สรุปภาวะเศรษฐกิจ
ข้อมูลเดือนมกราคม 2556 จากตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน จะเห็นว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคมีค่าเพิ่มขึ้น ในขณะที่ภาคการผลิตค่อนข้างคงที่ เนื่องจากเพิ่งเริ่มต้นปีหลังจากที่ได้ทยอยเร่งการผลิตเป็นจำนวนมากไปก่อนหน้านั้นแล้ว จึงทำให้การผลิตค่อนข้างทรงตัวไม่ต่างจากเดือนที่ผ่านมาเท่าไรนัก ในขณะที่ดุลการค้ามีค่าเป็นลบ ตามการนำเข้าที่มีการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ในขณะเดียวกันภาวะการเงินยังทรงตัวไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงมากนัก โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
1. ดัชนีราคาผู้บริโภค
จากตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน จะเห็นว่าดัชนีราคาผู้บริโภคในเดือนมกราคมมีค่า104.4 มีค่าเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนธันวาคมที่มีค่า 104.3 เพราะสินค้าในหมวดอาหารสำเร็จรูปยังมีค่าที่สูง ในขณะที่ราคาน้ำมันมีความผันผวนและราคาสูงขึ้นมาเล็กน้อย อย่างไรก็ตามยังมีมาตรการภาครัฐในการช่วยทำให้ดัชนีราคาผู้บริโภคไม่ให้ปรับตัวสูงขึ้นไปมาก ซึ่งต้องติดตามในเรื่องของราคาน้ำมัน ที่ยังมีความไม่แน่นอน และอาจจะส่งผลต่อดัชนีราคาผู้บริโภคได้อย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้นดัชนีราคาผู้บริโภคในเดือนมกราคมจึงมีค่าเพิ่มขึ้นมาเมื่อเทียบกับเดือนธันวาคมตามตารางที่ปรากฏ
2. ภาวะการผลิต
จากดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมและอัตราการใช้กำลังการผลิตในตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน จะเห็นได้ว่าดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมในเดือนมกราคมมีค่า 178.18 ลดลงจากเดือนธันวาคมที่มีค่า179.23 และอัตราการใช้กำลังการผลิตในเดือนมกราคมมีค่าร้อยละ 67.05 เพิ่มขึ้นจากเดือนธันวาคมที่มีค่าร้อยละ 63.50 โดยสาเหตุที่ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมมีค่าลดลงแต่อัตราการใช้กำลังการผลิตมีค่าเพิ่มขึ้น เนื่องจากในช่วงก่อนหน้านั้นมีคำสั่งซื้อจากต่างประเทศเข้ามา เพราะเข้าสู่ช่วงเทศกาลต่างๆ ในช่วงปลายปี จึงทำให้ผู้ประกอบการเร่งการผลิตเพื่อให้ทันกับความต้องการของลูกค้า ส่งผลทำให้การผลิตในเดือนนี้ค่อนข้างที่จะทรงตัวไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดือนที่แล้วมากนัก ในขณะเดียวกันผู้ประกอบการยังจำเป็นต้องติดตามในเรื่องของราคาน้ำมันอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันความผันผวนที่จะเกิดขึ้น และควรจะต้องเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ เพื่อรองรับความเสี่ยง และเตรียมแผนรองรับสถานการณ์ในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของต้นทุนราคาน้ำมันและความผันผวนของค่าเงินบาทด้วย ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าวส่งผลทำให้ภาวะการผลิตในเดือนนี้ลดลงเล็กน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนที่แล้ว
3. ภาวะการค้า
ดุลการค้าในเดือนมกราคมมีค่า -2,820.60 จะเห็นว่าลดลงจากเดือนธันวาคมที่มีค่า 283.20 และดุลบัญชีเดินสะพัดในเดือนมกราคมมีค่า -2,236.80 ลดลงจากเดือนธันวาคมที่มีค่า 730.48 จะเห็นได้ว่าดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดมีค่าลดลง โดยดุลการค้ากลับมามีค่าเป็นลบ เนื่องจากการนำเข้ามีการขยายตัวสูงขึ้น เพราะผู้ผลิตเร่งนำวัตถุดิบเข้ามาเพื่อใช้ในการผลิตสินค้า จึงทำให้ดุลการค้าปรับตัวลดลงไป แต่ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะเป็นการนำเข้าเพื่อใช้เป็นปัจจัยในการผลิต ในขณะที่ดุลบัญชีเดินสะพัดก็มีค่าเป็นลบตามดุลการค้า แต่ยังไม่น่าเป็นห่วงเพราะยังมีเงินไหลเข้าประเทศอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามยังมีความจำเป็นต้องเฝ้าติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจต่างๆ อย่างใกล้ชิด ทั้งในเรื่องของค่าเงินบาทรวมไปถึงยังมีปัจจัยลบอื่นๆ ที่เป็นปัญหาสำคัญที่อาจทำให้เศรษฐกิจของประเทศเกิดการชะลอตัว และจากปัจจัยต่างๆ ดังที่ได้กล่าวไปแล้วทำให้ภาวะการค้าในเดือนนี้มีค่าลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า
4. ภาวะการเงิน
ตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงินแสดงได้ว่า เงินฝากเดือนธันวาคมมีค่า 10,219.90 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนพฤศจิกายนที่มีค่า 10,156.38 พันล้านบาท และเงินให้สินเชื่อในเดือนธันวาคมมีค่าเป็น 11,277.74 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนพฤศจิกายนที่มีค่า 11,209.08 พันล้านบาท ซึ่งจะเห็นว่าปริมาณเงินฝากและเงินให้สินเชื่อมีค่าเพิ่มขึ้น สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะธนาคารพาณิชย์ยังมีการแข่งขันในเรื่องการระดมเงิน ทำให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากในตลาดมีอัตราที่สูง ส่งผลทำให้ประชาชนยังคงออมเงินอยู่ต่อไป สำหรับการปล่อยสินเชื่อมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากธนาคารเริ่มเร่งการปล่อยสินเชื่อหลังจากที่เข้าสู่ช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีที่ต้องเร่งทำเป้าให้ได้ตามแผนที่วางไว้ ทำให้การปล่อยสินเชื่อจึงมีการปรับตัวสูงขึ้นมา อย่างไรก็ตามผลของภาวะเศรษฐกิจที่ยังฟื้นตัวได้อย่างไม่เต็มที่หลังจากที่มีผลกระทบจากหลายๆ ปัจจัย จึงทำให้ภาวะการฝากเงินและการให้สินเชื่อยังทรงตัวอยู่ต่อไป
ตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน
|
รายละเอียด |
ตุลาคม 55 |
พฤศจิการยน 55 |
ธันวาคม 55 |
มกราคม 55 |
| ดัชนีราคาผู้บริโภค |
104.2 |
103.9 |
104.3 |
104.4 |
| ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม |
170.95 |
188.05 |
179.23 |
178.18 |
| อัตราการใช้กำลังการผลิต |
68.35 |
68.95 |
63.50 |
67.05 |
| ดุลการค้า |
-145.60 |
627.14 |
283.20 |
-2,820.60 |
| ดุลบัญชีเดินสะพัด |
-199.42 |
392.39 |
730.48 |
-2,236.80 |
| เงินฝาก |
10,091.15 |
10,156.38 |
10,219.90 |
n.a. |
| เงินให้สินเชื่อ |
11,038.63 |
11,209.08 |
11,277.74 |
n.a. |
ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย
หมายเหตุ: ดัชนีราคาผู้บริโภค มีปีฐานคือ 2545 เงินฝาก/เงินให้สินเชื่อ มีหน่วยเป็น พันล้านบาท
อัตราการใช้กำลังการผลิต มีหน่วยเป็น ร้อยละ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม มีปีฐานคือ 2543
ดุลการค้า ดุลบัญชีเดินสะพัด มีหน่วยเป็น ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา
ปัจจัยที่ต้องติดตามในภาวะเศรษฐกิจโลกปัจจุบัน*
จากการประชุมผู้นำประเทศอุตสาหกรรมหลักเจ็ดประเทศ หรือ กลุ่ม G7 ซึ่งถือเป็นกลุ่มเศรษฐกิจที่มีอิทธิพลต่อการกำหนดนโยบายเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจโลกขณะนี้มากที่สุด และตั้งแต่วิกฤติเศรษฐกิจโลกประทุขึ้นเมื่อปี 2008 กลุ่ม G7 ได้มีบทบาทสำคัญในการหาแนวทางแก้ไขปัญหา และถือได้ว่าประสบความสำเร็จระดับหนึ่ง เพราะไม่ได้มีวิกฤติแบบกรณีธนาคารเลห์แมนบราเดอร์ประทุขึ้นอีก อย่างไรก็ตามปัญหาจากวิกฤติเศรษฐกิจยังไม่หมดและได้ยืดเยื้อมาถึงปัจจุบัน ในรูปของปัญหาหนี้ของทางการทั้งในสหรัฐอเมริกาและยุโรป ทำให้เศรษฐกิจประเทศอุตสาหกรรมหลักส่วนใหญ่ยังไม่สามารถขยายตัวได้ดี และมีปัญหาการว่างงานที่สูงมาก ขณะเดียวกันบทบาททางนโยบายของกลุ่ม G7 ก็ดูลดน้อยลงไป เพราะแต่ละประเทศมุ่งให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศตนเอง จึงทำให้บทบาทของกลุ่ม G7 ในฐานะผู้นำด้านความคิดในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจโลกได้อ่อนแอลงไปเป็นอย่างมาก
ตัวอย่างล่าสุดก็คือการประชุม G7 ที่กรุงมอสโคว์เมื่อกลางช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา แทนที่กลุ่ม G7 จะให้ความมั่นใจกับตลาดเกี่ยวกับนโยบายที่จะนำไปสู่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก เนื้อหาจากการประชุมกลับมุ่งไปที่การให้การยอมรับนโยบายที่ประเทศในกลุ่ม G7 กำลังได้ดำเนินการและทำอยู่ เพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศตนเอง ทั้งที่นโยบายเหล่านี้ มีผลทางลบต่อประเทศอื่นๆ อย่างล่าสุดที่ประเทศญี่ปุ่นได้ประกาศที่จะอัดฉีดเงินเข้าระบบ เพื่อให้เงินเยนอ่อนค่าลง เพื่อกระตุ้นการส่งออกและเศรษฐกิจภายในประเทศญี่ปุ่นเอง นโยบายดังกล่าวมีความเป็นได้สูงที่จะนำไปสู่การทำนโยบายในลักษณะเดียวกันในประเทศอื่นๆ อีกหลายประเทศ เพื่อรักษาประโยชน์ทางเศรษฐกิจของประเทศตนเองจนมีความกังวลว่าอาจจะทำให้เกิด “สงครามเงินตรา” ตามมา ซึ่งหมายถึงภาวะที่แต่ละประเทศมุ่งจะทำให้ค่าเงินของตนอ่อนลง เพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ
ซึ่งคำแถลงของกลุ่ม G7 ไม่ได้เตือนเรื่องนี้ แต่ได้บอกว่านโยบายเศรษฐกิจของแต่ละประเทศควรมุ่งไปที่เป้าหมายทางเศรษฐกิจของประเทศของตน และเห็นว่าอัตราแลกเปลี่ยนของแต่ละประเทศควรกำหนดตามกลไกตลาด ทำให้ตลาดการเงินสับสน เพราะสิ่งที่ให้ความเห็นกับสิ่งที่ได้เกิดขึ้นไม่ค่อยตรงกัน และในความเห็นเกี่ยวกับการประชุม G7 ที่กรุงมอสโคว์ ได้ชี้บางสิ่งบางอย่างที่ควรจะต้องมีความระมัดระวังมากยิ่งขึ้นเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโลกขณะนี้ ดังนี้
1. เศรษฐกิจโลกขณะนี้กล่าวได้ว่าไม่มีผู้นำที่แท้จริงที่จะขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาในลักษณะของการร่วมมือกันของกลุ่มประเทศหลัก ขณะนี้ค่อนข้างชัดเจนว่าประเทศในกลุ่ม G7 ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างทำ เพื่อแก้ไขปัญหาของตนเอง และไม่สนใจว่าวิธีที่ตนเลือกแก้ไขปัญหา เช่น การอัดฉีดสภาพคล่องที่กำลังท่วมโลกอยู่ขณะนี้จะมีผลกระทบข้างเคียงต่อประเทศอื่นๆ หรือไม่ อย่างไร
2. กลุ่มประเทศ G7 กำลังสนับสนุนซึ่งกันและกันในการใช้การอัดฉีดสภาพคล่องเป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งในทางเศรษฐศาสตร์นโยบายการอัดฉีดสภาพคล่องมีความเสี่ยงที่ทำให้มีการเร่งตัวของราคาสินทรัพย์ในระยะสั้นและอัตราเงินเฟ้อในระยะยาว โดยเฉพาะเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัว และที่ค่อนข้างน่าห่วงก็คือ ความเสี่ยงนี้เป็นสิ่งที่ผู้ทำนโยบายกลุ่มประเทศ G7 ตระหนักดี แต่ก็พร้อมที่จะอัดฉีดสภาพคล่อง เพราะเห็นว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศมีความสำคัญมากกว่าเงินเฟ้อ
3. นโยบายอัดฉีดสภาพคล่องโดยสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น กลุ่มประเทศสกุลเงินยูโร รวมถึงอังกฤษ จะทำให้ตลาดเงินโลกผันผวนมากขึ้น เพราะการเคลื่อนไหวโดยเปรียบเทียบของค่าเงินสกุลหลักต่างๆ จะถูกขับเคลื่อนโดยการไหลเข้าออกของเงินลงทุนในสินทรัพย์สกุลเงินต่างๆ มากกว่าที่จะถูกขับเคลื่อนโดยปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ อันนี้จึงอธิบายว่าทำให้หุ้นในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐอเมริกาปรับตัวสูงขึ้นทั้งๆ ที่ปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกายังไม่ดีมากเท่าไรนัก และทำไมตลาดหุ้นทั่วโลกปรับลดลงทันทีเมื่อมีข่าวว่าธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาอาจลดการอัดฉีดสภาพคล่องลงเร็วกว่าที่เคยคาด อย่างที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้
อย่างไรก็ตามในภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังอ่อนไหวและผันผวนอยู่อย่างนี้ ประเทศไทยและการดำเนินนโยบายภายในประเทศไทยควรต้องระมัดระวังเกี่ยวกับอะไรบ้าง ความเสี่ยงสำคัญจากภาวะตลาดการเงินโลกแบบนี้ต่อเศรษฐกิจก็คือ ผลของความผันผวนของเงินทุนไหลเข้าที่จะมีต่อเศรษฐกิจ ซึ่งจะทำให้การดำเนินนโยบายการเงินในประเทศยากขึ้นจากกระแสเงินทุนไหลเข้าออกที่อาจรุนแรง สร้างแรงกดดันต่อค่าเงินบาท ขณะที่สภาพคล่องในประเทศที่มีมากจากเงินทุนไหลเข้า ก็จะสร้างแรงกดดันให้ธนาคารพาณิชย์เร่งปล่อยสินเชื่อนำไปสู่การใช้จ่ายอย่างเกินตัวของเศรษฐกิจ ทำให้ราคาสินทรัพย์และอัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้นไป และจะมีการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นในสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในขณะนี้นโยบายการเงินควรจะดำเนินการอย่างไร ซึ่งในเรื่องนี้อยากจะให้ข้อสังเกตไว้สองข้อดังนี้
1. แรงกดดันต่อค่าเงินจากเงินทุนไหลเข้าจะทำให้ผู้ทำนโยบายอยากแทรกแซงค่าเงิน เพื่อชะลอการแข็งค่า หรืออยากลดอัตราดอกเบี้ย โดยหวังผลว่าส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงจะช่วยในการชะลอเงินทุนไหลเข้า หรืออาจไปถึงการใช้มาตรการควบคุมเงินทุนไหลเข้าอย่างที่เคยเกิดขึ้น แต่สิ่งหนึ่งที่ได้บทเรียนมาจากอดีตแล้วก็คือ แนวทางทั้งสามจะไม่สามารถหยุดการไหลเข้าของเงินทุนต่างประเทศได้ เพราะปริมาณสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจโลกขณะนี้มีเป็นจำนวนมาก ขณะที่เงินทุนที่ไหลเข้าก็ถูกขับเคลื่อนโดยปัจจัยด้านการเติบโตของเศรษฐกิจ และด้านความเสี่ยงของการลงทุนเป็นสำคัญ ตรงกันข้ามการแทรกแซงค่าเงินไม่ให้แข็งค่าอาจสร้างแรงจูงใจให้มีเงินทุนไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เพราะแรงจูงใจที่จะทำกำไรจากค่าเงินที่จะแข็งค่า เมื่อทางการหยุดแทรกแซง ดังนั้นสิ่งที่ควรพิจารณาก็คือ อัตราแลกเปลี่ยนควรปรับตัวตามภาวะตลาดให้ได้มากที่สุด เพราะเมื่ออัตราแลกเปลี่ยนปรับเข้าสู่ระดับดุลยภาพได้เร็ว การแข็งค่าของเงินก็จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องได้ยาก
2. เงินทุนไหลเข้าจะสร้างความเสี่ยงต่อการเกิดฟองสบู่ในระบบเศรษฐกิจ จากการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน โดยเฉพาะในหุ้นและอสังหาริมทรัพย์ที่ขณะนี้ก็เป็นประเด็นที่ผู้ร่วมตลาดพูดถึงกันมากจากสัญญาณที่นักธุรกิจเริ่มเห็น ดังนั้นทางการไม่ควรชะล่าใจในเรื่องนี้ แต่ควรพิจารณาดำเนินการในสิ่งที่ควรทำแต่เนิ่นๆ โดยให้เริ่มค่อยๆ ทำจากการดำเนินนโยบายจากเบาไปหาหนัก โดยเฉพาะมาตรการกำกับดูแลการขยายสินเชื่อของสถาบันการเงินทั้งระบบ ซึ่งจะเป็นการแสดงความระมัดระวังตามสถานการณ์ แต่ถ้าทางการไม่ทำหรือทำช้า การดูแลความเสี่ยงของปัญหาฟองสบู่ก็จะยิ่งยากมากขึ้นจนอาจจะทำให้เกิดปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งประเทศไทยก็เคยได้เกิดขึ้นมาแล้วอย่างเช่นในอดีตที่ผ่านมา
ดอกเบี้ยนโยบายกับผลกระทบที่มีต่อตราสารหนี้
ในช่วงที่ผ่านมาคงไม่มีข่าวทางเศรษฐกิจเรื่องใดที่ร้อนแรงไปกว่าความคิดเห็นที่แตกต่างกันในด้านอัตราดอกเบี้ยนโยบายของประเทศไทยระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังที่เห็นว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (โดยคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง.) ควรปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 2.75% ต่อปี ให้อยู่ในระดับที่ต่ำลง เพื่อชะลอการไหลเข้าของกระแสเงินลงทุนต่างชาติ อันเป็นสาเหตุที่ทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องไปแล้วประมาณ 2.4% นับตั้งแต่ต้นปี ในขณะที่ฝ่ายของ ธปท. กลับมองว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายไม่ใช่สาเหตุหลักที่ดึงดูดให้เกิดการไหลเข้าของเงินทุนต่างชาติ และการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจำเป็นต้องพิจารณาถึงปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ ประกอบเข้าด้วยกัน โดยไม่ได้ให้น้ำหนักไปที่เรื่องของอัตราแลกเปลี่ยนเพียงอย่างเดียว ซึ่งความคิดเห็นที่แตกต่างกันนี้ส่งผลต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดการเงินของไทย โดยเฉพาะในส่วนของตลาดตราสารหนี้ และเมื่อมาลองพิจารณาดูว่าแท้ที่จริงแล้วอัตราดอกเบี้ยนโยบายมีผลอย่างไรต่อตลาดตราสารหนี้บ้าง
ดอกเบี้ยนโยบาย หรือ Policy Rate ในความเป็นจริงแล้วหมายถึงอัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารกลางของแต่ละประเทศกำหนดขึ้นเป็นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง โดยอัตราดอกเบี้ยอื่นๆ ภายในประเทศไม่ว่าจะเป็นดอกเบี้ยเงินกู้ ดอกเบี้ยเงินฝาก หรือแม้แต่ผลตอบแทนจากการลงทุนในพันธบัตร มีแนวโน้มจะขยับตามการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยนโยบายดังกล่าว สำหรับประเทศไทย ปัจจุบันกำหนดให้อัตราดอกเบี้ยสำหรับธุรกรรมการซื้อคืนพันธบัตร 1 วันของ ธปท. (R/P 1 Day) เป็นตัวแทนของดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งโดยหลักการแล้ว คณะกรรมการนโยบายการเงินมักจะดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย (ลดดอกเบี้ยให้ต่ำ) ในภาวะที่เศรษฐกิจตกต่ำ หรือในช่วงที่เงินเฟ้อภายในประเทศลดต่ำลง เพื่อเป็นการช่วยกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
ในทางกลับกันก็จะใช้นโยบายการเงินแบบตึงตัว (เพิ่มดอกเบี้ยให้สูงขึ้น) ในช่วงภาวะที่เศรษฐกิจร้อนแรงจนระดับของราคาสินค้าสูงขึ้น และระดับเงินเฟ้อภายในประเทศสูงขึ้น โดยในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินแต่ละครั้ง ซึ่งจะมีการประชุมทุกๆ 6 สัปดาห์ หรือปีละ 8 ครั้ง จะมีการหารือและพิจารณาถึงอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจควบคู่ไปกับอัตราเงินเฟ้อ และในบางครั้งอาจมีการพิจารณาปัจจัยด้านการเมืองควบคู่กันไปด้วย และไม่ว่าผลการประชุมจะออกมาเป็นอย่างไรก็มักจะมีผลต่อดอกเบี้ยประเภทอื่นๆ ที่มีความเกี่ยวข้องกับประชาชนหรือผู้ลงทุนด้วยเช่นกัน
ยกตัวอย่างเช่น หาก กนง. มีมติปรับดอกเบี้ยนโยบายให้สูงขึ้นจากระดับเดิม ก็จะมีผลทำให้ดอกเบี้ยเงินฝาก ดอกเบี้ยเงินกู้ หรือผลตอบแทน (Yield) จากการลงทุนในตราสารหนี้ขยับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย แต่หาก กนง. มีมติปรับดอกเบี้ยนโยบายให้ต่ำลง ดอกเบี้ยประเภทอื่นๆ ก็มีแนวโน้มจะขยับตัวลดลงด้วยเช่นกัน และหาก กนง. มีมติให้คงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเดิม ก็มักจะไม่มีผลต่อดอกเบี้ยประเภทอื่นๆ หรือ Yield ของการลงทุนในตราสารหนี้
ทั้งนี้อาจจะพิจารณาผลของการปรับดอกเบี้ยนโยบายที่จะมีต่อประชาชนหรือผู้ลงทุนโดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มด้วยกัน คือ
1) กลุ่มของผู้ฝากเงิน
2) กลุ่มของผู้ที่ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์
3) กลุ่มของผู้ที่ลงทุนในตลาดตราสารหนี้
เริ่มจากกลุ่มของผู้ฝากเงินที่มีแนวโน้มจะได้รับดอกเบี้ยเงินฝากในอัตราที่เพิ่มขึ้นหรือลดลง ตามการเปลี่ยนแปลงของดอกเบี้ยนโยบาย โดยหากมีการปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย อาจจะส่งผลกระทบต่อผู้ฝากเงินในการที่จะได้รับดอกเบี้ยเงินฝากในระดับที่ต่ำลง แต่ในทางกลับกันจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่ทำการกู้ยืมเงินที่มีแนวโน้มจะเสียต้นทุนของการกู้ยืมในระดับที่ถูกลงด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้แล้วการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายยังส่งผลในเชิงบวกต่อการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์อีกด้วย เนื่องจากกลุ่มของผู้ฝากเงินมีแนวโน้มที่จะโยกย้ายเงินออมจากที่เคยฝากเอาไว้กับธนาคารพาณิชย์ไปสู่ช่องทางการลงทุนประเภทอื่นๆ ที่ให้ผลตอบแทนในระดับที่ดีกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก โดยในจำนวนนี้อาจเป็นไปได้ทั้งการเข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ด้วยตนเอง หรือการลงทุนผ่านกองทุนรวม ซึ่งล้วนแต่ส่งผลในเชิงบวกต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์
อย่างไรก็ตามหากมีการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้สูงขึ้น กลุ่มของผู้ฝากเงินจะได้รับประโยชน์จากดอกเบี้ยเงินฝากที่มีแนวโน้มจะเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ผู้กู้ยืมเงินมีแนวโน้มจะได้รับผลกระทบจากต้นทุนของการกู้ยืมที่เพิ่มขึ้น และในทางทฤษฏียังพบว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายจะส่งผลในเชิงลบต่อการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ โดยนักลงทุนมีแนวโน้มที่จะนำเงินออมที่มีอยู่ไปฝากไว้กับธนาคารพาณิชย์เพื่อรับดอกเบี้ยในอัตราที่สูงขึ้น มากกว่าที่จะนำมาซื้อหุ้นหรือกองทุนรวมที่ถือว่ามีความเสี่ยงสูงมากกว่าการฝากเงิน
แต่สำหรับการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ ผลตอบแทนจากการลงทุน (Yield) มักจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกันกับดอกเบี้ยนโยบาย โดยในช่วงที่ดอกเบี้ยนโยบายมีการปรับตัวลดลงก็จะมีผลทำให้ Yield ของตราสารหนี้ปรับตัวลดลงตามไปด้วย กรณีเช่นนี้จะส่งผลดีต่อนักลงทุนที่ถือครองตราสารหนี้ไว้ในมืออยู่ก่อนแล้ว เนื่องจาก Yield ที่ลดลงจะหมายถึงการที่ราคาของตราสารหนี้ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้เนื่องมาจาก Yield และราคาของตราสารหนี้เคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้ามกัน หาก Yield ลดลง ราคาตราสารหนี้จะเพิ่มขึ้น และหาก Yield เพิ่มขึ้น ราคาตราสารหนี้จะลดลง แต่จะเป็นผลในเชิงลบต่อผู้ที่กำลังจะเริ่มเข้ามาลงทุนในตลาดตราสารหนี้ เนื่องจากจะได้รับผลตอบแทน (Yield) ในระดับที่ต่ำลง หรือในอีกความหมายหนึ่งก็คือต้องเสียเงินซื้อตราสารหนี้ในราคาที่แพงขึ้นนั่นเอง
ในทางตรงกันกลับกันหากเป็นช่วงที่ดอกเบี้ยนโยบายมีการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น จะเป็นผลดีต่อผู้ที่กำลังจะเริ่มเข้ามาลงทุนในตลาดตราสารหนี้ เนื่องจากจะได้รับผลตอบแทน (Yield) ในระดับที่สูงขึ้น หรือในอีกความหมายหนึ่งก็คือสามารถซื้อตราสารหนี้ได้ในราคาที่ถูกลง แต่จะเป็นผลในเชิงลบต่อนักลงทุนที่ถือครองตราสารหนี้ไว้ในมืออยู่ก่อนหน้านั้นแล้ว เนื่องจากตราสารหนี้ที่ถืออยู่นั้นจะมีราคาที่ลดน้อยลง จะเห็นได้ว่าการตัดสินใจด้านดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย ล้วนแต่มีผลต่อประชาชนผู้ฝากเงิน ผู้กู้เงิน รวมไปถึงผู้ลงทุนทั้งในตลาดหลักทรัพย์และตลาดตราสารหนี้ ดังนั้นจึงอาจถือได้ว่าปัจจัยด้านอัตราดอกเบี้ย เป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่ต้องให้ความสำคัญและต้องติดตามกันอย่างใกล้ชิดอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา
_________________
*โดย ดร.บัณฑิต นิจถาวร หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2556
กลุ่มข้อมูลและวางแผนสื่อสารองค์กร
ฝ่ายสื่อสารองค์กร