หน้าหลัก > บทความเศรษฐกิจ > บทความวิเคราะห์รายงานทางเศรษฐกิจและการเงิน เดือนกันยายน 2557

บทความวิเคราะห์รายงานทางเศรษฐกิจและการเงิน เดือนกันยายน 2557

รายงานภาวะเศรษฐกิจและการเงิน เดือนกรกฎาคม 2557

           ข้อมูลเดือนกรกฎาคม 2557 จากตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน จะเห็นว่าดัชนีราคาผู้บริโภคมีค่าลดลง เพราะสินค้าในหมวดอาหารสำเร็จรูปไม่ได้ปรับตัวลดลงมากเท่าไรนัก ส่วนราคาน้ำมันก็มีความผันผวนและมีราคาที่ทรงตัวไม่เปลี่ยนแปลง ส่วนภาคการผลิตปรับตัวลดลง เนื่องจากการส่งออกมีการหดตัวลงมาตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังมีการฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่ ส่งผลให้ผู้ประกอบการไม่ได้เร่งการผลิตเพิ่มขึ้น จึงทำให้การผลิตในเดือนนี้มีการปรับตัวลดลง ในขณะเดียวกันดุลการค้าไม่น่าเป็นห่วงเท่าไรนัก เนื่องจากยังมีค่าที่เป็นบวก อย่างไรก็ตามภาวะการเงินยังทรงตัวไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงมากนัก โดยปริมาณเงินฝากมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นแต่เงินให้สินเชื่อมีค่าลดลง สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะธนาคารพาณิชย์เริ่มมีการออกแคมเปญทางการเงินใหม่มากขึ้น ส่งผลทำให้ประชาชนได้มีการนำเงินมาฝากเพิ่มขึ้นบ้าง สำหรับการปล่อยสินเชื่อมีการปรับตัวลดลง เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาธนาคารได้มีการทยอยปล่อยสินเชื่อออกไปบ้างแล้ว ทำให้เดือนนี้จึงมีการปรับตัว ลดลงมา

 

ตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน

รายละเอียด

 เมษายน 57

พฤษภาคม 57

มิถุนายน 57

กรกฎาคม 57

ดัชนีราคาผู้บริโภค

107.5

107.9

107.8

107.7

ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม

167.85

170.12

165.40

165.23

อัตราการใช้กำลังการผลิต

60.35

60.42

60.19

59.36

ดุลการค้า

559.14

1,629.49

3,863.13

1,450.19

ดุลบัญชีเดินสะพัด

-643.00

-664.48

1,838.33

-863.63

เงินฝาก

11,277.05

11,202.60

11,232.62

n.a.

เงินให้สินเชื่อ

12,482.39

12,681.76

12,451.38

n.a.

                             ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย
                             หมายเหตุ: ดัชนีราคาผู้บริโภค มีปีฐานคือ 2545  เงินฝาก/เงินให้สินเชื่อ มีหน่วยเป็น พันล้านบาท
                                           อัตราการใช้กำลังการผลิต มีหน่วยเป็น ร้อยละ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม มีปีฐานคือ 2543
                                           ดุลการค้า ดุลบัญชีเดินสะพัด มีหน่วยเป็น ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา

ภาวะอสังหาริมทรัพย์ เดือนกรกฏาคม 2557
     • ด้านอุปทาน
        - ที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เปรียบเทียบ ณ ก.ค. 56 กับ 57 มีรายละเอียดดังนี้

ปี

จำนวน(ยูนิต)

การเติบโต(%)

ณ ก.ค. 56

72,242

NA

ณ ก.ค. 57

63,157

-12.58%

                                                   ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์

       - ประเภทที่อยู่อาศัยที่มีการจดทะเบียน ณ ก.ค. 57 เรียงตามลำดับมีรายละเอียดดังนี้

ประเภท

จำนวน(ยูนิต)

สัดส่วน(%)

อาคารชุด

31,125

49.28

บ้านเดี่ยว

18,893

29.91

ทาวน์เฮ้าส์

7,773

12.31

อาคารพาณิชย์

3,662

5.80

บ้านแฝด

1,704

2.70

รวม

63,157

100.00

                                                   ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์


     • ด้านอุปสงค์
        - การโอนกรรมสิทธิ์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เปรียบเทียบ ณ ก.ค. 56 กับ 57 มีรายละเอียดดังนี้

ปี

จำนวน(ยูนิต)

การเติบโต(%)

ณ ก.ค. 56

95,536

NA

ณ ก.ค. 57

90,764

-4.99%

                                                   ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์

 

       - ประเภทที่อยู่อาศัยที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ ณ ก.ค. 57 เรียงตามลำดับมีรายละเอียดดังนี้

ประเภท

จำนวน(ยูนิต) 

สัดส่วน(%)

อาคารชุด

38,441

42.35

ทาวน์เฮ้าส์

27,352

30.14

บ้านเดี่ยว

15,215

16.76

อาคารพาณิชย์

6,817

7.51

บ้านแฝด

2,939

3.24

รวม

90,764

100.00

                                                   ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์

    

    • สินเชื่อที่อยู่อาศัยปล่อยใหม่บุคคลทั่วไปของสถาบันการเงินทั้งระบบ
       - สินเชื่อที่อยู่อาศัยปล่อยใหม่ ณ ไตรมาส 2 ปี 57 มีจำนวนทั้งสิ้น 140,264 ล้านบาท
         ขยายตัวเพิ่มขึ้น 2.52% จาก ณ ไตรมาส 2 ปี 56 ที่สามารถปล่อยสินเชื่อได้ 136,822 ล้านบาท

    • สินเชื่อที่อยู่อาศัยคงค้างบุคคลทั่วไปของสถาบันการเงินทั้งระบบ
       - สินเชื่อที่อยู่อาศัยคงค้างบุคคลทั่วไป ณ ไตรมาส 2 ปี 57 มีจำนวนทั้งสิ้น 2,675,536 ล้านบาท
         ขยายตัวเพิ่มขึ้น 11.02% จาก ณ ไตรมาส 2 ปี 56 ที่มียอดคงค้างทั้งสิ้นอยู่ที่ 2,409,990 ล้านบาท

    • อัตราดอกเบี้ยที่อยู่อาศัยบุคคลทั่วไปลอยตัวเฉลี่ยของ 6 ธนาคารใหญ่ มีรายละเอียดดังนี้

ปี 57

อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย
6 ธนาคาร

อัตราดอกเบี้ยนโยบาย ธปท.

มกราคม

7.03

2.25

กุมภาพันธ์

7.12

2.25

มีนาคม-พฤษภาคม

7.03

2.00

มิถุนายน

7.09

2.00

 

7.05

2.00

                                    ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
                                    หมายเหตุ: 6 ธนาคาร ประกอบ ธ.อาคารสงเคราะห์, ธ.กสิกรไทย, ธ.กรุงเทพ, 
                                                  ธ.กรุงศรีอยุธยา, ธ.กรุงไทย และ ธ.ไทยพาณิชย์

 

สรุปภาพภาวะอสังหาริมทรัพย์เดือนกรกฎาคม 2557

          ภาพรวมของอุปทานมีการปรับลดลง 12.58% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเกิดจากการชะลอการพัฒนาโครงการของผู้ประกอบการ เนื่องจากปัจจัยลบต่างๆ เช่น ความไม่แน่นอนทางการเมือง ได้ส่งผลทำให้ภาวะเศรษฐกิจมีการชะลอตัวลงไป แต่คาดว่าในช่วงต่อไปน่าจะปรับตัวได้ดีขึ้น หลังจากปัจจัยลบทางการเมืองได้คลี่คลายไปเรียบร้อยแล้ว ในขณะที่ทางด้านอุปสงค์หดตัวลง 4.99% เนื่องจากปัจจัยลบในด้านต่างๆ ยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง เช่น ภาระหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้น การเมืองที่ยังมีความไม่แน่นอน ส่งผลให้ผู้บริโภคชะลอการตัดสินใจซื้อออกไปก่อน ทั้งนี้ที่อยู่อาศัยประเภทอาคารชุดยังมียอดการโอนกรรมสิทธิ์มากที่สุด อย่างไรก็ตามภาพรวมของอสังหาริมทรัพย์น่าจะเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้นหลังจากผู้บริโภคเริ่มมีความมั่นใจมากขึ้น ส่วนสินเชื่อที่อยู่อาศัยก็ยังมีการขยายตัวได้อยู่ ซึ่งมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น 11.02% ณ ไตรมาส 2 ปี 57 ในขณะที่ดอกเบี้ยที่อยู่อาศัยปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 7.05% โดยที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายยังมีค่าเท่าเดิมไม่เปลี่ยนแปลงที่ 2.00%


วิเคราะห์การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยกับเศรษฐกิจโลก*

          ขอนำเสนอสถิติการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยกับเศรษฐกิจโลกมาเปรียบเทียบกัน เริ่มต้นจากปี 1970 ซึ่งได้แบ่งออกเป็นช่วงๆ ดังที่ปรากฏในตาราง

ช่วงปี

เฉลี่ยการขยายตัว
จีดีพีโลกต่อปี(%)

เฉลี่ยการขยายตัว
จีดีพีไทยต่อปี(%)

การขยายตัวของจีดีพีไทย
vs จีดีพีโลก (GDPt/GDPy)

1970-1979

4.48

6.91

1.54

1980-1983

1.95

5.38

2.76

1984-1990

4.00

8.87

2.22

1991-1996

2.85

8.18

2.87

1997-1998

3.35

-5.95

-

1999-2007

4.18

4.98

1.19

2008-2014*

3.00

2.76

0.92

                                           (*ตัวเลข 2014 เป็นตัวเลขคาดการณ์)

          ทั้งนี้ขนาดของเศรษฐกิจนั้นดูจากจีดีพีหรือผลผลิตมวลรวมของประเทศหรือรายได้ของประเทศในกรณีของไทยและรายได้ของโลกต่อปีนั่นเอง ซึ่ยอมรับว่าการวัดดังกล่าวมีข้อท้วงติงอยู่มาก แต่ก็เป็นตัววัดขนาดของเศรษฐกิจที่ดีที่สุดในขณะนี้ สำหรับการขยายตัวของเศรษฐกิจนั้นก็เปรียบเทียบได้กับการวัดว่าขนาดของเค้กโตขึ้นมากหรือน้อยเพียงใด แต่ยิ่งขนาดของเค้กใหญ่ขึ้นมากเท่าไหร่ย่อมจะเป็นประโยชน์กับประชาชนและทำให้การแบ่งเค้กทำได้ง่ายขึ้น ดังนั้นการขยายตัวของจีดีพีจึงเป็นเรื่องที่สำคัญและเป็นเป้าหมายหลักของการบริหารเศรษฐกิจของทุกประเทศ

          พิจารณาดูจากตารางก็จะเห็นว่าเศรษฐกิจไทยในช่วงหลังนี้น่าเป็นห่วงอย่างมาก เพราะเศรษฐกิจไทยในช่วง 2008-2014 หรือประมาณ 7 ปีที่ผ่านมานั้นขยายตัวเฉลี่ยเพียง 2.76% ต่อปีเท่านั้น ในขณะที่เศรษฐกิจโลกขยายตัว 3% ต่อปี แปลว่าเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 40 ปีที่เศรษฐกิจไทยขยายตัวช้ากว่าเศรษฐกิจโลก ทั้งนี้ หากเศรษฐกิจไทยยังจะขยายตัวเท่ากับหรือต่ำกว่าเศรษฐกิจโลก ประเทศไทยก็จะเสี่ยงต่อการเข้าสู่สภาวะ ล้าหลังทางเศรษฐกิจได้ เพราะปัจจุบันจีดีพีของโลกประมาณ 72 ล้านล้านดอลลาร์ และโลกมีประชากรประมาณ 7 พันล้านคน ดังนั้นจีดีพีต่อหัวของชาวโลกจึงคำนวณได้ประมาณ 10,300 ดอลลาร์ต่อปี ในขณะที่จีดีพีต่อหัวของไทยนั้นประมาณ 5,700 ดอลลาร์ต่อปี

          หากจีดีพีไทยขยายตัวเพียง 2.76% แต่จีดีพีโลกขยายตัว 3% ต่อปี รายได้ต่อหัวของคนไทย (คำนวณโดยลบการขยายตัวของประชากรที่ 0.7% ต่อปี) ก็จะเพิ่มประมาณ 2% ต่อปีคือ 114 ดอลลาร์ต่อปี ในขณะที่ จีดีพีต่อหัวของชาวโลกโดยรวมจะเพิ่มขึ้นประมาณ 2% ต่อปี (เพราะประชากรโลกเพิ่ม 1% ต่อปี) เช่นกัน แต่จะหมายความว่ารายได้ต่อหัวของชาวโลกจะเพิ่มขึ้น 206 ดอลลาร์ต่อปี แปลว่าส่วนต่างของรายได้คนไทยกับชาวโลกจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่หากต้องการไม่ให้รายได้คนไทยตกต่ำไปมากกว่านี้เมื่อเทียบกับโลกแล้ว จีดีพีของไทยก็จะต้องขยายตัวประมาณ 4.5% ต่อปี (ในขณะที่ประชากรเพิ่มขึ้นปีละ 0.7%) เพียงเพื่อมิให้เศรษฐกิจไทยจะไม่ได้ถูกทิ้งห่างออกไปอีก

          การขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ 4.5% นั้นเป็นเรื่องง่ายสำหรับประเทศไทยสมัยก่อนวิกฤติเศรษฐกิจเมื่อปี 1997 แต่หลังจากนั้นทำได้ไม่ง่ายนัก เช่นในช่วง 1999-2007 จีดีพีขยายตัวเฉลี่ยเพียง 4.98% ต่อปี ซึ่งถือว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับอดีตที่จีดีพีขยายตัวเกินกว่านั้นมาโดยตลอด แม้ในช่วงที่เศรษฐกิจโลกเคยเชื่องช้าที่สุดในช่วง 1980-1983 (จีดีพีโลกขยายตัวเพียง 1.95% ต่อปี) แต่เศรษฐกิจไทยก็ยังขยายตัวได้เฉลี่ย 5.38% ต่อปี บางคนอาจแย้งว่าช่วง 1999-2007 ก็ขยายตัวได้ดีถึง 4.98% แล้วน่าจะพึงพอใจ ซึ่งก็เห็นด้วยในระดับหนึ่ง แต่หากมองว่าวิกฤติเศรษฐกิจปี 1997-1998 ทำให้จีดีพีหดตัวถึง 12% (ติดลบ 1.4% ในปี 1997 และติดลบ 10.5% ในปี 1998) ในขณะที่เศรษฐกิจโลกขยายตัวไปเกือบ 7% ในช่วง 2 ปีดังกล่าวก็จะเห็นว่าเศรษฐกิจไทยถอยหลังไปเกือบ 20% เมื่อเปรียบเทียบกับเศรษฐกิจโลก แต่ในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจต่อมานั้นก็ไล่ตามอย่างเชื่องช้าคือขยายตัวสูงกว่าเศรษฐกิจโลกเพียง 0.8% ต่อปี แปลว่าจะต้องใช้เวลายาวนานเป็นหลายสิบปีกว่าจะกลับมาทัดเทียมกับสมัยก่อนวิกฤติเศรษฐกิจในปี 1997

          นอกจากนั้นยังมีความเป็นไปได้สูงว่าเศรษฐกิจโลกน่าจะขยายตัวในระดับต่ำใกล้ 3% ต่อปี เช่นนี้ไปอีกนาน หลังจากวิกฤติเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา เพราะเป็นวิกฤติการเงินและปัญหาหนี้สินทั้งของประชาชนและ ของรัฐบาล ประเทศพัฒนาแล้วจะถ่วงการขยายตัวของเศรษฐกิจไปอีกนาน แตกต่างจากสมัยที่เศรษฐกิจโลกขยายตัวโดยนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายอย่างมากในช่วง 1970-1979, 1984-1990 และ 1999-2007 ที่จีดีพีโลกขยายตัวเกิน 4% ต่อปี

จะเห็นว่าปัญหาของไทยนั้นสรุปได้จากคอลัมน์สุดท้ายของตารางคือสมัยก่อนวิกฤติ 1997 จีดีพีไทยขยายตัวได้สูงกว่าจีดีพีโลกประมาณ 1 เท่าตัว แม้ช่วงที่การเมืองไทยย่ำแย่และมีปัญหาความมั่นคงตลอดจนสงครามอินโดจีนในช่วง 1970-1979 เศรษฐกิจไทยก็ยังขยายตัวได้สูงกว่าเศรษฐกิจโลกประมาณ 50% (เศรษฐกิจไทยขยายตัว 6.9% ในขณะที่เศรษฐกิจโลกขยายตัว 4.5% ต่อปี) แต่ในยุคหลังวิกฤติเศรษฐกิจ 1997 นั้นเศรษฐกิจไทยสามารถขยายตัวได้ทัดเทียมกับเศรษฐกิจโลกเท่านั้น ในขณะที่รายได้ต่อหัวชาวโลกสูงกว่าคนไทยเกือบเท่าตัว ดังนั้นการเร่งให้เศรษฐกิจขยายตัวสูงกว่าปัจจุบันอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่างเป็นอย่างมาก

วิเคราะห์การพ้นวิกฤติเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนของยูโรโซน

          ปัญหาหนี้สาธารณะของหลายประเทศในกลุ่มใช้เงินยูโร หรือ Euro Zone ทำให้เศรษฐกิจของกลุ่มเผชิญภาวะถดถอยและชะลอตัวต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2553 และเพิ่งจะเริ่มขยายตัวในไตรมาสที่ 2 ของปี 2556 ที่ผ่านมา ตัวเลขการเติบโตของเศรษฐกิจทำให้หลายฝ่ายเกิดความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจของ Euro Zone ได้ออกจากวิกฤติแล้ว และจะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามแม้ว่าเศรษฐกิจโดยรวมของกลุ่ม Euro Zone จะเริ่มขยายตัว แต่ทว่ายังมีปัญหาโครงสร้างสำคัญในหลายประเทศที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข ทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังเปราะบางและกระจุกตัวเพียงบางประเทศ ประกอบกับความเสี่ยงภายนอกที่เพิ่มขึ้น จึงมีความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจของ Euro Zone จะทรุดตัวลงอีกครั้งหนึ่ง

          ปัญหาโครงสร้างเศรษฐกิจใน Euro Zone เกิดจากการรวมกลุ่มใช้เงินสกุลเดียวกันทุกประเทศสมาชิก แต่ทว่าประเทศสมาชิกยังมีโครงสร้างเศรษฐกิจและศักยภาพในการแข่งขันที่แตกต่างกัน ซึ่งถ้าจะให้เศรษฐกิจของกลุ่มเติบโตไปด้วยกันในระยะยาว ศักยภาพและความสามารถในการแข่งขันของแต่ละประเทศสมาชิกต้องไม่แตกต่างกันมากนัก ทว่าวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นกับ Euro Zone ทำให้พบว่ายังมีประเทศสมาชิกที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขันต่ำกว่าประเทศอื่นๆ มาก เช่น กรีซ โปรตุเกส และสเปน ขณะที่ บางประเทศเช่น เยอรมนี มีโครงสร้างเศรษฐกิจที่เข้มแข็งและมีขีดความสามารถในการแข่งขันอยู่ในระดับแนวหน้าของโลก ดังนั้นการใช้เงินสกุลเดียวกันจึงทำให้เมื่อประเทศใดประเทศหนึ่งเผชิญปัญหาเศรษฐกิจจากความสามารถในการแข่งขันที่ถดถอยลง ก็ไม่สามารถที่จะลดค่าเงิน หรือลดราคาสินค้าเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันได้ จึงเหลือวิธีแก้ไขปัญหาเพียง 2 วิธีคือ ลดต้นทุนการผลิตและปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ซึ่งทั้ง 2 วิธีฟังดูเหมือนจะง่าย แต่ที่จริงยุ่งยากและต้องใช้เวลากว่าจะเห็นผล วิธีแรก คือการลดต้นทุนการผลิต ทำได้โดยการทำให้เศรษฐกิจหดตัวอย่างต่อเนื่อง เพื่อทำให้ราคาปัจจัยการผลิตโดยเฉพาะค่าจ้างลดลง ซึ่งไม่มีประเทศใดจะเลือกใช้วิธีนี้ด้วยความสมัครใจ วิธีที่ 2 คือการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ แม้ว่าจะเป็นไปได้มากกว่า ทว่าก็เป็นมาตรการที่ต้องใช้เวลาและเงินลงทุน ขณะเดียวกันก็อาจจะส่งผลกระทบต่อประชาชนค่อนข้างมากในระยะสั้น เช่น รัฐบาลต้องลดหรือเลิกมาตรการชดเชยราคาต่างๆ อาทิเช่น ราคาพืชผลการเกษตร, ราคาพลังงาน เป็นต้น รวมถึงอาจต้องมีการแก้กฎหมายเพื่อให้ธุรกิจเลิกจ้างได้ง่ายขึ้น เพื่อให้ธุรกิจสามารถเดินหน้าต่อไปได้ ซึ่งมาตรการดังกล่าวจะมีผลทางลบในระยะสั้น คือ ทำให้ราคาพืชผลตกต่ำกระทบต่อรายได้เกษตรกร ราคาน้ำมันสูงขึ้นทำให้ค่าครองชีพเพิ่มขึ้น และการทำให้ธุรกิจเลิกจ้างง่ายขึ้น ก็จะทำให้การว่างงานสูงขึ้น ด้วยผลกระทบดังกล่าว จึงทำให้เกือบทุกประเทศพยายามหลีกเลี่ยงมาตรการเหล่านี้ถ้าไม่เผชิญสถานการณ์รุนแรงจริงๆ

          แม้ว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของ Euro Zone เริ่มเป็นบวกติดต่อกันหลายไตรมาส ทว่าด้วย โครงสร้างเศรษฐกิจที่แตกต่างกันระหว่างประเทศสมาชิกต่างๆ ทำให้การขยายตัวกระจุกอยู่เฉพาะประเทศที่มี ขีดความสามารถในการแข่งขันสูง เช่น เยอรมนี มีอัตราการขยายตัว 0.8% ในไตรมาส 1 ปี 2557 ขณะที่เศรษฐกิจของประเทศที่มีปัญหา เช่น อิตาลี กรีซ และไซปรัส ยังคงหดตัว ล่าสุด IMF ได้ปรับเพิ่มประมาณการเศรษฐกิจของเยอรมนีว่าจะขยายตัว 1.9% ในปี 2557 เพิ่มขึ้นจากคาดการณ์เดิมที่ 1.7% แต่กลับปรับลดอัตราการขยายตัวของทั้ง Euro Zone ลงจาก 1.2% เหลือ 1.1% ในปีนี้

          วิกฤติ Sub-Prime ของสหรัฐอเมริกาในปี 2551 ส่งผลทำให้ระบบสถาบันการเงินของยุโรปรวมถึง Euro Zone อ่อนแอลงมาก ประกอบกับวิกฤติหนี้สาธารณะที่ปะทุขึ้นในปี 2553 ยิ่งทำให้ปัญหาเศรษฐกิจรุนแรงขึ้นและกระทบต่อฐานะการเงินของสถาบันการเงินยิ่งขึ้นไปอีก โดยเฉพาะต่อธนาคารพาณิชย์ของยุโรปและ Euro Zone ในการฟื้นฟูระบบสถาบันการเงินมี 2 วิธีหลักๆ ที่ใช้แก้ปัญหา ได้แก่ การทำ Stress Test และการเพิ่มสภาพคล่องในระบบการเงิน การทำ Stress Test โดยตั้งสมมติฐานในกรณีเกิดวิกฤติเพื่อวิเคราะห์ความเพียงพอของเงินทุน ซึ่งจะเป็นการสร้างความมั่นใจให้แก่ประชาชนและนักลงทุนว่าสถาบันการเงินมีกองทุนที่เข้มแข็งเพียงพอที่จะรองรับความเสี่ยงใดๆ ได้ แต่ที่ผ่านมาการทำ Stress Test ของ Euro Zone ถูกวิจารณ์ว่าไม่เข้มงวดเพียงพอ ประกอบกับสภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวย ทำให้ไม่สามารถฟื้นฟูความเชื่อมั่นที่มีต่อสถาบันการเงินได้ ขณะเดียวกันมาตรการเพิ่มสภาพคล่องของธนาคารกลางยุโรปก็มีผลเพียงเล็กน้อย เพราะสถาบันการเงินไม่ค่อยปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้น แต่กลับนำเงินส่วนใหญ่ไปฝากไว้ที่ธนาคารกลาง นอกจากนี้ยังมีการศึกษาพบว่าการลงทุนของธุรกิจส่วนใหญ่มาจากกำไรสะสมไม่ใช่การกู้เงิน จึงทำให้ที่ผ่านมาสินเชื่อในกลุ่ม Euro แทบจะไม่ขยายตัว ซึ่งแสดงถึงผลของการเพิ่มสภาพคล่องมีจำกัด ทั้งหมดนี้แสดงถึงปัญหาความอ่อนแอเรื้อรังของระบบสถาบันการเงินของยุโรปรวมถึง Euro Zone

          ในส่วนของปัญหาหนี้สาธารณะแม้ว่าจะคลี่คลายลงไปบ้างแต่ก็ยังไม่หมด หลายประเทศยังมีขนาดหนี้สาธารณะที่สูงมาก โดยเฉพาะกรีซที่มีหนี้สาธารณะสูงกว่า 150% ของ GDP ทำให้ยังต้องพึ่งความช่วยเหลือจากสหภาพยุโรป IMF และธนาคารกลางยุโรปต่อไป และยังไม่มีแนวทางที่ชัดเจนว่าจะออกจากปัญหานี้ได้อย่างไรปัญหาสุดท้ายก็คือ จากปัญหาที่กล่าวข้างต้นทำให้อุปสงค์โดยรวมของ Euro Zone อ่อนแอ ซึ่งนอกจากจะทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างจำกัดและเปราะบางแล้ว ยังทำให้ราคาสินค้าและบริการอยู่ในระดับต่ำอย่างมาก โดยอัตราเงินเฟ้อในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาอยู่ที่ 0.5% ซึ่งต่ำกว่าอัตราเป้าหมายของธนาคารกลางที่ 2% โดยอัตราเงินเฟ้อใน Euro Zone อยู่ในระดับต่ำกว่า 1% ทุกเดือนตั้งแต่ปลายปี 2556 และยิ่งไปกว่านั้นยังอยู่ในระดับต่ำกว่าเป้าหมายนานถึง 18 เดือนติดต่อกันแล้ว ทำให้เกิดความกังวลว่าถ้าสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ Euro Zone อาจจะเผชิญปัญหาการลดลงของราคาสินค้าและบริการที่เรียกกันว่า Deflation หรือภาวะเงินผืด ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงเศรษฐกิจจะซบเซาอีกหลายปี เพราะผู้ซื้อจะชะลอการซื้อออกไป เพราะคาดว่าราคาจะลดลงในอนาคต

         ปัญหาที่สั่งสมมานาน ประกอบกับมีปัญหาโครงสร้างซ้อนอยู่ด้วย ทำให้เชื่อว่าวิกฤติของ Euro Zone ยังไม่หมดลงไป การฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังเปราะบางและกระจุกตัวที่บางประเทศ และจากสภาวะเศรษฐกิจโลกที่ไม่เอื้ออำนวย ได้แก่ การฟื้นตัวที่เชื่องช้าของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา ปัญหาฟองสบู่ของจีน วิกฤติการเมืองในตะวันออกกลาง และปัญหาในยูเครน อาจจะทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ Euro Zone หยุดชะงัก ไม่สามารถฟื้นตัวได้อย่างเข้มแข็งยั่งยืน และที่น่าเป็นห่วงคือปัญหาอาจจะกลับขึ้นมาอีกได้ในอนาคต


_____________________
* โดย ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ CEO Blogs หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ

 


กลุ่มข้อมูลและวางแผนสื่อสารองค์กร
ฝ่ายสื่อสารองค์กร

บทความเศรษฐกิจ

วันที่ 26 กันยายน 2557

1330 Views

BAM Mobile Application

ค้นหาทรัพย์ง่ายๆ เพียงปลายนิ้วสัมผัส

บริการฝากขาย
อสังหาฯ
ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย