สรุปภาวะเศรษฐกิจ
ข้อมูลเดือนเมษายน 2556 จากตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน จะเห็นว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคมีค่าเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ในขณะที่ภาคการผลิตปรับตัวลดลง เนื่องจากในเดือนนี้มีวันหยุดทำการมากประกอบกับได้มีการเร่งการผลิตไปมากแล้วในช่วงก่อนหน้าจึงทำให้การผลิตมีการปรับตัวลดลงมา ในขณะที่ดุลการค้ายังมีค่าเป็นลบ ตามการส่งออกที่มีการขยายตัวลดลงไป ในขณะเดียวกันภาวะการเงินยังทรงตัวไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงมากนัก โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
1. ดัชนีราคาผู้บริโภค
จากตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน จะเห็นว่าดัชนีราคาผู้บริโภคในเดือนเมษายนมีค่า104.9 มีค่าเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนมีนาคมที่มีค่า 104.7 เพราะสินค้าในหมวดอาหารสำเร็จรูปยังทรงตัว แต่สินค้าจำพวกพืช ผัก มีการปรับตัวสูงขึ้นตามผลผลิตที่ออกมาน้อยลง ในขณะที่ราคาน้ำมันมีความผันผวนและราคายังไม่เปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตามยังมีมาตรการภาครัฐในการช่วยทำให้ดัชนีราคาผู้บริโภคไม่ให้ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งต้องติดตามในเรื่องของราคาน้ำมันที่ยังมีความไม่แน่นอน และอาจจะส่งผลต่อดัชนีราคาผู้บริโภคได้อย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้นดัชนีราคาผู้บริโภคในเดือนเมษายนจึงมีค่าเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนมีนาคมตามตารางที่ปรากฏ
2. ภาวะการผลิต
จากดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมและอัตราการใช้กำลังการผลิตในตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน จะเห็นได้ว่าดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมในเดือนเมษายนมีค่า 173.15 ลดลงจากเดือนมีนาคมที่มีค่า 182.50 และอัตราการใช้กำลังการผลิตในเดือนเมษายนมีค่าร้อยละ 65.10 ลดลงจากเดือนมีนาคมที่มีค่าร้อยละ 67.33 โดยสาเหตุที่ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมและอัตราการใช้กำลังการผลิตมีค่าลดลง เนื่องจากในเดือนเมษายนมีวันหยุดทำการค่อนข้างมาก จึงทำให้ผู้ประกอบการสามารถผลิตสินค้าได้ลดลง อีกทั้งผู้ประกอบการก็ได้มีการเร่งการผลิตสินค้าเป็นจำนวนมากไปในช่วงก่อนหน้านั้นแล้ว ส่งผลทำให้การผลิตในเดือนนี้ปรับตัวลดลง ในขณะเดียวกันผู้ประกอบการยังจำเป็นต้องติดตามในเรื่องของราคาน้ำมันอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันความผันผวนที่จะเกิดขึ้น และควรจะต้องเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ เพื่อรองรับความเสี่ยง และเตรียมแผนรองรับสถานการณ์ในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของต้นทุนราคาน้ำมันและความผันผวนของค่าเงินบาทด้วย ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าวส่งผลทำให้ภาวะการผลิตในเดือนนี้ลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนที่แล้ว
3. ภาวะการค้า
ดุลการค้าในเดือนเมษายนมีค่า -1,619.75 จะเห็นว่าลดลงจากเดือนมีนาคมที่มีค่า 2,025.20 และดุลบัญชีเดินสะพัดในเดือนเมษายนมีค่า -3,361.29 ลดลงจากเดือนมีนาคมที่มีค่า 1,935.89 จะเห็นได้ว่าดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดมีค่าลดลง และดุลการค้ากลับมามีค่าเป็นลบ เนื่องจากการส่งออกมีการขยายตัวที่ลดลง ในขณะที่ดุลบัญชีเดินสะพัดก็มีค่าเป็นลบตามดุลการค้า แต่อย่างไรก็ตามยังไม่น่าเป็นห่วงเท่าไรนัก เนื่องจากมีเงินไหลเข้าประเทศอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังมีความจำเป็นต้องเฝ้าติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจต่างๆ อย่างใกล้ชิด ทั้งในเรื่องของค่าเงินบาทรวมไปถึงยังมีปัจจัยลบอื่นๆ ที่เป็นปัญหาสำคัญที่อาจทำให้เศรษฐกิจของประเทศเกิดการชะลอตัว และจากปัจจัยต่างๆ ดังที่ได้กล่าวไปแล้วทำให้ภาวะการค้าในเดือนนี้มีค่าลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า
4. ภาวะการเงิน
ตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงินแสดงได้ว่า เงินฝากเดือนมีนาคมมีค่า 10,408.27 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ที่มีค่า 10,330.72 พันล้านบาท และเงินให้สินเชื่อในเดือนมีนาคมมีค่าเป็น 11,797.74 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ที่มีค่า 11,587.62 พันล้านบาท ซึ่งจะเห็นว่าปริมาณเงินฝากและเงินให้สินเชื่อมีค่าเพิ่มขึ้น สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะธนาคารพาณิชย์ยังมีการแข่งขันในเรื่องการระดมเงินอย่างต่อเนื่อง ทำให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากในตลาดมีอัตราที่สูง ส่งผลทำให้ประชาชนยังคงออมเงินอยู่ต่อไป สำหรับการปล่อยสินเชื่อมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากธนาคารเร่งการปล่อยสินเชื่อหลังจากความต้องการสินเชื่อของผู้บริโภคยังมีอยู่เป็นจำนวนมาก ทำให้การปล่อยสินเชื่อยังมีทิศทางที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามผลของภาวะเศรษฐกิจที่ยังฟื้นตัวได้อย่างไม่เต็มที่หลังจากที่มีผลกระทบจากหลายๆ ปัจจัย จึงทำให้ภาวะการฝากเงินและการให้สินเชื่อยังทรงตัวอยู่ต่อไป
ตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน
|
รายละเอียด |
พฤศจิการยน 55 |
ธันวาคม 55 |
มกราคม 55 |
กุมภาพันธ์ 55 |
| ดัชนีราคาผู้บริโภค |
104.4 |
104.7 |
104.7 |
104.9 |
| ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม |
177.42 |
175.07 |
182.50 |
173.15 |
| อัตราการใช้กำลังการผลิต |
66.37 |
64.85 |
67.33 |
65.10 |
| ดุลการค้า |
-2,820.60 |
574.64 |
2,025.20 |
-1,619.75 |
| ดุลบัญชีเดินสะพัด |
-2,236.80 |
1,568.18 |
1,935.89 |
3,361.29 |
| เงินฝาก |
10,282.56 |
10,330.72 |
10,407.27 |
n.a. |
| เงินให้สินเชื่อ |
11,445.65 |
11,587.62 |
11,797.74 |
n.a. |
ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย
หมายเหตุ: ดัชนีราคาผู้บริโภค มีปีฐานคือ 2545 เงินฝาก/เงินให้สินเชื่อ มีหน่วยเป็น พันล้านบาท
อัตราการใช้กำลังการผลิต มีหน่วยเป็น ร้อยละ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม มีปีฐานคือ 2543
ดุลการค้า ดุลบัญชีเดินสะพัด มีหน่วยเป็น ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา
วิเคราะห์การดำเนินนโยบายการเงินการคลังอย่างมืออาชีพ*
การประชุมร่วมระหว่างกระทรวงการคลังกับธนาคารแห่งประเทศไทยด้วยการประชุมสาธารณะ เพื่อรับฟังความคิดเห็นของภาคเอกชน ต้องถือว่าเป็นวิธีการ คุณภาพ และกระบวนการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของประเทศไทยขณะนี้ ถ้าจะเทียบกับประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียด้วยกันคงมีประเทศไทยประเทศเดียว ที่ผู้นำด้านนโยบายเศรษฐกิจมีข้อคิดเห็นที่ขัดแย้งกันได้อย่างเปิดเผยในทางสาธารณะ จนเป็นข่าวไปทั่วโลก ในขณะที่ประเทศอื่นแม้จะมีความเห็นไม่ตรงกัน แต่ผู้ทำนโยบายก็สามารถบริหารจัดการความแตกต่างได้ โดยไม่เป็นข่าว เพราะตระหนักดีว่า การทำนโยบายเศรษฐกิจเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เป็นเรื่องที่ต้องสร้างความมั่นใจ สร้างความน่าเชื่อถือ ความน่าเชื่อถือนั้นสำคัญ เพราะแค่ประเด็นอัตราดอกเบี้ยจะลดหรือไม่ลดยังมีความขัดแย้งกันถึงขนาดนี้ ทำให้นักลงทุนอาจตั้งคำถามได้ว่าถ้าเศรษฐกิจต้องประสบกับปัญหาหนักๆ หรือใหญ่กว่านี้ เช่น เกิดวิกฤตเศรษฐกิจขึ้นมาจะพึ่งพาการบริหารเศรษฐกิจแบบนี้ได้อย่างไร
ในความเป็นจริงกระทรวงการคลังกับธนาคารแห่งประเทศไทยต้องทำงานและรับผิดชอบร่วมกันในเศรษฐกิจของประเทศ ดังนั้นการทำงานร่วมกันระหว่างนโยบายการคลังและนโยบายการเงินโดยธนาคารแห่งประเทศไทย จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการขับเคลื่อนและการรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจ เพราะในระบบเศรษฐกิจเครื่องมือที่ภาครัฐมีสำหรับใช้ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและรักษาเสถียรภาพก็มีเพียงสององค์กรนี้เท่านั้นดังนี้
1. กระทรวงการคลัง มีหน้าที่การเก็บภาษี การใช้จ่ายของภาครัฐ และการกู้ยืม เป็นเครื่องมือ
2. ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือธนาคารกลางมีนโยบายการเงิน และการกำกับดูแลสถาบันการเงินเป็นเครื่องมือ
เครื่องมือของทั้งสององค์กรนี้กระทบแรงจูงใจทางเศรษฐกิจและนำไปสู่การตัดสินใจในการใช้ทรัพยากรเศรษฐกิจของภาคเอกชน และครัวเรือน ถ้าการใช้เครื่องมือทั้งสองด้าน คือ นโยบายการเงินและนโยบายการคลังไม่ไปด้วยกัน ไม่ประสานกัน ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างทำ การขับเคลื่อนเศรษฐกิจก็จะขาดพลัง ขาดทิศทางชัดเจน ดังนั้นจุดสำคัญจุดแรกที่ต้องเข้าใจก็คือ การทำงานร่วมกันไม่ได้หมายถึงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะต้องยอมอีกฝ่ายหนึ่ง แต่หมายถึงการประสานการใช้เครื่องมือเศรษฐกิจให้ไปในทิศทางที่จะรักษาการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพเหมือนกัน
ภายใต้ความเข้าใจนี้ ประเด็นของการดำเนินนโยบายการเงินการคลังอย่างมืออาชีพจึงมีสามประเด็นที่ต้องติดตามได้แก่
1. หน้าที่ขององค์กร
2. บทบาทของผู้นำองค์กร
3. กระบวนการทำงานร่วมกันอย่างมืออาชีพ
ประเด็นแรก หน้าที่องค์กร ชัดเจนตามที่ได้กล่าวไป ทั้งสององค์กรมีความรับผิดชอบร่วมกันที่ต้องดูแลให้เศรษฐกิจขยายตัวอย่างมีเสถียรภาพ โดยแต่ละองค์กรจะมีพันธกิจ หน้าที่ และความรับผิดชอบที่แตกต่างกันตามเครื่องมือที่มีอยู่ แต่การทำหน้าที่จะอยู่ภายใต้เป้าหมายร่วมเดียวกัน คือ ให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ
ดังนั้นในแง่องค์กรแล้วจำเป็นที่ทั้งสององค์กรจะต้องประสานกันในการทำหน้าที่ แต่เพื่อให้แต่ละองค์กรสามารถให้ความสำคัญกับพันธกิจหลักของงานตามหน้าที่ขององค์กรได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ รูปแบบของการดำเนินนโยบายการเงินการคลังแบบมืออาชีพ ก็คือ ให้ผู้นำทั้งสององค์กรมีความเป็นอิสระที่จะใช้เครื่องมือที่องค์กรของตนเองมีอยู่ภายใต้เป้าหมายการเติบโตของเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพร่วมกัน ดังนั้น ความเป็นอิสระของธนาคารกลางจึงไม่ได้หมายความว่าธนาคารกลางทำงานโดยอยู่ในโลกความคิดของตนเองโดยเอกเทศ หรือวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้ แต่หมายถึงธนาคารกลางมีอิสระที่จะใช้เครื่องมือที่มีอยู่ได้ตามที่เห็นสมควร เช่น ลดหรือขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อผลของการบรรลุเป้าหมายร่วมกันของเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างมีเสถียรภาพ
ปัญหาของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ประเด็นที่ติดตามจึงไม่ใช่ใครมีอิสระหรือไม่มีอิสระ หรือใครแทรกแซงใคร แต่รากเง้าของปัญหาในทุกยุคทุกสมัยถึงปัจจุบันมาจากการไม่มีการกำหนดเป้าหมายร่วมกันอย่างชัดเจนว่า เป้าหมายของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างมีเสถียรภาพคืออะไร และจะมีกระบวนการทบทวนเป้าหมายเหล่านี้บ่อยแค่ไหน เพื่อให้การดำเนินนโยบายเศรษฐกิจตามเครื่องมือและหน้าที่ที่แบ่งกันของทั้งสององค์กรทันเวลากับการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลกที่เกิดขึ้น ปัจจุบันมีความพยายามที่จะมีกระบวนการนี้โดยให้ธนาคารกลางและกระทรวงการคลังกำหนดเป้าหมายเงินเฟ้อประจำปีร่วมกัน แต่จริงๆ แล้วก็เป็นเพียงการสร้างภาพลักษณ์ เพราะไม่มีกระบวนการทำงานหรือหารือร่วมกันอย่างชัดเจน และปัญหาที่เศรษฐกิจเกิดขึ้น โดยเฉพาะความเสี่ยงต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจก็นับวันจะมีขอบเขตกว้างเกินกว่าที่ธนาคารกลางจะให้ความสำคัญเฉพาะแค่เป้าหมายเงินเฟ้อแต่เพียงอย่างเดียว
ประเด็นที่สอง ผู้นำองค์กร คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลาง ทั้งสองคนถือได้ว่าเป็นเสาหลักของความน่าเชื่อถือในนโยบายเศรษฐกิจของประเทศ แต่ผู้นำทั้งสององค์กรมีที่มาที่แตกต่างกัน คนหนึ่งเป็นผู้แทนจากระบบการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนมีความชอบธรรมสูงสุด อีกคนหนึ่งเป็นผู้ทรงอำนาจมากที่สุดในระบบเศรษฐกิจ ตามอำนาจที่กฏหมายให้ไว้กับตำแหน่ง แต่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ดังนั้นทั้งสองผู้นำจึงใหญ่มากทั้งคู่ แต่เมื่อหน้าที่ขององค์กรจะต้องทำงานร่วมกัน เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ทั้งรัฐมนตรีและผู้ว่าการธนาคารกลางจะต้องถือเป็นหน้าที่ที่จะต้องทำงานร่วมกันให้ได้ เพราะถ้าทำไม่ได้ ผู้เสียหายก็คือเศรษฐกิจของประเทศ ดังนั้นต้องทำให้เกิด และเงื่อนไขแรกที่จะทำให้เกิดก็คือ ผู้นำทั้งสององค์กรจะต้องให้เกียรติซึ่งกันและกัน
ดังนั้นจุดที่ต้องตระหนักก็คือต้องแยกระหว่างองค์กรกับตัวบุคคล องค์กรนั้นไม่มีข้อขัดแย้งกันอยู่แล้ว เพราะมีงานตามหน้าที่ที่ต้องทำ แต่ที่มีข้ดขัดแย้งกันก็เพราะผู้นำองค์กรมีความเห็นแตกต่างกัน และไม่สามารถลดความแตกต่างลงได้ ความเห็นแตกต่างเป็นเรื่องปกติในการทำนโยบายเศรษฐกิจ แต่ความเป็นมืออาชีพจะอยู่ที่การมีกระบวนการการทำงานที่สามารถใช้ความคิดที่แตกต่างให้เป็นประโยชน์ และนำไปสู่การตัดสินใจที่พิจารณาแล้วว่าเหมาะที่สุด และควรทำที่สุด แม้จะไม่สามารถบอกได้ว่าดีที่สุดแล้ว
ประเด็นที่สาม คือ กระบวนการทำงานที่จะลดความแตกต่างอย่างมืออาชีพ การตัดสินใจด้านนโยบายเศรษฐกิจ เป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ต้องอาศัยความรู้ ประสบการณ์ และความสามารถในการไตร่ตรอง (Judgment) ทำให้ความเห็นของผู้ทำนโยบายในเรื่องเดียวกันอาจตัดสินใจแตกต่างกัน แม้จะมีข้อมูลชุดเดียวกัน วิธีการลดความแตกต่าง ก็คือ มีกระบวนการทำงานร่วมกันที่เป็นกิจลักษณะ คือ มีเวทีหารือภายในที่ใช้เหตุใช้ผลถกเถียงกันเพื่อนำไปสู่ความเข้าใจร่วมกันและนำไปสู่ทางเลือกด้านนโยบายที่มีเหตุมีผลที่สุด จากนั้นก็ให้เกียรติองค์กรที่รับผิดชอบให้ไปตัดสินใจดำเนินการตามหน้าที่ตามที่เห็นควร ภายใต้เหตุและผลที่ได้หารือกันโดยไม่ก้าวก่าย แต่จะผิดถูกอย่างไร จะทำหรือไม่ทำ ผู้ตัดสินใจต้องพร้อมรับผิดชอบในที่สุด เพราะเป็นหน้าที่ที่ต้องตัดสินใจ ที่สำคัญกระบวนการหารือร่วมกันเพื่อทำนโยบายจะต้องมีวินัยในการรักษาความลับและข้อมูล เพราะนโยบายเศรษฐกิจเป็นเรื่องละเอียดอ่อน จุดนี้ผู้ทำนโยบายมืออาชีพจะให้ความสำคัญมากเพราะเป็นเรื่องของความน่าเชื่อถือ เพื่อให้นโยบายเมื่อประกาศออกมาแล้วมีประสิทธิภาพ
ในขณะที่ของประเทศไทยจุดนี้ยังถือได้ว่าเป็นจุดอ่อนเหมือนจะไม่มีความลับในการทำนโยบาย เป็นข่าวได้ทุกเรื่อง ประเด็นที่ต้องติดตามคือถ้ายังไม่เคารพหรือให้ความสำคัญกับงานที่ทำกับข้อมูลที่ควรจะเป็นความลับ ไม่ควรเป็นข่าว แล้วจะให้ตลาดการเงินเคารพการตัดสินใจด้านนโยบายได้อย่างไร ทั้งหมดนี้จึงชี้ให้เห็นว่ายังมีเรื่องที่ต้องทำอีกมากในเรื่องการดำเนินนโยบายอย่างมืออาชีพที่มีกระบวนการดำเนินนโยบายที่น่าเชื่อถือ เพื่อทำให้การดำเนินนโยบายทางด้านการคลังและการเงินมีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง
วิเคราะห์มาตรการ QE ของญี่ปุ่นกับผลกระทบต่อธุรกิจไทย
ตั้งแต่ต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมาธนาคารกลางญี่ปุ่นได้ประกาศใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงินเชิงปริมาณและคุณภาพ หรือ QQE (Quantitative and Qualitative Easing) เพื่อกระตุ้นให้เกิดเงินเฟ้อ 2% ภายใน 2 ปี สอดคล้องกับนโยบายของคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่น โดยมุ่งขยายฐานเงินเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าผ่านการซื้อพันธบัตรระยะยาวและสินทรัพย์เสี่ยงบางประเภทราว 6-7 ล้านล้านเยนต่อเดือน ต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปี 2014 ได้ส่งผลให้ตลาดหลักทรัพย์ของญี่ปุ่นปรับตัวดีขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง และค่าเงินเยนก็ปรับตัวอ่อนค่าลง ซึ่งมีส่วนสำคัญช่วยให้การส่งออกและจีดีพีไตรมาสแรกของปีนี้ ขยายตัวได้มากกว่าที่หลายฝ่ายประเมินไว้ โดยเศรษฐกิจไตรมาสแรกเติบโตสูงถึง 3.5%
การดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของญี่ปุ่นย่อมมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย เพราะเป็นหนึ่งในสามของตลาดส่งออกสำคัญสุดของไทย คิดเป็นประมาณ 10% ของมูลค่าการส่งออก และยังเป็นนักลงทุนที่มาลงทุนโดยตรงในไทยสูงสุดอีกด้วย
ในขณะที่ดอกเบี้ยระยะยาวของญี่ปุ่นจะลดลงจากการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวของธนาคารกลางญี่ปุ่น ซี่งเหตุการณ์ดังกล่าวจะก่อให้เกิดการเคลื่อนย้ายเงินทุน เพื่อหากำไรจากส่วนต่างผลตอบแทนระหว่างสินทรัพย์ที่อยู่ในรูปสกุลเงินเยนและสกุลเงินกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่รวมไทย และจะส่งผลให้มีเงินทุนไหลเข้ามายังประเทศเหล่านี้ และเงินบาทรวมถึงสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาคก็จะมีแนวโน้มที่แข็งค่าขึ้น แนวโน้มการแข็งค่าของเงินบาทดังกล่าวอาจจะทำให้ผู้ส่งออกและนักลงทุนไทยเกิดความกังวลต่อผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อบรรยากาศการส่งออกและการลงทุนของไทยระยะต่อไป
อย่างไรก็ดี ไทยน่าจะได้รับประโยชน์จากการส่งออกสินค้าขั้นกลางไปยังญี่ปุ่นได้มากขึ้น มากกว่าเสียประโยชน์จากค่าเงินบาทที่แข็งค่า สอดคล้องกับความต้องการนำเข้าสินค้าขั้นกลางของผู้ผลิตญี่ปุ่นที่มีมากขึ้นเพื่อนำไปผลิตสินค้าขั้นปลายสำหรับรองรับการขยายตัวของความต้องการทั้งในประเทศและการส่งออกที่จะเพิ่มมากยิ่งขึ้น ซึ่งหากพิจารณาเฉพาะหมวดสินค้าหลักที่ไทยส่งออกไปยังญี่ปุ่น 4 หมวด ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องจักรกล อาหารแปรรูป และยานยนต์และชิ้นส่วน พบว่ามีเพียงสินค้าในหมวดอาหารแปรรูปเท่านั้นที่เป็นการส่งออกสินค้าขั้นปลายทั้งหมด ในขณะที่สินค้าส่งออกในหมวดอื่นๆ ล้วนเป็นสินค้าขั้นกลางเป็นส่วนใหญ่แทบทั้งสิ้น
การอ่อนค่าของเงินเยนจึงไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกไปยังตลาดอื่นของไทยมากนัก เนื่องจากไทยไม่ได้เป็นคู่แข่งโดยตรงกับญี่ปุ่นในกลุ่มสินค้าส่งออกหลักอันได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องจักรกล ยางและผลิตภัณฑ์ยาง ยานยนต์และส่วนประกอบ เช่น ฮาร์ดดิสก์ซึ่งไทยส่งออกเป็นจำนวนมาก แต่ญี่ปุ่นมีการผลิตเพื่อส่งออกค่อนข้างต่ำ หรือการส่งออกรถยนต์นั่งของไทยที่เน้นตลาดอาเซียนเป็นหลัก ในขณะที่ตลาดหลักส่งออกรถยนต์นั่งของญี่ปุ่นคือสหรัฐอเมริกา เป็นต้น
ความเชื่อมโยงของภาคการผลิตที่แนบแน่นของไทยและญี่ปุ่นในปัจจุบันจะยังเป็นปัจจัยสำคัญที่น่าจะทำให้ญี่ปุ่นยังคงฐานการผลิตในไทยในระยะสั้นถึงกลาง และไม่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยของค่าเงินมากเท่าไรนัก โดยอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่ไทยมีสัดส่วนลงทุนโดยตรงจากญี่ปุ่นค่อนข้างสูง และมีระดับความเกี่ยวข้องภายในห่วงโซ่การผลิตของญี่ปุ่นสูงเช่นกัน หากพิจารณาจากดัชนีกรูเบล-ลอยด์ (Grubel-Lloyd Index) ซึ่งวัดความสัมพันธ์ด้านการค้าจำเพาะ ก็พบว่าไทยมีค่าดัชนีกรูเบล-ลอยด์ในอุตสาหกรรมทั้งสองหมวดค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับฐานการผลิตอื่นของญี่ปุ่นในภูมิภาคอาเซียน โดยค่าดัชนีของไทยในหมวดรถยนต์สูงกว่าทั้งอินโดนีเซียและมาเลเซีย ขณะที่ค่าดัชนีหมวดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าอยู่ระดับสูงเช่นกัน ซึ่งบ่งชี้ถึงลักษณะการเป็นห่วงโซ่อุปทานเดียวกันในอุตสาหกรรมสำคัญของไทยและญี่ปุ่นมากกว่าการเป็นคู่แข่งทางการค้าระหว่างกัน
นอกจากนี้การที่ภูมิภาคอาเซียนได้กลายมาเป็นตลาดสำคัญของสินค้าญี่ปุ่นจะช่วยเสริมบทบาทให้ไทยเป็นแหล่งการผลิตที่สำคัญในการป้อนสินค้าเข้าสู่ตลาดภูมิภาค ทั้งนี้ในฐานะที่ไทยเป็นฐานการผลิตสำคัญของญี่ปุ่น ซึ่งมีความได้เปรียบทั้งในส่วนของภูมิศาสตร์ และมีสาธารณูปโภคพื้นฐานรองรับอย่างพร้อมเพรียง จะเป็นสิ่งสำคัญในการช่วยส่งผลให้นักลงทุนญี่ปุ่นยังคงเลือกการขยายฐานผลิตเข้ามาในไทยอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นการช่วยลดต้นทุนทางการผลิตและการขนส่ง ซึ่งถือได้ว่าเป็นปัจจัยอันสำคัญที่เหนือกว่าปัจจัยค่าเงินซึ่งอาจผันผวนไปตามภาวะเศรษฐกิจ
โดยสรุปในภาพรวมแล้วไทยจะได้รับประโยชน์ทางการค้าจากอุปสงค์ที่ฟื้นตัวของญี่ปุ่น เช่นเดียวกับกระแสเงินลงทุนโดยตรงจากญี่ปุ่นที่น่าจะยังคงไหลเข้ามาตามปัจจัยพื้นฐานที่เอื้ออำนวยและศักยภาพทางเศรษฐกิจที่ดีของไทย ดังนั้นผู้ส่งออกและผู้ประกอบการไทยจึงไม่ควรกังวลมากนักในประเด็นของเงินเยนที่จะอ่อนค่าลงจากมาตรการ QQE เพราะหากเศรษฐกิจญี่ปุ่นสามารถกลับมาขยายตัวได้ดีอีกครั้ง หนึ่งในประเทศที่จะได้รับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจมากที่สุดก็คงน่าจะเป็นประเทศไทยตามเหตุผลต่างๆ ดังกล่าวข้างต้น
______________________
* โดย ดร.บัณฑิต นิจถาวร หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจฉบับวันที่ 20 พฤษภาคม 2556
กลุ่มข้อมูลและวางแผนสื่อสารองค์กร
ฝ่ายสื่อสารองค์กร