หน้าหลัก > บทความเศรษฐกิจ > บทความวิเคราะห์รายงานทางเศรษฐกิจและการเงิน เดือนกุมภาพันธ์ 2558

บทความวิเคราะห์รายงานทางเศรษฐกิจและการเงิน เดือนกุมภาพันธ์ 2558

รายงานภาวะเศรษฐกิจและการเงิน เดือนธันวาคม 2557


             ข้อมูลเดือนธันวาคม 2557 จากตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน จะเห็นว่าดัชนีราคาผู้บริโภคมีค่าลดลง เพราะราคาน้ำมันมีทิศทางที่ลดลงอยู่ต่อไปจนส่งผลทำให้ราคาสินค้ามีการปรับตัวลดลงไป ส่วนภาคการผลิตปรับตัวลดลง เนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกยังเป็นไปอย่างช้าๆ ทำให้การสั่งซื้อสินค้าไม่ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลทำให้ผู้ประกอบการได้ชะลอการผลิตลงมา ในขณะเดียวกันดุลการค้าปรับตัวเพิ่มขึ้นและยังมีทิศทางที่เป็นบวกอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการนำเข้ามีการปรับตัวลดลงไป ทำให้ยังไม่น่าเป็นห่วงมากเท่าไรนัก อย่างไรก็ตามภาวะการเงินยังทรงตัวไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลง โดยปริมาณเงินฝากและเงินให้สินเชื่อมีค่าเพิ่มขึ้น เนื่องจากธนาคารพาณิชย์ยังมีการออกแคมเปญทางการเงินใหม่ๆ ส่งผลทำให้ประชาชนนำเงินมาฝากเพิ่ม ในขณะที่การปล่อยสินเชื่อมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากใกล้สิ้นปีทำให้ธนาคารต้องเร่งปล่อยสินเชื่อออกมาเพื่อให้ได้ตามเป้าที่วางไว้

 

ตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน

      รายละเอียด

กันยายน 57

ตุลาคม 57

พฤศจิกายน 57

ธันวาคม 57

ดัชนีราคาผู้บริโภค

107.4

107.3

107.3

106.7

ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม

163.83

167.02

168.98

167.89

อัตราการใช้กำลังการผลิต

60.41

60.22

60.23

60.46

ดุลการค้า

1,130.71

2,082.00

1,913.62

3,640.01

ดุลบัญชีเดินสะพัด

-539.81

2,628.38

1,994.01

5,522.88

เงินฝาก

11,431.41

11,585.95

11,786.89

n.a.

เงินให้สินเชื่อ

12,579.13

12,880.89

12,890.61

n.a.

                             ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย
                             หมายเหตุ: ดัชนีราคาผู้บริโภค มีปีฐานคือ 2545  เงินฝาก/เงินให้สินเชื่อ มีหน่วยเป็น พันล้านบาท
                                           อัตราการใช้กำลังการผลิต มีหน่วยเป็น ร้อยละ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม มีปีฐานคือ 2543
                                           ดุลการค้า ดุลบัญชีเดินสะพัด มีหน่วยเป็น ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา


ภาวะอสังหาริมทรัพย์ เดือนธันวาคม 2557

     • ด้านอุปทาน
        - ที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เปรียบเทียบ ณ ธ.ค. 56 กับ 57 มีรายละเอียดดังนี้

ปี

จำนวน(ยูนิต)

การเติบโต(%)

ณ ธ.ค. 56

132,302

NA

ณ ธ.ค. 57

131,374

-0.70%

                                                   ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์

       - ประเภทที่อยู่อาศัยที่มีการจดทะเบียน ณ ธ.ค. 57 เรียงตามลำดับมีรายละเอียดดังนี้

ประเภท

จำนวน(ยูนิต)

สัดส่วน(%)

อาคารชุด

72,921

55.51

บ้านเดี่ยว

34,452

26.22

ทาวน์เฮ้าส์

14,221

10.82

อาคารพาณิชย์

6,918

5.27

บ้านแฝด

2,862

2.18

รวม

131,374

100.00

                                                   ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์


     • ด้านอุปสงค์
        - การโอนกรรมสิทธิ์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เปรียบเทียบ ณ ธ.ค. 56 กับ 57 มีรายละเอียดดังนี้

ปี

จำนวน(ยูนิต)

การเติบโต(%)

ณ ธ.ค. 56

181,992

NA

ณ ธ.ค. 57

170,135

-6.52%

                                                   ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์

       - ประเภทที่อยู่อาศัยที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ ณ ธ.ค. 57 เรียงตามลำดับมีรายละเอียดดังนี้

ประเภท

จำนวน(ยูนิต) 

สัดส่วน(%)

อาคารชุด

66,688

39.20

ทาวน์เฮ้าส์

54,278

31.90

บ้านเดี่ยว

30,974

18.21

อาคารพาณิชย์

11,896

6.99

บ้านแฝด

6,299

3.70

รวม

170,135

100.00

                                                   ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์

    • อัตราดอกเบี้ยที่อยู่อาศัยบุคคลทั่วไปลอยตัวเฉลี่ยของ 6 ธนาคารใหญ่ มีรายละเอียดดังนี้

ปี 56

อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย

6 ธนาคาร

อัตราดอกเบี้ย

นโยบาย ธปท.

มกราคม

7.03

2.25

กุมภาพันธ์

7.12

2.25

มีนาคม-พฤษภาคม

7.03

2.00

มิถุนายน

7.09

2.00

กรกฎาคม-พฤศจิกายน

7.05 2.00

ธันวาคม

7.09 2.00

                                    ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
                                    หมายเหตุ: 6 ธนาคาร ประกอบ ธ.อาคารสงเคราะห์, ธ.กสิกรไทย, ธ.กรุงเทพ, 
                                                  ธ.กรุงศรีอยุธยา, ธ.กรุงไทย และ ธ.ไทยพาณิชย์

 

สรุปภาพภาวะอสังหาริมทรัพย์เดือนธันวาคม 2557

           ภาพรวมของอุปทานมีการปรับลดลง 0.70% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หลังจากที่ภาวะเศรษฐกิจค่อยๆ มีการฟื้นขึ้น แต่ยังไม่เต็มที่ เนื่องมาจากมาตรการที่ภาครัฐได้กระตุ้นออกมายังต้องรอเวลากว่าที่จะเห็นผล จึงทำให้ผู้ประกอบการมีการพัฒนาโครงการออกมาไม่มากเท่าที่ควร ในขณะที่ทางด้านอุปสงค์หดตัวลง 6.52% เนื่องจากภาระหนี้ครัวเรือนมีทิศทางที่สูง ทำให้ผู้บริโภคยังมีการชะลอการตัดสินใจซื้อออกไปก่อน ทั้งนี้ที่อยู่อาศัยประเภทอาคารชุดยังมียอดการโอนกรรมสิทธิ์มากที่สุด รองลงมาคือทาวน์เฮ้าส์และบ้านเดี่ยว ส่วนดอกเบี้ยที่อยู่อาศัยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อยที่ 7.09% โดยอัตราดอกเบี้ยนโยบายยังมีค่าเท่าเดิมไม่เปลี่ยนแปลงที่ 2.00%

วิเคราะห์เศรษฐกิจโลกในระยะถัดไป*

            วิเคราะห์เศรษฐกิจโลกปีนี้ นักวิเคราะห์หลายๆ คน มีความคิดเห็นว่าค่อนข้างประเมินได้ยาก ล่าสุด กองทุนการเงินระหว่างประเทศปรับลดประมาณการเศรษฐกิจโลกปีนี้และปีหน้าลงจากเดือน ต.ค. ปีที่แล้วเหลือร้อยละ 3.5 สำหรับปีนี้และร้อยละ 3.8 ปีหน้า การปรับลดเกิดขึ้นทั้งที่ราคาน้ำมันปีนี้จะอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าที่ประเมินไว้เมื่อเดือน ต.ค. มาก (ลดลงร้อยละ 41 จากปีก่อน) ซึ่งควรเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจโลก นอกจากนี้เศรษฐกิจสหรัฐก็จะฟื้นตัวได้เข้มแข็งกว่าที่คาดการณ์ไว้เดิม ทั้งหมดจึงชี้ว่าเศรษฐกิจโลกคงมีปัจจัยลบอีกมากที่สามารถลดทอนผลของปัจจัยบวกดังกล่าวได้ ทำให้ปีนี้เศรษฐกิจโลกอาจจะยังขยายตัวในอัตราที่ต่ำต่อไป ขณะที่ความไม่แน่นอนที่มีอยู่มาก ก็จะเป็นความเสี่ยงด้านลบที่อาจซ้ำเติมเศรษฐกิจโลกในระยะต่อไปได้

            เศรษฐกิจโลกขณะนี้แม้จะดูซับซ้อนและดูเหมือนจะไม่ดี แต่โดยพื้นฐานแล้วสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นก็เข้าใจได้ เพราะสะท้อนผลของแรงกดดันจากสามปัจจัยที่กำลังกระทบเศรษฐกิจโลกขณะนี้ โดยแรงกดดันเหล่านี้ทำให้เศรษฐกิจโลกกำลังอยู่ในช่วงของการปรับตัวเข้าสู่ดุลยภาพใหม่ ตามข้อเท็จจริงทางเศรษฐกิจที่ได้เกิดขึ้น ซึ่งจะมีผลให้เศรษฐกิจโลกในระยะข้างหน้าจะขยายตัวในอัตราที่ต่ำลงกว่าในอดีต แต่ก็ยังเป็นการขยายตัว และจะเป็นการขยายตัวในอัตราที่จะดีขึ้นเรื่อยๆ หลังปรับตัวเข้าสู่ดุลยภาพใหม่ นี้คือประเด็นที่ต้องติดตาม

           ทั้งนี้เศรษฐกิจโลกขณะนี้กำลังปรับตัวกับแรงกดดัน 3 ด้าน ดังนี้
           1. ความแตกต่างของการขยายตัวของเศรษฐกิจในประเทศต่างๆ ที่มีผลไปถึงทิศทางของนโยบายในแต่ละประเทศ
           2. ปัญหาโครงสร้างเศรษฐกิจที่ยังแก้ไขไม่ได้ในประเทศอุตสาหกรรม จนมีผลให้ศักยภาพการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกลดต่ำลงกว่าเดิม
           3. การปรับตัวของราคาสินค้า เช่น น้ำมัน ตามศักยภาพทางเศรษฐกิจของเศรษฐกิจโลกที่ได้เปลี่ยนไป

           ในประเด็นแรกเรื่องความแตกต่าง (Uneven Recovery) ตั้งแต่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจโลกปี 2008 เศรษฐกิจโลกยังไม่ฟื้นตัวกลับไปสู่อัตราการขยายตัวที่เป็นปรกติ ขณะนี้มีเพียงสหรัฐอเมริกาประเทศเดียวที่ฟื้นตัวได้ชัดเจน นำไปสู่การปรับนโยบายการเงินเพื่อให้อัตราดอกเบี้ยกลับเข้าสู่ภาวะที่เป็นปรกติมากขึ้น สำหรับสหภาพยุโรปหรือกลุ่มยูโรโซนและญี่ปุ่น เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะเงินฝืด คือ ระดับราคาสินค้าปรับลดลง ซึ่งถ้าเกิดขึ้นภาคธุรกิจก็จะไม่ลงทุน และเศรษฐกิจก็จะเข้าสู่ภาวะถดถอย ดังนั้นปัญหาของยุโรปและญี่ปุ่น ก็คือ ป้องกันภาวะเงินฝืดไม่ให้เกิดขึ้น สำหรับประเทศตลาดเกิดใหม่รวมถึงจีน เศรษฐกิจอยู่ในช่วงชะลอตัวจากที่ได้ขยายตัวสูงในช่วงก่อนหน้าจากการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้หลายประเทศได้ลดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น จีน เพื่อให้อัตราการขยายตัวลดลงสอดคล้องกับการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ แต่การชะลอตัวของจีน ก็ดึงให้ประเทศที่ค้าขายใกล้ชิดกับจีน เช่น กลุ่มอาเซียนและออสเตรเลีย มีอัตราขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ลดต่ำลงตามไปด้วย

           นี่คือความแตกต่างของการฟื้นตัวที่กำลังเกิดขึ้น ทำให้ทิศทางนโยบายการเงินในแต่ละประเทศแตกต่างกัน เช่น สหรัฐอเมริกาที่เศรษฐกิจมีการฟื้นตัว นโยบายการเงินก็มุ่งหาจังหวะที่เหมาะสมที่จะเริ่มขึ้นปรับอัตราดอกเบี้ย ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกาแข็งค่าขึ้น สำหรับกลุ่มยูโรโซนและญี่ปุ่น นโยบายการเงินก็คงต้องผ่อนคลายมากต่อไป เพื่อสร้างกำลังซื้อและป้องกันภาวะเงินฝืด โดยการใช้มาตรการแบบคิวอี ซึ่งมีผลให้เงินยูโรอ่อนค่าลงเทียบกับดอลลาร์สหรัฐอเมริกา ซึ่งก็จะช่วยกระตุ้นการส่งออก สำหรับประเทศตลาดเกิดใหม่ เช่น จีน และกลุ่มอาเซียน โจทย์ของนโยบายขณะนี้ก็คือ ประคับประคองให้การชะลอตัวของเศรษฐกิจไม่รุนแรง ซึ่งหมายถึง นโยบายการเงินที่ยังจะต้องสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจต่อไป เสริมโดยมาตรการใช้จ่ายด้านการคลัง เช่น การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อรักษาโมเมนตั้มของการใช้จ่ายในประเทศ ความแตกต่างของการฟื้นตัวและทิศทางของนโยบายการเงินดังกล่าว ได้ส่งผลให้ความผันผวนในตลาดการเงินและตลาดอัตราแลกเปลี่ยนมีมากขึ้น กระตุ้นโดยการไหลเข้าออกของเงินทุนระหว่างประเทศ นี่คือแรงกดดันแรก

           แรงกดดันที่สอง คือ ปัญหาโครงสร้างที่มีอยู่ในประเทศอุตสาหกรรมหลักตั้งแต่เกิดวิกฤติปี 2008 ที่ยังไม่ได้แก้ไข จนปัญหาได้กลายเป็นข้อจำกัดต่อศักยภาพการเติบโตของประเทศอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจโลกในระยะยาว ปัญหาเหล่านี้ได้แก่ ภาระหนี้ภาครัฐที่ได้เพิ่มสูงขึ้นมาก (High Debt) ทั้งในสหรัฐอเมริกาและประเทศอุตสาหกรรมในยุโรปและญี่ปุ่น ซึ่งไม่ชัดเจนว่าปัญหานี้จะแก้ไขได้หรือไม่ ตามด้วยปัญหาฐานะและความเข้มแข็งของสถาบันการเงินในประเทศอุตสาหกรรมหลัก (Weak Bank) ที่ยังเรื้อรังจากวิกฤติเศรษฐกิจโลกปี 2008 และท้ายสุดปัญหาการว่างงานและการไม่มีงานทำ (High unemployment) โดยเฉพาะในประชากรวัยหนุ่มสาว

           สาเหตุสำคัญที่ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้รับการแก้ไขก็เพราะ
           1. พื้นที่ที่จะทำนโยบายเพิ่มเติมเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้ปัจจุบันไม่มีแล้ว ไม่ว่าจะเป็นด้านการคลังเพราะระดับหนี้สาธารณะที่ได้เพิ่มขึ้นสูงมาก หรือนโยบายการเงินที่ได้ผ่อนคลายเต็มที่จนต้องทำมาตรการคิวอีในเกือบทุกประเทศ
           2. ไม่มีความกล้าหาญทางการเมือง (Political will) ในประเทศที่มีปัญหาที่จะแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างเหล่านี้อย่างจริงจังโดยนักการเมือง ทำให้การแก้ไขปัญหาไม่เกิดขึ้น
           3. ความร่วมมือแก้ไขปัญหาโดยประเทศอุตสาหกรรมขณะนี้ก็ไม่มี แม้จะเป็นปัญหาเศรษฐกิจร่วมกัน แต่การประสานนโยบายเศรษฐกิจ (Policy Collaboration) เพื่อแก้ปัญหาก็ไม่เกิดขึ้น ทำให้การแก้ไขปัญหายิ่งยากขึ้น

           เมื่อไม่ได้แก้ ปัญหาก็ยังอยู่ และผลที่ตามมาก็คือ อำนาจซื้อในระบบเศรษฐกิจโลกลดลง เมื่อเศรษฐกิจโลกไม่มีการใช้จ่าย (Lack of demand) ภาคธุรกิจก็ไม่ลงทุนแม้สภาพคล่องในระบบการเงินโลกจะมีมาก และเมื่อไม่ลงทุนศักยภาพการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในระยะยาว ก็ลดลงจากเดิม ทำให้เศรษฐกิจโลกในระยะต่อไปจะขยายตัวในอัตราที่น้อยลงเมื่อเทียบกับอดีต นี่คือแรงกดดันที่สอง
แรงกดดันที่สาม คือ การปรับลดลงของราคาสินค้าตามกลไกตลาด เมื่อเศรษฐกิจโลกไม่มีการเติบโตของการใช้จ่าย นำไปสู่ภาวะอุปทานส่วนเกินที่ผลผลิตมีมากกว่าความต้องการใช้จ่าย ทำให้ราคาสินค้าปรับลดลง ซึ่งกำลังเกิดขึ้นกับสินค้าสำคัญๆ ของโลก เช่น น้ำมัน เกษตร วัตถุดิบ และสินค้าโภคภัณฑ์ และที่จะเกิดขึ้นตามมาในระยะข้างหน้า ก็คือ การปรับลดของราคาสินทรัพย์ ตามปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจโลกที่ศักยภาพการขยายตัวได้ลดต่ำลง ปัจจุบันการปรับตัวของราคาสินทรัพย์ยังไม่เกิดขึ้น เพราะถูกบิดเบือนโดยการลงทุน (เก็งกำไร) ระยะสั้นที่ได้ประโยชน์จากสภาพคล่องในระบบการเงินที่มีมาก (จากการอัดฉีดของมาตรการคิวอี) ทำให้ราคาหุ้นปรับสูงขึ้นทั้งที่ปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจแย่ลงกว่าเดิม เช่นกรณีของไทยปีที่แล้ว

           โดยสรุปนี่คือสามแรงกดดันที่กำลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกขณะนี้ ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วก็คือ การปรับตัวของเศรษฐกิจโลกออกจากดุลยภาพเก่า (ที่เศรษฐกิจโลกมีอัตราการขยายตัวตามศักยภาพที่สูง) เข้าสู่ดุลยภาพใหม่ที่เศรษฐกิจโลกในระยะต่อไปจะมีอัตราการขยายตัวตามศักยภาพที่ต่ำกว่าเดิม การปรับตัวเป็นกระบวนการที่ต้องเกิดขึ้นในระบบเศรษฐกิจทุนนิยม และในกระบวนการปรับตัวนี้ ก็จะมีประเด็นความเสี่ยง 2 ประเด็นที่ต้องระวัง
ประเด็นแรก คือ ประเทศที่มีหนี้สูงอาจเกิดปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจโดยเฉพาะประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน จากปัญหาผิดนัดชำระหนี้
ประเด็นที่สอง คือ เกิดปัญหาฟองสบู่แตกอย่างใหญ่อีกครั้งจากสภาพคล่องที่มีมาก ที่อาจนำไปสู่การเติบโตของราคาสินทรัพย์จากการเก็งกำไรจนเกินเลยปัจจัยพื้นฐานมาก นำมาสู่การปรับตัวของตลาด หรือภาวะฟองสบู่แตกในที่สุด นี่คือความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลกในระยะข้างหน้า

วิเคราะห์ความผันผวนในตลาดเงินและตลาดทุน

           ในเชิงเศรษฐกิจและการลงทุนขณะนี้มีเหตุการณ์สำคัญต่างๆ เกิดขึ้นค่อนข้างมาก แน่นอนว่าความ ผันผวนที่ตามมาย่อมมีสูงขึ้นตามไปด้วย และเชื่อว่าความผันผวนนี้น่าจะอยู่ในระดับสูงต่อไปในปีนี้ทั้งปี โดยมีประเด็นที่น่าจะมีผลกระทบต่อภาวะและความผันผวนทางด้านตลาดเงินและตลาดทุน ดังนี้

            ราคาน้ำมันลดลงต่อเนื่องแต่น่าจะเริ่มแกว่งตัวในระยะต่อไป
            การลดลงอย่างต่อเนื่องของราคาน้ำมันโลก ซึ่งสาเหตุหลักมาจากการที่มีปริมาณน้ำมันเพิ่มขึ้นในตลาดโลกค่อนข้างมาก โดยประเทศที่ผลิตน้ำมันได้เพิ่มขึ้นชัดเจนได้แก่ สหรัฐอเมริกา บราซิล และแคนาดา (โดยมาจาก shale oil และ shale gas เป็นหลัก) นอกจากนั้นกลุ่มประเทศ OPEC ก็ไม่ยอมลดกำลังการผลิตลงด้วย ทำให้อุปทานน้ำมันมีกว่าอุปสงค์ และด้วยภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังคงฟื้นตัวได้ค่อนข้างช้า ทำให้โอกาสที่อุปสงค์จะเพิ่มขึ้นและทำให้ราคาน้ำมันเพิ่มตามไปด้วยจึงมีค่อนข้างน้อย ดังนั้นการลดปริมาณการผลิตน่าจะเป็นปัจจัยเดียวที่จะทำให้ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม Deutsche Bank ยังมองว่าแม้โอกาสที่ราคาน้ำมันจะลดลงจากระดับปัจจุบันมีไม่มากนัก แต่การที่ราคาจะเพิ่มขึ้นก็คงจะเป็นลักษณะแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่ได้ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างทันที


            เงินเฟ้อลดลงทั่วโลก
            จากราคาน้ำมันที่ลดลงอย่างมากทำให้เห็นภาวะเงินเฟ้อลดลง (disinflation) ในแทบทุกประเทศทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยด้วย (มียกเว้นบางประเทศ เช่น รัสเซีย ตุรกี และ กลุ่มประเทศลาตินอเมริกา ที่เงินเฟ้อยังเพิ่มสูงขึ้นอยู่) โดยบางกลุ่มประเทศเริ่มเข้าสู่ภาวะเงินฝืด (deflation) เช่น อัตราเงินเฟ้อของกลุ่มประเทศยูโรโซนที่ล่าสุดออกมาติดลบ โดยในปีนี้น่าจะเป็นปีที่อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยทั่วโลกต่ำสุดในรอบ 40 ปี ไม่นับช่วงปีวิกฤตเศรษฐกิจโลกปี 2009 ซึ่งเป็นปีที่เงินเฟ้อเฉลี่ยทั่วโลกติดลบ เนื่องจากการหดตัวอย่างรุนแรงของอุปสงค์ ในระยะถัดไปด้วยฐานที่ต่ำมากๆ ในปีนี้ หากราคาน้ำมันเริ่มฟื้นตัวได้บ้าง บวกกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกาที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น ประเทศที่นำเข้าน้ำมันมากๆ อาจจะเริ่มเห็นตัวเลขเงินเฟ้อที่สูงขึ้นเช่นกัน ดังนั้นอัตราเงินเฟ้อก็เป็นอีกตัวเลขหนึ่งที่น่าจะมีความผันผวนสูงในช่วง 1 ปีข้างหน้า ซึ่งแน่นอนว่านโยบายของธนาคารกลางในแต่ละประเทศก็น่าจะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน

            นโยบายของธนาคารกลางในแต่ละประเทศเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงและแตกต่างกัน
จริงๆ แล้วเรื่องของการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินของประเทศใหญ่ (ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ยูโรโซน ญี่ปุ่น และจีน) ที่จะมีความแตกต่างกันมากขึ้นในปีนี้นั้น แต่ช่วงหลังไม่ใช่แค่สี่ประเทศที่กล่าวถึง แต่ยังรวมถึงประเทศอื่นๆ ด้วย เช่น
1) ธนาคารกลางสวิสประกาศยกเลิกการตรึงค่าเงินขั้นต่ำระหว่างเงินฟรังก์สวิสและเงินยูโร รวมถึงการลดดอกเบี้ยนโยบายจนถึงระดับติดลบ
2) ธนาคารกลางเดนมาร์กประกาศลดดอกเบี้ย
3) ธนาคารกลางอินเดียก็ประกาศลดดอกเบี้ยนโยบายลง ซึ่งทำให้หลายคนมองว่าหลังจากนี้ธนาคารกลางของหลายๆ ประเทศอาจเริ่มทำสงครามค่าเงิน

            ทั้งนี้เมื่อประเทศใหญ่ๆ มีการเปลี่ยนแปลงนโยบาย ประเทศขนาดเล็กกว่าก็ต้องมีการปรับนโยบายตาม โดยมองว่าประเทศที่มีความเสี่ยงเรื่องการเปลี่ยนนโยบายมากที่สุดน่าจะเป็นประเทศที่ผูกค่าเงินตัวเองไว้กับค่าเงินของประเทศหลักๆ (เช่น ในกรณีของสวิตเซอร์แลนด์และเดนมาร์ก เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน) โดยถ้าไม่ใช้วิธีการประกาศเลิกตรึงค่าเงิน (ในกรณีของสวิตเซอร์แลนด์) ก็อาจใช้การลดดอกเบี้ย (ในกรณีของเดนมาร์ก) ส่วนในกรณีของประเทศในกลุ่ม Emerging ที่ไม่ได้ผูกค่าเงินไว้กับใคร ซึ่งประเทศเอเชียส่วนใหญ่อยู่ในกรณีนี้ การเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินน่าจะมีสาเหตุหลักมาจากเงินเฟ้อที่ลดลงมาเร็วและแรงตามราคาน้ำมัน โดย เงินเฟ้อที่ลดลงทำให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (อัตราดอกเบี้ยหักด้วยอัตราเงินเฟ้อ) สูงขึ้น ซึ่งในบางประเทศที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายค่อนข้างสูง ก็อาจจะเลือกลดดอกเบี้ยนโยบายลงบ้างเพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ เช่นในกรณีของอินเดียที่อัตราเงินเฟ้อของอินเดียที่ลดลงอย่างรวดเร็วมาอยู่ที่ประมาณ 5% ซึ่งนับว่าต่ำกว่าระดับเงินเฟ้อเป้าหมายที่ 8% ของธนาคารกลางอินเดียค่อนข้างมาก ล่าสุดได้ประกาศลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% (จาก 8% เหลือ 7.75%) โดยการประชุมลดดอกเบี้ยครั้งนี้เป็นการประชุมนัดพิเศษที่ไม่ได้อยู่ในตารางการประชุมที่ประกาศไว้

           แน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางการเงินนั้น นำมาซึ่งความผันผวนในตลาดเงินและตลาดทุน ยิ่งถ้าเป็นการเปลี่ยนนโยบายแบบที่ตลาดไม่ได้คาดมาก่อน ผลกระทบและความผันผวนในตลาดก็จะมีมากขึ้น (เมื่อเทียบกับในกรณีที่ตลาดได้มีการคาดการณ์ไว้แล้ว) แต่สิ่งที่ธนาคารกลางและนักลงทุนต้องวิเคราะห์ต่อไปก็คือการ surprise ตลาดบ่อยครั้ง อาจนำมาซึ่งการสูญเสียความน่าเชื่อถือ (credibility) ซึ่งถ้าเกิดขึ้นแล้ว อาจใช้เวลานานในการเรียกกลับคืนมา ซึ่งก็จะไม่ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศนั้นๆ เท่าไรนัก


______________________
* โดย ดร.บัณฑิต นิจถาวร คอลัมนิสต์ประจำคอลัมน์ "เศรษฐศาสตร์บัณฑิต" หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ

 


กลุ่มข้อมูลและวางแผนสื่อสารองค์กร
ฝ่ายสื่อสารองค์กร

 

บทความเศรษฐกิจ

วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2558

1583 Views

BAM Mobile Application

ค้นหาทรัพย์ง่ายๆ เพียงปลายนิ้วสัมผัส

บริการฝากขาย
อสังหาฯ
ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย