รายงานภาวะเศรษฐกิจและการเงิน เดือนมิถุนายน 2558
ข้อมูลเดือนมิถุนายน 2558 จากตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน จะเห็นว่าดัชนีราคาผู้บริโภคมีค่าเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เพราะภัยแล้งยังส่งผลทำให้ผลผลิตออกสู่ตลาดได้ในจำนวนน้อยลง ทำให้ราคาจำพวกอาหารสดมีการปรับราคาขึ้นมาสูงมากขึ้น ส่วนภาคการผลิตปรับตัวลดลง เนื่องจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจโลกยังปรับตัวได้ไม่มากเท่าไรนัก โดยเฉพาะประเทศคู่ค้าสำคัญของไทยยังมีภาพรวมของเศรษฐกิจที่ผันผวนอยู่ จึงทำให้ผู้ประกอบการมีการชะลอการผลิตลงไป ในขณะเดียวกันดุลการค้าปรับตัวลดลงแต่ยังมีทิศทางที่เป็นบวกอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการนำเข้ามีการปรับตัวลดลงไปค่อนข้างมาก ทำให้ยังไม่น่าเป็นห่วงมากเท่าไรนัก อย่างไรก็ตามภาวะการเงินยังทรงตัวไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลง โดยปริมาณเงินฝากและเงินให้สินเชื่อมีค่าลดลง เนื่องจากสถาบันการเงินไม่ได้เร่งระดมเงินฝากมากเท่าไรนัก จึงทำให้ประชาชนลดการฝากเงินกันลงไป ในขณะที่การปล่อยสินเชื่อมีการปรับตัวลดลงเล็กน้อย เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจที่มีการฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป ทำให้ผู้ประกอบการไม่ได้ขอสินเชื่อเพิ่มมากนัก ประกอบกับธนาคารก็ยังคงมีความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาหนี้เสียตามมาอีกด้วย
ตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน
|
รายละเอียด |
มีนาคม 58 |
เมษายน 58 |
พฤษภาคม 58 |
มิถุนายน 58 |
| ดัชนีราคาผู้บริโภค |
106.3 |
106.4 |
106.5 |
106.4 |
| ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม |
161.44 |
155.87 |
158.02 |
152.55 |
| อัตราการใช้กำลังการผลิต |
59.26 |
56.80 |
56.62 |
56.61 |
| ดุลการค้า |
3,464.65 |
1,707.35 |
4,151.50 |
1,989.12 |
| ดุลบัญชีเดินสะพัด |
2,210.16 |
1,113.39 |
2,126.92 |
893.46 |
| เงินฝาก |
12,173.06 |
12,233.17 |
12,165.98 |
n.a. |
| เงินให้สินเชื่อ |
13,031.84 |
13,180.09 |
13,075.40 |
n.a. |
ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย
หมายเหตุ: ดัชนีราคาผู้บริโภค มีปีฐานคือ 2545 เงินฝาก/เงินให้สินเชื่อ มีหน่วยเป็น พันล้านบาท
อัตราการใช้กำลังการผลิต มีหน่วยเป็น ร้อยละ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม มีปีฐานคือ 2543
ดุลการค้า ดุลบัญชีเดินสะพัด มีหน่วยเป็น ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา
ภาวะอสังหาริมทรัพย์ เดือนมิถุนายน 2558
• ด้านอุปทาน
- ที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เปรียบเทียบ ณ มิ.ย. 57 กับ 58 มีรายละเอียดดังนี้
|
ปี |
จำนวน(ยูนิต) |
การเติบโต(%) |
|
ณ มิ.ย. 57 |
53191 |
NA |
|
ณ มิ.ย. 58 |
51,636 |
-2.92% |
ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
- ประเภทที่อยู่อาศัยที่มีการจดทะเบียน ณ มิ.ย. 58 เรียงตามลำดับมีรายละเอียดดังนี้
|
ประเภท |
จำนวน(ยูนิต) |
สัดส่วน(%) |
|
อาคารชุด |
22,624 |
43.82 |
|
บ้านเดี่ยว |
17,098 |
33.11 |
|
ทาวน์เฮ้าส์ |
8,973 |
3.33 |
|
อาคารพาณิชย์ |
1,721 |
2.36 |
|
บ้านแฝด |
1,220 |
2.36 |
|
รวม |
51,636 |
100.00 |
ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
• ด้านอุปสงค์
- การโอนกรรมสิทธิ์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เปรียบเทียบ ณ มิ.ย. 57 กับ 58 มีรายละเอียดดังนี้
|
ปี |
จำนวน(ยูนิต) |
การเติบโต(%) |
|
ณ มิ.ย. 57 |
78,682 |
NA |
|
ณ มิ.ย. 58 |
78,296 |
-0.49% |
ที่มา: ประมาณการจากการคำนวณ เนื่องจากฐานข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์อยู่ระหว่างปรับปรุง
- ประเภทที่อยู่อาศัยที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ ณ มิ.ย. 58 เรียงตามลำดับมีรายละเอียดดังนี้
|
ประเภท |
จำนวน(ยูนิต) |
สัดส่วน(%) |
|
อาคารชุด |
28,218 |
36.04 |
|
ทาวน์เฮ้าส์ |
25,642 |
32.75 |
|
บ้านเดี่ยว |
14,391 |
18.38 |
|
อาคารพาณิชย์ |
6,906 |
8.82 |
|
บ้านแฝด |
3,139 |
4.01 |
|
รวม |
78,296 |
100.00 |
ที่มา: ประมาณการจากการคำนวณ เนื่องจากฐานข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์อยู่ระหว่างปรับปรุง
• สินเชื่อที่อยู่อาศัยปล่อยใหม่บุคคลทั่วไปของสถาบันการเงินทั้งระบบ
- สินเชื่อที่อยู่อาศัยปล่อยใหม่ ณ ไตรมาส 2 ปี 58 มีจำนวนทั้งสิ้น 143,418 ล้านบาท ขยายตัว
เพิ่มขั้น 2.25% จาก ณ ไตรมาส 2 ปี 57 ที่สามารถปล่อยสินเชื่อได้ 140,265 ล้านบาท
• สินเชื่อที่อยู่อาศัยคงค้างบุคคลทั่วไปของสถาบันการเงินทั้งระบบ
- สินเชื่อที่อยู่อาศัยคงค้างบุคคลทั่วไป ณ ไตรมาส 2 ปี 58 มีจำนวยทั้งสิ้น 2,957,531 ล้านบาท
ขยายตัวเพิ่มขึ้น 10.54% จาก ณ ไตรมาส 2 ปี 57 ที่มียอดคงค้างทั้งสิ้นอยู่ที่ 2,675,536 ล้านบาท
• อัตราดอกเบี้ยที่อยู่อาศัยบุคคลทั่วไปลอยตัวเฉลี่ยของ 6 ธนาคารใหญ่ มีรายละเอียดดังนี้
|
ปี 58 |
อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 6 ธนาคาร |
อัตราดอกเบี้ย นโยบาย ธปท. |
|
มกราคม |
7.09 |
2.00 |
|
กุมภาพันธ์ |
7.09 |
1.75 |
|
มีนาคม |
7.03 |
1.75 |
|
เมษายน |
7.03 |
1.50 |
|
พฤษภาคม |
6.88 |
1.50 |
|
มิถุนายน |
6.86 |
1.50 |
ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
หมายเหตุ: 6 ธนาคาร ประกอบ ธ.อาคารสงเคราะห์, ธ.กสิกรไทย, ธ.กรุงเทพ,
ธ.กรุงศรีอยุธยา, ธ.กรุงไทย และ ธ.ไทยพาณิชย์
สรุปภาพภาวะอสังหาริมทรัพย์เดือนมิถุนายน 2558
ภาพรวมของอุปทานมีการปรับตัวลดลง 2.92% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการ ฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังไม่ดีมากเท่าไรนัก จึงทำให้ผู้ประกอบการยังมีการชะลอพัฒนาโครงการออกไปก่อน ทำให้อุปทานในเดือนนี้ของปี 2558 มีการปรับตัวลดลงไป ในขณะที่ทางด้านอุปสงค์ปรับตัวลดลง 0.49% เพราะความเชื่อมั่นของผู้บริโภคยังไม่ดีมากเท่าไรนัก เนื่องจากการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจยังเป็นไปอย่างช้าๆ ทั้งนี้ที่อยู่อาศัยประเภทอาคารชุดยังมียอดการโอนกรรมสิทธิ์มากที่สุด รองลงมาคือทาวน์เฮ้าส์ และบ้านเดี่ยว ส่วนสินเชื่อที่อยู่อาศัยก็ยังมีการขยายตัวได้อยู่ ซึ่งมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น 10.54% ณ ไตรมาส 2 ปี 58 ในขณะที่ดอกเบี้ยที่อยู่อาศัยปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 6.86% ส่วนอัตราดอกเบี้ยนโยบายทรงตัวอยู่ที่ 1.50%
วิเคราะห์แนวทางการทำให้เศรษฐกิจโตอย่างต่อเนื่อง*
ในการที่จะทำให้มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องได้จะต้องมีการใช้กลไกตลาด เพื่อผลักดันการพัฒนาเศรษฐกิจและลดความยากจน โดยเน้นการสร้าง “ความสามารถในการเติบโต” ให้กับเศรษฐกิจและคนในประเทศ และในทางเศรษฐศาสตร์ การเติบโตของเศรษฐกิจเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะการเติบโตหมายถึงการเพิ่มรายได้ และยกระดับมาตรฐานความเป็นอยู่ของคนในประเทศให้สูงขึ้น ดังนั้นถ้าจะให้คนในประเทศมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นต่อเนื่อง จำเป็นที่เศรษฐกิจต้องมีการเติบโตต่อเนื่อง นอกจากนี้การเติบโตก็จะทำให้รัฐบาลมีรายได้จากภาษีอากร เพื่อลงทุนสร้างโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภค ที่จะยกระดับมาตรฐานความเป็นอยู่ของคนในประเทศ ที่สำคัญการเติบโตของเศรษฐกิจ คือที่มาของความมั่งคั่งของภาคเอกชน นำไปสู่การเก็บออมและการลงทุน ที่จะช่วยให้เศรษฐกิจและรายได้สามารถขยายตัวได้มากขึ้นในอนาคต ตรงกันข้ามเศรษฐกิจที่ไม่เติบโต ไม่ขยายตัว การลงทุนก็จะไม่เกิดขึ้น ผลก็คือเศรษฐกิจจะมีข้อจำกัดไม่สามารถขยายตัวหรือเติบโตได้ต่อเนื่อง
ประเด็นความต่อเนื่องของการเติบโตของเศรษฐกิจเอเชีย มาจากข้อเท็จจริงที่ว่าเศรษฐกิจทุกประเทศ เมื่อเริ่มมีการพัฒนาจะขยายตัวได้ดี เพราะสามารถนำปัจจัยการผลิตต่างๆ เช่น ทรัพยากรธรรมชาติ ที่ดิน แรงงาน และเงินทุนมาใช้ประโยชน์ก่อให้เกิดการผลิตสินค้า และสร้างรายได้ นำไปสู่กระบวนการสะสมทุนที่ขยายความสามารถในการผลิต และการสร้างรายได้ในระดับที่สูงขึ้น ประเทศในเอเชียทุกประเทศล้วนได้ผ่านกระบวนการนี้มาทั้งสิ้น โดยเศรษฐกิจเอเชียขยายตัวได้ต่อเนื่องเฉลี่ยอัตราร้อยละ 3.9 ต่อปีตั้งแต่ปี 1950 เป็นต้นมา แต่ทุกประเทศหลังเศรษฐกิจเติบโตได้ดี ถึงจุดหนึ่งอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจจะเริ่มชะลอ คือขยายตัวในอัตราที่ลดลง ในแง่นโยบายโจทย์ก็คือทำอย่างไรให้การขยายตัวของเศรษฐกิจสามารถยืนอยู่ในอัตราที่ดีได้ต่อเนื่อง หลีกเลี่ยงไม่ให้เศรษฐกิจชะลอจนเข้าสู่ช่วงของการถดถอย (Secular stagnation) ซึ่งกรณีที่แย่ที่สุด อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจจะลดลงจนต่ำกว่าอัตราการเพิ่มสุทธิของประชากร ทำให้รายได้ต่อหัวของคนในประเทศลดลง ซึ่งหมายถึงประเทศกำลังเดินถอยหลังในแง่การพัฒนาเศรษฐกิจ
ในประเด็นนี้มี 3 กับดักที่ประเทศในเอเชียต้องระวัง และต้องพยายามหลีกเลี่ยง เพื่อให้เศรษฐกิจสามารถเติบโตได้ต่อเนื่อง โดยมีรายละเอียดดังนี้
กับดักแรก คือ กับดักรายได้ปานกลาง หรือ Middle-income Trap ที่ประเทศที่เติบโตได้ดีจนเป็นประเทศรายได้ปานกลาง อาจตกอยู่ในกับดักนี้ ทำให้ไม่สามารถก้าวข้ามไปสู่การเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว หรือประเทศที่มีรายได้สูงได้ในเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และสิงคโปร์ ที่รายได้เฉลี่ยต่อหัวได้เพิ่มขึ้น เข้าสู่ระดับประเทศที่พัฒนาแล้ว ขณะที่ จีน ไทย และประเทศในกลุ่มอาเซียน ยังต้องพยายามหลีกเลี่ยงกับดักนี้ในทางเศรษฐศาสตร์ กับดักนี้สะท้อนกฎผลตอบแทนที่ลดลง (Law of diminishing returns) ที่นักเศรษฐศาสตร์รู้จักดี ที่ผลผลิตจะเพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลง จากที่การเพิ่มปัจจัยการผลิตถึงจุดหนึ่งจะกระทบผลิตภาพการผลิต กรณีกับดักรายได้ปานกลางก็เช่นกัน ปัญหาจะเกิดขึ้นเมื่อโอกาสทางเศรษฐกิจที่มาจากการใช้ประโยชน์ของแรงงานท้องถิ่น และเทคโนโลยีจากต่างประเทศเริ่มหมดลง ทำให้ประเทศต้องเพิ่มระดับของเทคโนโลยี ด้านการผลิต และผลิตภาพของแรงงาน เพื่อสร้างความสามารถในการผลิตของประเทศให้สูงขึ้น
กับดักที่สอง คือ ด้านประชากร ที่ถึงจุดหนึ่งประเทศรายได้สูงหรือรายได้ปานกลางมักประสบปัญหานี้ คือ ประชากรวัยทำงานจะมีสัดส่วนลดลง ทำให้รายได้ที่เกิดจากการทำงานของประชากรวัยทำงานส่วนหนึ่งต้องถูกนำไปใช้ (ผ่านมาตรการด้านภาษี) เลี้ยงดูผู้ที่ไม่อยู่ในวัยทำงานที่มีมากขึ้น ทำให้รายได้ของประเทศที่จะมีเหลือเพื่อการลงทุนมีน้อยลง สร้างข้อจำกัดให้กับการขยายความสามารถในการผลิตของประเทศ
กับดักที่สาม ก็คือ กับดักความไม่เพียงพอของทรัพยากร ที่จะมาสนับสนุนให้ความเป็นอยู่ของคนในประเทศดีขึ้นต่อเนื่อง ทรัพยากรในที่นี้รวมถึง น้ำมัน สิ่งแวดล้อม น้ำ และคุณภาพของอากาศ เป็นต้น ในประเด็นนี้ จีนคงเป็นตัวอย่างที่ดี ที่การเติบโตที่รวดเร็วในอดีต สามารถนำมาสู่ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ที่กลับมากระทบความสามารถในการผลิตของประเทศ
ดังนั้นถ้าจะให้เศรษฐกิจเติบโตต่อเนื่อง กับดักทั้ง 3 นี้เป็นสิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยง เพื่อไม่ให้เศรษฐกิจของประเทศสะดุด หรือการขยายตัวลดลงต่ำต่อเนื่อง กรณีของไทยก็กำลังเจอปัญหานี้ ที่อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจช่วงสิบปีที่ผ่านมา เฉลี่ยต่ำกว่าในอดีตมาก และถ้าวันนี้ยังไม่มีการเตรียมตัวให้ประเทศดีพอ ก็จะเจอปัญหากับดักที่สองแน่นอน เพราะโครงสร้างประชากรของไทยในอนาคตจะมีสัดส่วนประชากรวัยทำงานที่น้อยลง เป็นประเทศที่จะมีผู้สูงอายุมาก และถ้าผู้สูงอายุเหล่านี้ไม่มีการเก็บออมเตรียมไว้ตั้งแต่วันนี้ ก็จะเป็นภาระทางการเงินเป็นอย่างมากต่อกำลังแรงงานรุ่นต่อไปที่ต้องเลี้ยงดูประชากรสูงวัยเหล่านี้ นี่ยังไม่รวมความเสื่อมถอยของสิ่งแวดล้อมในประเทศที่คงมีมากขึ้น ทำให้ความสามารถในการผลิตของประเทศยิ่งจะลดลง
ซึ่งในเรื่องปัญหาดังกล่าวนี้มีทางแก้ไขด้วยการเพิ่มผลิตภาพทางการผลิตของประเทศ หรือ Total Factor Productivity เพื่อให้ปัจจัยการผลิตของประเทศที่มีอยู่ สามารถสร้างผลผลิตหรือรายได้ให้กับเศรษฐกิจได้มากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งในแง่นโยบาย หมายถึง การพัฒนาทุนมนุษย์ หรือคุณภาพของบุคลากรในประเทศด้วยการลงทุนด้านการศึกษา เพื่อให้ความรู้และความสามารถของคนรุ่นต่อไปที่จะเป็นกำลังแรงงานของประเทศมีคุณภาพมากขึ้น นำไปสู่ความสามารถในการผลิตที่สูงขึ้น ที่จะหักล้างปัจจัยลบที่มาจากอิทธิพลของกับดักต่างๆ เพื่อให้เศรษฐกิจสามารถเติบโตได้ต่อเนื่อง
นอกจากนี้นโยบายเศรษฐกิจก็ต้องมุ่งสร้างภาวะแวดล้อมในการทำธุรกิจที่เป็นมิตรต่อกลไกตลาดและการแข่งขัน และต้องทำให้ประเทศมีระบบการเงินที่เข้มแข็ง มีประสิทธิภาพและเปิดกว้างในด้านโอกาสให้กับคนในประเทศ ทั้งหมดนี้จะสร้างโอกาสทางธุรกิจและเพิ่มความสามารถในการเติบโตให้กับประเทศ นำไปสู่การขยายตัวของเศรษฐกิจที่ต่อเนื่อง ซึ่งประเด็นต่างๆ ที่กล่าวไปแล้วข้างต้นจะเป็นประโยชน์สำหรับประเทศไทยที่อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจได้ลดลงต่ำอย่างชัดเจน และต้องพยายามหลุดออกจากหรือหลีกเลี่ยงกับดักเหล่านี้ เพื่อในที่สุดจะทำให้เศรษฐกิจของประเทศไทยสามารถเกิดการเติบโตได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืนต่อไป
วิเคราะห์อนาคตของเศรษฐกิจไทย
การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของไทยในขณะนี้ดูเหมือนจะมีความผันผวนค่อนข้างมาก และเมื่อวิเคราะห์ลงไปในรายละเอียดถึงสภาพเศรษฐกิจจะพบว่ามีสาระสำคัญดังนี้
1. เศรษฐกิจไทยย้ำแย่เหมือนกับวิกฤติปี 2540 หรือไม่
ทั้งนี้เมื่อพิจารณาสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจะมีความแตกต่างกันเป็นอย่างมาก และคาดการณ์ว่าครั้งนี้ไม่น่าจะเกิดวิกฤติเช่นเดียวกับปี 2540 ซึ่งในครั้งนั้นประเทศไทยใช้เงินเกินตัว ขาดดุลบัญชีเดินสะพัด 8% ของจีดีพี ต้องกู้เงินต่างประเทศมาใช้จ่าย เมื่อมีการพยายามถอนเงินออกบวกกับการถูกเก็งกำไรค่าเงินบาท ทำให้ทุนสำรองที่มีอยู่ 30,000 ล้านดอลลาร์ ไม่เพียงพอกับหนี้ต่างประเทศประมาณ 80,000 ล้านดอลลาร์ ต้องขอกู้ไอเอ็มเอฟ โดยให้ไอเอ็มเอฟเข้ามาช่วยบริหารเศรษฐกิจของประเทศ ส่งผลทำให้สถาบันการเงินต้องมีการปิดตัวลงเป็นจำนวนมาก และเงินบาทอ่อนค่าลงเป็น 50 บาทต่อ 1 ดอลลาร์ ทำให้การส่งออกดีขึ้นและการนำเข้าหดตัวอย่างรุนแรง
ในวิกฤติครั้งนั้นทำให้การส่งออกของประเทศไทยที่คิดเป็นสัดส่วนของจีดีพีเพิ่มขึ้นจาก 35% ในปี 2539 มาเป็น 65% ในปี 2549 กล่าวคือการส่งออกเป็นหัวจักรสำคัญในการฟื้นเศรษฐกิจและใช้คืนหนี้ต่างประเทศ นอกจากนั้นก็พึ่งพาต่างชาติให้เข้ามาเพิ่มทุนสถาบันการเงินและบริษัทขนาดใหญ่ของประเทศไทย ณ วันนี้สถาบันการเงินและบริษัทขนาดใหญ่ของไทยแข็งแรง หนี้ต่างประเทศประมาณ 120,000 ล้านดอลลาร์ น้อยกว่าทุนสำรองสุทธิประมาณ 180,000 ล้านดอลลาร์ นอกจากนั้นไทยยังเกินดุลบัญชีเดินสะพัดประมาณ 5% ของจีดีพี แต่ในปัจจุบันนี้ชาวนาเผชิญกับปัญหาราคาพืชผลตกต่ำและภัยแล้ง พนักงานเงินเดือนถูกตัดเงินล่วงเวลา เพราะยอดขายหดและใช้กำลังการผลิตเพียง 60% เนื่องจากยอดส่งออกไม่กระเตื้อง และธนาคารพาณิชย์เองก็เป็นห่วงเรื่องหนี้เสีย ทำให้มีความระมัดระวังต่อการปล่อยกู้เพิ่ม ส่งผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจน่าจะขยายตัวได้อย่างช้าๆ
2. มีปัจจัยบวกอะไรบ้างที่จะทำให้เศรษฐกิจเกิดการฟื้นตัวได้มากขึ้น
ทั้งนี้มีอยู่ 3 ปัจจัยที่จะช่วยทำให้เกิดการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้มากขึ้น ดังนี้
2.1 รัฐบาลพยายามเร่งเบิกงบลงทุนและตั้งงบลงทุนเพิ่มขึ้น 90,000 ล้านบาท ในปีงบประมาณหน้า กล่าวคืองบลงทุนในปี 2557 เท่ากับ 441,000 ล้านบาท แต่ในปี 2558 งบลงทุนเพิ่มขึ้นเพียง 9,000 ล้านบาท เป็น 450,000 ล้านบาท นอกจากนั้นยังเบิกจ่ายได้เพียง 25-30% ในครึ่งแรกของปีงบประมาณ 2558 แต่มองไปข้างหน้าหากรัฐบาลทำได้ตามสัญญาคือเบิกจ่ายอีก 50% (225,000 ล้านบาท) และยังจะมีงบปี 2559 รอเบิกจ่ายอีก 540,000 ล้านบาท ก็อาจมองได้ว่ามีนัยสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจได้
2.2 การลงทุนของรัฐจะมีประโยชน์ที่สุดหากเป็นปัจจัยที่จุดประกายให้ภาคเอกชนลงทุนตาม ทั้งนี้ เพราะการลงทุนของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจรวมกันประมาณ 6% ของจีดีพีเท่านั้น ไม่สามารถเป็นหัวจักรในการฟื้นเศรษฐกิจได้ แต่หากเอกชนร่วมลงทุนอาจมีพลังเพียงพอ เพราะการลงทุนเอกชนคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 18-20% ของจีดีพี
2.3 การท่องเที่ยว ซึ่งยอดนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอย่างน่าพอใจ และการท่องเที่ยวก็ทำรายได้ประมาณ 10% ของจีดีพี หมายความว่าหากภาคส่วนของเศรษฐกิจประมาณ 1/3 ไปได้ดี (การท่องเที่ยว การลงทุนภาครัฐและภาคเอกชน) ก็น่าจะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้มากขึ้นในปี 2559
ภาคเศรษฐกิจที่สำคัญอีก 2 ส่วนคือ การส่งออก (60% ของจีดีพี) และการบริโภคเอกชน (50% ของ จีดีพี) นั้น ก็คาดหวังว่าจะไม่ทรุดตัวลงมากนัก เพราะปัจจัยเศรษฐกิจโลกค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้น น่าจะทำให้การส่งออกไทยในปีหน้าขยายตัวได้ ในขณะที่การบริโภคน่าจะโตได้บ้าง แต่อาจจะต่ำกว่าจีดีพีโดยรวม เพราะครัวเรือนต้องลดสัดส่วนของหนี้สินลง ทั้งนี้ความเสี่ยงจากต่างประเทศที่เกรงว่าจะกระทบการส่งออกของไทยคือ ความเป็นไปได้ที่เงินหยวนของจีนจะอ่อนค่าลง นอกจากนั้นก็ยังมีแรงต้านจากปัญหาภัยแล้ง ปัญหาประมง (IUU) และความเสี่ยงบางประการด้านการท่องเที่ยว (ปัญหาการบินกับ ICAO และโรค Mers เป็นต้น)
3. อนาคตของเศรษฐกิจไทย
แต่ก่อนเศรษฐกิจไทยขยายตัว 7-8% ต่อปี แต่ในระยะหลังนี้ขยายตัวเพียง 2-3% ต่อปี เพราะแต่ก่อนการส่งออกขยายตัวเกือบ 2 เท่าของจีดีพี และการลงทุนภาคเอกชนก็สูงถึง 30-40% ของจีดีพี ซึ่งในช่วง 25 ปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยขยายตัวเพราะอาศัยการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก โดยการผลิตภาคอุตสาหกรรมขยายตัวประมาณ 5% ต่อปี เทียบกับภาคเกษตรที่ขยายตัวเพียง 3% ทำให้ภาคอุตสาหกรรมคิดเป็นสัดส่วนของจีดีพีเพิ่มขึ้นจาก 25% เมื่อ 25 ปีที่แล้ว มาเป็น 29% ในปัจจุบัน ทั้งนี้โดยอาศัยการขุดเจาะก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยมาใช้เป็นพลังงานราคาถูก และเป็นพื้นฐานของการพัฒนาอุตสาหกรรมปิโตรเคมี และได้มีการลงทุนสร้างนิคมอุตสาหกรรมมารองรับการย้ายฐานการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น แต่ปัจจุบันเงินเยนอ่อนค่าและก๊าซธรรมชาติก็เหลือใช้ไม่ถึง 10 ปี ดังนั้นประเทศไทยจึงต้องประเมินว่าจะดำเนินการทางด้านโครงสร้างทางเศรษฐกิจอย่างไร จะอาศัยการท่องเที่ยวหรือต่อยอดโดยการเป็นศูนย์ทางการแพทย์ (medical tourism) หรือการเป็นที่ให้คนต่างชาติสูงวัยมาพำนักในประเทศไทยปีละ 4-5 เดือนหรือนานกว่านั้น เป็นต้น
ในขณะที่การจะขยายฐานการผลิตภาคอุตสาหกรรมต่อไปอีก ดูเหมือนว่าจะมีความลำบากมากขึ้น เพราะพลังงานก็อาจขาดแคลน (การนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลวมีต้นทุนสูงกว่าก๊าซที่ใช้อยู่ปัจจุบันประมาณ 20%) การลงทุนจากญี่ปุ่นและยุโรปก็น่าจะขยายตัวไม่มาก เพราะเงินของทั้งสองประเทศอ่อนค่าลงอย่างมาก และที่สำคัญคือประเทศเพื่อนบ้าน เช่น พม่า เขมร และเวียดนาม ก็มีแรงงานราคาถูกกว่าประเทศไทยเป็น อย่างมาก ส่วนแรงงานที่มีการศึกษาสูงของประเทศไทยก็ยังขาดแคลนเช่นกัน ทั้งนี้หากความพยายามเจรจาความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (Trans Pacific Partnership หรือ TPP) ประสบความสำเร็จในปลายปีนี้ ก็จะยิ่งเป็นการบั่นทอนอนาคตทางเศรษฐกิจของไทย เพราะไทยมิได้เป็นส่วนหนึ่งของทีพีพี แต่เวียดนาม มาเลเซียและสิงคโปร์ น่าจะได้ประโยชน์จากความตกลงดังกล่าวที่จะจัดตั้งเขตการค้าเสรีใน 12 ประเทศ ที่มีมูลค่าจีดีพีรวมกันเกือบ 40% ของจีดีพีโลก โดยครอบคลุมประเทศคู่ค้าที่สำคัญๆ ของไทย เช่น สหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น เป็นต้น
โดยสรุปอนาคตของเศรษฐกิจไทยยังมีปัจจัยหลายอย่างที่ต้องติดตาม ซึ่งเป็นประเด็นต่างๆ ดังที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น ดังนั้นถ้าประเทศไทยไม่มีการเตรียมการหรือรองรับกับปัจจัยต่างๆ ก็จะส่งผลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ประเทศไทยควรที่จะต้องมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจให้มีความเหมาะสมมากขึ้น โดยไม่เพียงแต่มุ่งหวังทางด้านการส่งออกเพื่อช่วยในการขยายตัวของเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ต้องมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างให้มีความเหมาะสมมากขึ้นทั้งทางด้านการลงทุนและการบริโภค เพื่อที่ในอนาคตเศรษฐกิจของไทยจะได้สามารถมีการขยายตัวได้อย่างยั่งยืนถึงแม้ว่าจะมีความผันผวนจากเศรษฐกิจภายนอกก็ตาม
______________________
* แหล่งที่มาของข้อมูล : ดร.บัณฑิต นิจถาวร คอลัมน์เศรษฐศาสตร์บัณฑิต
กลุ่มข้อมูลและวางแผนสื่อสารองค์กร
ฝ่ายสื่อสารองค์กร