หน้าหลัก > บทความเศรษฐกิจ > บทความวิเคราะห์รายงานทางเศรษฐกิจและการเงิน เดือนมิถุนายน 2558

บทความวิเคราะห์รายงานทางเศรษฐกิจและการเงิน เดือนมิถุนายน 2558

รายงานภาวะเศรษฐกิจและการเงิน เดือนเมษายน 2558

            ข้อมูลเดือนเมษายน 2558 จากตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน จะเห็นว่าดัชนีราคาผู้บริโภคมีค่าเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เพราะราคาน้ำมันยังมีความผันผวนในทิศทางที่สูงขึ้นจนส่งผลทำให้ราคาสินค้ามีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ส่วนภาคการผลิตยังปรับตัวลดลง เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่มีแนวโน้มของการฟื้นตัวขึ้นอย่างชัดเจนจนทำให้ภาคการส่งออกยังปรับตัวได้ไม่ดีเท่าไรนัก ส่งผลให้ผู้ประกอบการได้มีการชะลอการผลิตออกไปก่อน ในขณะเดียวกันดุลการค้าปรับตัวลดลงและยังมีทิศทางที่เป็นบวกอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการนำเข้ามีแนวโน้มของการปรับตัวลดลงไปค่อนข้างมาก ทำให้ยังไม่น่าเป็นห่วงมากเท่าไรนัก อย่างไรก็ตามภาวะการเงินยังทรงตัวไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลง โดยปริมาณเงินฝากมีค่าเพิ่มขึ้นแต่เงินให้สินเชื่อมีค่าลดลง เนื่องจากแนวโน้มทิศทางของอัตราดอกเบี้ยที่อาจจะปรับตัวลดลง ทำให้ประชาชนเริ่มฝากเงินกันเพิ่มขึ้นก่อนที่จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงไปอีก ส่งผลทำให้ประชาชนนำเงินมาฝากเพิ่มขึ้น ในขณะที่การปล่อยสินเชื่อมีการปรับตัวลดลง เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจยังฟื้นตัวได้ไม่มากนัก ส่งผลให้ภาคธุรกิจชะลอการขอสินเชื่อจากธนาคาร อีกทั้งธนาคารก็ยังคงมีความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาหนี้เสียตามมาอีกด้วย

 

 

ตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน

      รายละเอียด

มกราคม 58

กุมภาพันธ์ 58

มีนาคม 58

เมษายน 58

ดัชนีราคาผู้บริโภค

106.0

106.2

106.3

106.4

ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม

169.23

172.84

162.52

159.34

อัตราการใช้กำลังการผลิต

61.04

62.26

59.53

58.20

ดุลการค้า

1,392.03

2,568.42

3,464.65

1,707.35

ดุลบัญชีเดินสะพัด

2,506.33

3,508.24

2,223.15

1,113.39

เงินฝาก

11,999.84

12,060.23

12,173.06

n.a.

เงินให้สินเชื่อ

12,830.69

13,035.14

13,031.84

n.a.

                             ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย
                             หมายเหตุ: ดัชนีราคาผู้บริโภค มีปีฐานคือ 2545  เงินฝาก/เงินให้สินเชื่อ มีหน่วยเป็น พันล้านบาท
                                           อัตราการใช้กำลังการผลิต มีหน่วยเป็น ร้อยละ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม มีปีฐานคือ 2543
                                           ดุลการค้า ดุลบัญชีเดินสะพัด มีหน่วยเป็น ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา


ภาวะอสังหาริมทรัพย์ เดือนมีนาคม 2558

     • ด้านอุปทาน
        - ที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เปรียบเทียบ ณ เม.ย. 57 กับ 58 มีรายละเอียดดังนี้

ปี

จำนวน(ยูนิต)

การเติบโต(%)

ณ เม.ย. 57

32,922

NA

ณ เม.ย. 58

33,005

0.25%

                                                   ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์

       - ประเภทที่อยู่อาศัยที่มีการจดทะเบียน ณ เม.ย. 58 เรียงตามลำดับมีรายละเอียดดังนี้

ประเภท

จำนวน(ยูนิต)

สัดส่วน(%)

อาคารชุด

13,494

40.89

บ้านเดี่ยว

11,433

34.64

ทาวน์เฮ้าส์

6,034

18.28

อาคารพาณิชย์

1,222

3.70

บ้านแฝด

822

2.49

รวม

33,005

100.00

                                                   ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์


     • สินเชื่อที่อยู่อาศัยปล่อยใหม่บุคคลทั่วไปของสถาบันการเงินทั้งระบบ
       - สินเชื่อที่อยู่อาศัยปล่อยใหม่ ณ ไตรมาส 1 ปี 58 มีจำนวนทั้งสิ้น 132,044 ล้านบาท ขยายตัว
         เพิ่มขั้น 9.83% จาก ณ ไตรมาส 1 ปี 57 ที่สามารถปล่อยสินเชื่อได้ 120,229 ล้านบาท

    • สินเชื่อที่อยู่อาศัยคงค้างบุคคลทั่วไปของสถาบันการเงินทั้งระบบ  
       - สินเชื่อที่อยู่อาศัยคงค้างบุคคลทั่วไป ณ ไตรมาส 1 ปี 58 มีจำนวยทั้งสิ้น 2,894,395 ล้านบาท
         ขยายตัวเพิ่มขึ้น 11.10% จาก ณ ไตรมาส 1 ปี 57 ที่มียอดคงค้างทั้งสิ้นอยู่ที่ 2,605,101 ล้านบาท

    • อัตราดอกเบี้ยที่อยู่อาศัยบุคคลทั่วไปลอยตัวเฉลี่ยของ 6 ธนาคารใหญ่ มีรายละเอียดดังนี้

ปี 58

อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย

6 ธนาคาร

อัตราดอกเบี้ย

นโยบาย ธปท.

มกราคม

7.09

2.00

กุมภาพันธ์

7.09

1.75

มีนาคม

7.03

1.75

เมษายน

7.03

1.50

                                    ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
                                    หมายเหตุ: 6 ธนาคาร ประกอบ ธ.อาคารสงเคราะห์, ธ.กสิกรไทย, ธ.กรุงเทพ, 
                                                  ธ.กรุงศรีอยุธยา, ธ.กรุงไทย และ ธ.ไทยพาณิชย์

 

สรุปภาพภาวะอสังหาริมทรัพย์เดือนเมษายน 2558

            ภาพรวมของอุปทานมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.25% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการ ฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังไม่ดีมากเท่าไรนัก จึงทำให้ผู้ประกอบการมีการพัฒนาโครงการออกมาไม่มากนัก ทำให้อุปทานในเดือนนี้ของปี 2558 มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ในขณะที่ทางด้านอุปสงค์ปรับตัวสูงขึ้น 2.06% เพราะความเชื่อมั่นของผู้บริโภคยังไม่ดีมากเท่าไรนัก เนื่องจากการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจยังเป็นไปอย่างช้าๆ ทั้งนี้ที่อยู่อาศัยประเภทอาคารชุดยังมียอดการโอนกรรมสิทธิ์มากที่สุด รองลงมาคือทาวน์เฮ้าส์ และบ้านเดี่ยว ส่วนสินเชื่อที่อยู่อาศัยก็ยังมีการขยายตัวได้อยู่ ซึ่งมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น 11.10% ณ ไตรมาส 1 ปี 58 ในขณะที่ดอกเบี้ยที่อยู่อาศัยทรงตัวอยู่ที่ 7.03% ส่วนอัตราดอกเบี้ยนโยบายมีการปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 1.50%

วิเคราะห์ทิศทางเศรษฐกิจไทย*

            ในขณะนี้แนวโน้มเศรษฐกิจไทยเป็นอย่างไร เพราะมองไม่ออกว่าปัญหาของเศรษฐกิจไทยเวลานี้เป็นปัญหาวัฏจักรทางเศรษฐกิจช่วงสั้นๆ (cyclical) หรือเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง (structural) ที่ต้องแก้ไขด้วยการ บูรณาการ ผู้ที่มองว่าเศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับปัญหาวัฎจักรทางเศรษฐกิจ มักหวังให้ภาครัฐกระตุ้นเศรษฐกิจให้มากเข้าไว้เพื่อจุดเครื่องยนต์ภาคเอกชนให้กลับมาเดินเครื่องใหม่ แต่สำหรับผู้ที่มองว่าเศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับปัญหาเชิงโครงสร้าง การกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐจะเกิดผลเพียงเล็กน้อยในช่วงสั้นๆ ไม่สามารถขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจไทยเดินหน้าต่อไปได้จริง ที่สำคัญผลจากการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงสั้นๆ ไม่จัดการกับปัญหาเชิงโครงสร้าง จะทำให้เกิดปัญหาใหญ่ขึ้นในอนาคต อย่างไรก็ตามเชื่อว่าระบบเศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับปัญหาเชิงโครงสร้างหลายจุด สาเหตุหนึ่งที่ทำให้เศรษฐกิจไทยเป็นเช่นนี้ เพราะนโยบายภาครัฐในอดีตหลายเรื่องที่สร้างรายได้เทียมให้แก่ประชาชน ส่งเสริมให้คนนำเงินในอนาคตมาใช้ล่วงหน้า และสร้างวัฒนธรรมรอรัฐอุปถัมภ์ ด้วยการเร่งการบริโภคและการลงทุน เพื่อทำให้เศรษฐกิจขยายตัวเร็วในช่วงสั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นโครงการรถคันแรก โครงการรับจำนำข้าวในราคาที่สูงเกินจริงที่สร้างผลขาดทุนกว่าครึ่งล้านล้านบาท การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาททั่วประเทศ ทำให้แรงงานเชื่อว่าจะมีรายได้สูงขึ้นเรื่อยๆ แต่กลับทำให้ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็กไปไม่รอด และราคาสินค้ากระโดดขึ้นเร็ว และการขึ้นเงินเดือนข้าราชการแบบก้าวกระโดดโดยไม่เพิ่มประสิทธิภาพ ทั้งนี้ยังไม่รวมโครงการขยายสินเชื่อของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ และโครงการเร่งลงทุนผ่านรัฐวิสาหกิจที่ไม่คุ้มค่าอีกหลายสิบโครงการ

           เมื่อนโยบายเหล่านี้เริ่มอ่อนฤทธิ์ จึงพบสัญญาณหลายอย่างที่ทำให้โครงสร้างของเศรษฐกิจไทยอ่อนแอลงมาก ตัวบ่งชี้ที่เห็นได้ก็จะเป็นสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อรายได้ประชาชาติ สัดส่วนรายจ่ายประจำของรัฐบาล อัตราหนี้เสียของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ผลขาดทุนของรัฐวิสาหกิจหลายแห่ง หนี้สาธารณะของรัฐบาล ตลอดจนการคอรัปชั่นในหลายรูปแบบ นอกจากนี้กำลังเผชิญกับปัญหาการอ่อนประสิทธิภาพของระบบราชการ การด้อยคุณภาพของระบบการศึกษาไทย ความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจไทยที่ถดถอยลง โดยเฉพาะการส่งออก การขาดแคลนแรงงานอาชีวะและแรงงานมีฝีมือ รวมไปถึงความแตกแยกในสังคมที่ส่วนหนึ่งเกิดจากระบบเศรษฐกิจที่มีความเหลื่อมล้ำสูง ได้สร้างปัญหาให้กับประเทศไทยแล้วในวันนี้และจะเป็นปัญหาที่ใหญ่ขึ้นในอนาคตถ้าไม่มีการแก้ไข

           จุดเริ่มต้นของการแก้ไขคือ ต้องทำให้เกิดการยอมรับความจริงว่าเศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับปัญหาเชิงโครงสร้าง แต่ยังมีอีกหลายกลุ่มที่คิดว่าเศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับปัญหาวัฎจักรเศรษฐกิจในช่วงสั้นๆ เช่น เศรษฐกิจไม่ดีเพราะการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง คนไม่ยอมใช้จ่ายเงินเพราะขาดความมั่นใจในรัฐบาล รัฐบาลเบิกจ่ายเงินช้า ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำชั่วคราว หรือค่าเงินบาทแข็งเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้การส่งออกมีปัญหา ซึ่งแนวคิดของกลุ่มนี้มักเรียกร้องให้รัฐบาลกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยมาตรการแบบเดิมๆ ซึ่งจะทำให้ไม่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างแท้จริงและรอเวลาสำหรับการที่จะเกิดปัญหารุนแรงที่มากกว่าในอนาคต
ในสภาวะที่เศรษฐกิจเผชิญกับปัญหาเชิงโครงสร้าง การกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลด้วยการเพิ่มรายจ่ายภาครัฐ หรือเร่งให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจปล่อยสินเชื่อ เป็นได้เพียงมาตรการที่แก้ไขได้ในช่วงสั้นๆ เท่านั้น เพราะภาครัฐมีขนาดเล็กมากเมื่อเทียบกับขนาดของระบบเศรษฐกิจไทย และการกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ได้แก้ต้นเหตุของปัญหาที่ซ่อนอยู่ภายใน ดังนั้นรัฐบาลต้องร่วมกันแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการปรับโครงสร้างของระบบเศรษฐกิจ การปฏิรูประบบราชการ การปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ การปฏิรูปการศึกษา และการแก้ไขปัญหาคอรัปชั่นทุกระดับ

           การปรับโครงสร้างระบบเศรษฐกิจสำคัญมากสำหรับอนาคตของประเทศไทย (สำคัญกว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงสั้นๆ หลายเท่านัก) ปัญหาในช่วงหลายปีที่ผ่านมาทำให้รัฐบาลมองแต่ปัญหาระยะสั้นมากกว่าการทำเรื่องระยะยาว ในขณะที่ประเทศคู่แข่งรอบบ้านของไทยตั้งแต่จีนถึงอินโดนีเซีย และพม่าถึงเวียดนาม ได้เดินหน้าปรับโครงสร้างเศรษฐกิจอย่างจริงจัง ส่งผลให้นักลงทุนต่างประเทศและนักลงทุนไทยมองข้ามประเทศไทย และสินค้าส่งออกของไทยหลายรายการเริ่มแข่งขันไม่ได้

           นโยบายปรับโครงสร้างระบบเศรษฐกิจหลายเรื่องไม่ต้องใช้เงินงบประมาณและไม่สร้างภาระการคลังให้แก่รัฐบาล การปรับโครงสร้างระบบเศรษฐกิจจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการลงทุนใหม่ๆ ของภาคเอกชน ภาครัฐต้องทำงานเชิงรุกเพื่อเพิ่มการลงทุน โดยเฉพาะในกิจกรรมที่จะช่วยยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว ต้องเร่งทำให้นโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษตรงกับตามความต้องการของธุรกิจในอนาคตและเกิดผลจริงในทางปฏิบัติ ต้องยอมตัดใจเลิกอุดหนุนกิจกรรมที่ล้าสมัยหรือไม่สอดคล้องกับการแข่งขันในอนาคต ภาครัฐต้องเร่งเปิดประมูลโครงการลงทุนขนาดใหญ่หลายเรื่องที่ภาคเอกชนเฝ้ารอมานาน ภาครัฐต้องสร้างความชัดเจนเกี่ยวกับจุดยืนของประเทศไทยในข้อตกลงการค้าระหว่างประเทศที่สำคัญ โดยเฉพาะ Trans Pacific Partnership หรือ TPP และ EU-Thailand FTA นอกจากนี้ภาครัฐควรเปิดเสรีเพิ่มเติม โดยเฉพาะในภาคเศรษฐกิจที่ธุรกิจไทยขนาดใหญ่ได้รับการคุ้มครองมากเกินควร เพื่อลดต้นทุนการทำธุรกิจในประเทศไทย และส่งเสริมการลงทุนใหม่ๆ โดยผู้ประกอบการที่มีความสามารถสูงกว่า

           โดยสรุปจะเห็นได้ว่าความสงสัยเกี่ยวกับกำลังเกิดอะไรขึ้นกับเศรษฐกิจไทย และความหงุดหงิดว่านโยบายเศรษฐกิจของภาครัฐที่ได้ออกมานั้นไม่เกิดผลแบบทันทีจะบรรเทาลง ถ้ายอมรับความจริงว่าเศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับปัญหาเชิงโครงสร้าง ซึ่งจำเป็นที่จะต้องมีการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างจริงจัง และการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างของระบบเศรษฐกิจไม่มีทางลัด ต้องใช้ความอดทนและใช้เวลากว่าที่จะเห็นผลอย่างชัดเจน ซึ่งก็คาดหวังว่ารัฐบาลที่เป็นอยู่ในขณะนี้จะแก้ไขกับปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างแท้จริง เพราะถ้าหากไม่แก้แล้วปล่อยให้เป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งก็อาจจะไม่สามารถทำได้อย่างจริงจัง แล้วในที่สุดภาพรวมของเศรษฐกิจไทยก็จะกลับไปเหมือนเดิม ซึ่งจะส่งผลทำให้เศรษฐกิจไทยไม่สามารถที่จะเติบโตได้อย่างแท้จริงในอนาคต


วิเคราะห์รัฐธรรมนูญกับทิศทางเศรษฐกิจ

           ในขณะนี้ประเด็นเรื่อง “ร่างรัฐธรรมนูญ” ที่เพิ่งจัดทำเสร็จโดยคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ หลังจากที่ร่างนี้ถูกเผยแพร่ออกไปก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันมากมายว่าเนื้อหาในร่างรัฐธรรมนูญยาวเกินไปบ้าง ระบบเลือกตั้งแบบใหม่ไม่น่าจะดีบ้างเพราะจะทำให้การเมืองอ่อนแอ ซึ่งคำวิพากษ์วิจารณ์ดังกล่าวน่าจะเป็นการสร้างกระแสว่าร่างรัฐธรรมนูญนี้ยังใช้ไม่ได้ และเป็นการเพิ่มแรงกดดันให้กับคณะยกร่างฯ ต้องทำการแก้ไข อย่างไรก็ตามมีหลายมาตราที่ควรต้องแก้ไข หลายมาตราควรต้องตัดทิ้ง เพราะมีรายละเอียดมากเกินไป และมีหลายเรื่องที่อาจจะตกหล่นไป แต่ที่น่าแปลกใจคือแทบจะไม่มีใครออกมาแสดงความเห็นเกี่ยวกับเนื้อหาสาระด้านเศรษฐกิจเลย ไม่ว่าจะเป็นนักธุรกิจ นักวิชาการ นักเศรษฐศาสตร์ ฯลฯ แต่จะได้ยินเสียงวิจารณ์ด้านการเมืองเป็นหลัก ทั้งๆ ที่รัฐธรรมนูญไม่ได้มีเฉพาะเรื่องการเมือง แต่เป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศที่มีเนื้อหาครอบคลุมทุกภาคส่วน รวมถึงระบบเศรษฐกิจด้วย เนื้อหาด้านเศรษฐกิจในรัฐธรรมนูญจึงมีความสำคัญไม่แพ้ด้านการเมืองหรือด้านสังคม เพราะจะเป็นตัวกำหนดทิศทางและอนาคตของเศรษฐกิจของประเทศ ยกตัวอย่างเช่น ในส่วนที่เกี่ยวกับแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ ถ้ามีการระบุให้ชัดว่ารัฐบาลต้องดำเนินนโยบายเศรษฐกิจให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ ก็น่าจะช่วยทำให้เกิดความต่อเนื่องในการพัฒนาเศรษฐกิจมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ที่ทุกรัฐบาลมักเน้นดำเนินนโยบายตามยุทธศาสตร์ของตัวเองเป็นหลัก โดยเฉพาะรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ซึ่งมีความพิเศษกว่าฉบับอื่นๆ ตรงที่มีภาคที่เกี่ยวข้องกับการปฏิรูปประเทศโดยเฉพาะ ภาคนี้บังคับให้รัฐบาลต้องทำการปฏิรูปประเทศในทุกๆ ด้าน ตามที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งรวมไปถึงการปฏิรูปด้านเศรษฐกิจมหภาค และการปฏิรูปด้านเศรษฐกิจรายสาขา ดังนั้นถ้าจัดทำแนวทางการปฏิรูปกันดีๆ เชื่อว่ารัฐธรรมนูญนี้จะสามารถช่วยนำพาให้เศรษฐกิจของไทยกลับมามีความเข้มแข็งและเป็นผู้นำของภูมิภาคได้

           อย่างไรก็ตามร่างรัฐธรรมนูญนี้สามารถตอบโจทย์ของประเทศได้ในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการสร้างพลเมืองให้เป็นใหญ่ การทำการเมืองให้ใสสะอาดและสมดุล การสร้างสังคมที่เป็นธรรม และการนำชาติกลับสู่สันติสุข แต่มีอีกโจทย์ใหญ่ที่รัฐธรรมนูญนี้ยังไม่ตอบ คือการทำให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างยั่งยืน การทำให้เศรษฐกิจหลุดจากกับดักประเทศรายได้ปานกลาง การทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศพัฒนาแล้ว เพราะเนื้อหาด้านเศรษฐกิจมีน้อยเกินไป อาจเป็นเพราะการทำเศรษฐกิจให้เข้มแข็งไม่ได้เป็นหนึ่งในเจตนารมย์ของรัฐธรรมนูญนี้ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นก็ควรจะเพิ่มเข้าไป เพราะในความเป็นจริงแล้ว ไม่มีทางที่ประเทศจะเจริญก้าวหน้าได้อย่างมั่นคง ไม่มีทางที่ความเหลื่อมล้ำจะลดลงได้ ถ้าไม่มีระบบเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและประชาชนมีรายได้ที่ดี

           ทั้งนี้เนื้อหาด้านเศรษฐกิจที่น่าจะระบุในรัฐธรรมนูญก็คือ รัฐมีหน้าที่ต้องดำเนินการเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในทุกๆ ด้าน เช่น พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบโลจิสติกส์ให้ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพ ส่งเสริมภาคการผลิต การค้า การบริการ ตลาดเงิน ตลาดทุน ให้แข่งขันได้บนเวทีโลก ยกระดับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวคุณภาพ เป็นต้น และควรระบุให้ชัดในภาคปฏิรูปด้วยว่ารัฐต้องทำอะไรและอย่างไรเพื่อทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้อย่างมีคุณภาพและยั่งยืน


           อีกทั้งในเรื่องของการพัฒนาตลาดทุนก็มีเนื้อหาที่ค่อนข้างน้อย ซึ่งเห็นควรให้มีการเพิ่มเติมดังนี้
           1. รัฐต้องส่งเสริมและดำเนินการให้ประชาชนทุกระดับมีความรู้ทางการเงินและการลงทุนที่เพียงพอ เหตุผลหลักเพราะคนไทยมีความรู้ทางการเงินน้อยมากโดยเฉพาะในกลุ่มคนยากจน จึงทำให้เกิดปัญหาทางสังคมมากมาย เช่น การใช้จ่ายเกินตัว การถูกหลอกทางการเงิน ฯลฯ และยังเป็นต้นเหตุสำคัญของความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและความมั่งคั่งกระจุกตัว
           2. รัฐต้องทำให้ตลาดทุนไทยเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ และต้องยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของตลาดทุนไทยในระดับสากล เหตุผลหลักเพราะในปัจจุบัน ตลาดทุนคือแหล่งระดมทุนที่ใหญ่และสำคัญที่สุดของประเทศ และมีแนวโน้มที่จะเติบโตอีกมาก จึงต้องมีการกำหนดแนวทางการปฏิรูปตลาดทุนที่ชัดเจนเพื่อเพิ่มความเข้มแข็ง ความโปร่งใส และประสิทธิภาพ รวมทั้งเพื่อช่วยทำให้ภาคธุรกิจไม่ว่าจะขนาดเล็กหรือใหญ่สามารถเข้าถึงแหล่งทุนที่ถูกและมีคุณภาพ

           โดยสรุปจะเห็นได้ว่ารัฐธรรมนูญถือว่าเป็นกฎหมายสูงสุดที่มีความสำคัญไม่ว่าจะเป็นทั้งในเรื่องของการเมือง การศึกษา ภาคเศรษฐกิจ แต่ส่วนใหญ่มักจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับทางภาคเศรษฐกิจทั้งที่จริงๆ แล้วถือได้ว่าภาคเศรษฐกิจมีส่วนสำคัญที่จะช่วยทำให้ลดความเลื่อมล้ำทางสังคมได้ และถ้าสามารถระบุเกี่ยวกับการพัฒนาโครงสร้างเชิงเศรษฐกิจที่ต้องดำเนินการไว้ในรัฐธรรมนูญแล้ว ก็จะส่งผลดีทำให้ภาคเศรษฐกิจสามารถดำเนินการได้อย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลไหนเข้ามาบริหารประเทศก็ตาม ทำให้การดำเนินนโยบายเศรษฐกิจเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนได้เป็นอย่างดี แล้วในที่สุดก็จะส่งผลทำให้เศรษฐกิจเกิดการเจริญเติบโตได้อย่างยั่งยืนตามมาในที่สุดด้วย


________________________
* แหล่งที่มาของข้อมูล : ดร. วิรไท สันติประภพ คอลัมน์เศรษฐศาสตร์พเนจร


กลุ่มข้อมูลและวางแผนสื่อสารองค์กร
ฝ่ายสื่อสารองค์กร

บทความเศรษฐกิจ

วันที่ 25 มิถุนายน 2558

1551 Views

BAM Mobile Application

ค้นหาทรัพย์ง่ายๆ เพียงปลายนิ้วสัมผัส

บริการฝากขาย
อสังหาฯ
ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย