ซึ่งกำลังเกิดขึ้นก็คือ การป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจเกิดวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหม่ที่จะมาจากการก่อหนี้ที่ขับเคลื่อนโดยอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำทั่วโลก และการไหลเข้าของเงินทุนต่างประเทศ เศรษฐกิจที่เสี่ยงต่อการเกิดวิกฤตก็คือ เศรษฐกิจที่ก่อหนี้จนเกินพอดีโดยภาครัฐ บริษัทธุรกิจ สถาบันการเงิน หรือภาคครัวเรือน ในกรณีของประเทศไทยนั้นจุดเปราะบางที่ต้องจับตามากที่อาจสร้างหนี้จนเกิดปัญหาฟองสบู่ก็คือ การบริโภคภาคเอกชน หรือหนี้ภาคครัวเรือน การลงทุนของภาครัฐหรือหนี้สาธารณะ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์หรือหนี้ภาคเอกชน ธุรกิจหลักทรัพย์หรือการเก็งกำไร และการกู้ยืมเพื่อซื้อกิจการในต่างประเทศหรือหนี้สถาบันการเงินและหนี้บริษัทเอกชน ซึ่งถ้าทางการไม่เข้าไปดูแลหรือจริงจังกับการก่อหนี้เหล่านี้ โอกาสที่เศรษฐกิจจะเกิดวิกฤตรอบใหม่ก็มีความเป็นไปได้สูง
เรื่องที่สอง เป็นความท้าทายระยะยาว ก็คือ ความเสี่ยงของการเกิดปัญหาเงินเฟ้อรุนแรง ซึ่งคงเกิดขึ้นหลังปัญหาเงินฝืดที่จะเกิดก่อนจากที่เศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวมากขึ้นเรื่อยๆ ในระยะต่อไป เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลงจะทำให้ความต้องการใช้จ่ายลดลง กดดันให้ราคาสินค้าลดลง จนเกิดเป็นภาวะเงินฝืดได้ ซึ่งก็คือระดับราคาสินค้าและบริการในภาคเศรษฐกิจจริงปรับตัวลดลงไป แต่ความจำเป็นที่จะต้องสร้างหรือหารายได้ทำให้สภาพคล่องที่มีอยู่เป็นจำนวนมากจะถูกนำมาใช้เพื่อเก็งกำไรในสินทรัพย์และสินค้าวัตถุดิบแทน จนผลักดันให้ราคาทรัพย์สินต่างๆ ปรับสูงขึ้น และรายได้ที่ได้จากการเก็งกำไรก็จะถูกนำมาใช้ซื้อสินค้าและบริการในภาวะที่การผลิตชะลอหรือยังไม่ขยายตัว ทำให้ราคาสินค้าในประเทศปรับสูงขึ้น และจะปรับสูงขึ้นอย่างรุนแรง ถ้าการเก็งกำไรมีมากและสภาพคล่องมีมาก ปัจจุบันเศรษฐกิจโลกมีปริมาณเงินหรือสภาพคล่องเป็นจำนวนมากอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ดังนั้นปัญหาเงินเฟ้อรุนแรงจึงเป็นสิ่งที่รออยู่ข้างหน้า
ดังนั้นเมื่อมองไปข้างหน้า ความท้าทายต่อการทำหน้าที่ของธนาคารกลางจึงมีค่อนข้างมาก โดยเฉพาะในประเทศอุตสาหกรรมธนาคารกลางต้องรักษาความเชื่อมั่นของตลาดเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ปัญหาหนี้ที่มีอยู่นำไปสู่การเกิดวิกฤต ขณะที่ในประเทศตลาดเกิดใหม่รวมถึงประเทศไทยธนาคารกลางก็ต้องหลีกเลี่ยงไม่ให้เศรษฐกิจเกิดวิกฤต แต่ที่ทำให้น่าเป็นห่วงมากขึ้นก็คือ ขณะที่เงินทุนไหลเข้าจะเป็นปัญหาระดับโลกที่จะมีขนาดใหญ่และรุนแรงกว่าในอดีต แต่เครื่องมือที่ธนาคารกลางมีและสามารถที่จะใช้ดูแลเศรษฐกิจ เช่น อัตราดอกเบี้ย อัตราแลกเปลี่ยน รวมถึงมาตรการกำกับดูแลสถาบันการเงินในเชิงระบบยังเป็นเครื่องมือชุดเดิมที่อาจมีความพร้อมและประสิทธิภาพน้อยเมื่อเทียบกับปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ดังนั้นการทำหน้าที่ของธนาคารกลางโดยเฉพาะนโยบายการเงินในระยะต่อไปคงต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปมากพอสมควร เพื่อให้ทันกับความท้าทายที่รออยู่ ซึ่งจุดเริ่มต้นที่สำคัญในเรื่องนี้ก็คือความไม่ประมาท การตระหนักถึงปัญหา และการยอมรับการเปลี่ยนแปลงที่จะตามมา
________________
* โดย ดร.นริศ ชัยสูตร อธิบดีกรมธนารักษ์ วารสารธนาคารอาคารสงเคราะห์ราย 3 เดือน ฉบับเดือนกรกฎาคม-กันยายน 2555
กลุ่มข้อมูลองค์กร
สำนักกรรมการผู้จัดการใหญ่