บทความวิเคราะห์รายงานทางเศรษฐกิจ(ประจำเดือนมีนาคม 2564)
ข้อมูลเดือนมกราคม 2564 จากตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน จะเห็นว่าดัชนีราคาผู้บริโภคมีค่าเพิ่มขึ้น เพราะราคาน้ำมันกลับมามีทิศทางที่ปรับตัวสูงขึ้นไป ในขณะที่ราคาสินค้าจำพวกอาหารสดก็มีทิศทางที่ค่อนข้างทรงตัว จึงส่งผลทำให้ราคามีทิศทางที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาในเดือนนี้ ส่วนภาคการผลิตมีแนวโน้มในการปรับตัวได้ดีขึ้น เนื่องจากผลกระทบจากโควิด-19 ที่มีแนวโน้มค่อนข้างทรงตัว ทำให้ในเดือนนี้คำสั่งซื้อเริ่มมีการปรับตัวได้สูงขึ้นตามภาวะของเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้ในเดือนนี้มีการผลิตสินค้าที่ขยายตัวขึ้นมาได้ ในขณะเดียวกันดุลการค้าปรับตัวลดลงแต่ยังมีทิศทางที่เป็นบวกอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการนำเข้ายังมีค่าที่ไม่สูงมากเท่าไรนัก จึงทำให้ไม่น่าเป็นห่วง อย่างไรก็ตามภาวะการเงินยังทรงตัวไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลง โดยปริมาณเงินฝากและเงินให้สินเชื่อมีค่ามากขึ้น เนื่องจากประชาชนได้กลับมามีการออมเพิ่มขึ้น เนื่องจากการลงทุนยังมีความผันผวนอยู่ จึงส่งผลให้การออมเงินมีการขยายตัวขึ้นมา ในขณะที่การปล่อยสินเชื่อมีค่าสูงขึ้น เนื่องจากธนาคารได้มีการปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการไปช่วยในการเพิ่มเสริมสภาพคล่อง จึงส่งผลให้การปล่อยสินเชื่อมีการปรับตัวที่เพิ่มขึ้นมาได้ แต่ก็ยังคงมีความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาหนี้เสียตามมาอีกด้วย
ตารางภาวะเศรษฐกิจและการเงิน
รายละเอียด
|
ตุลาคม 63
|
พฤศจิกายน 63 |
ธันวาคม 63 |
มกราคม 64 |
ดัชนีราคาผู้บริโภค |
102.23
|
102.19 |
102.34 |
99.79 |
ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม |
96.14
|
98.11 |
96.33 |
101.34 |
อัตราการใช้กำลังการผลิต |
63.47
|
65.43 |
63.77 |
66.41 |
ดุลการค้า |
3,493.53
|
1,903.40 |
2,834.49 |
1,893.71 |
ดุลบัญชีเดินสะพัด |
1,000.26
|
-1,475.99 |
-692.58 |
-673.34 |
เงินฝาก |
15,424.05
|
15,627.31 |
n.a. |
n.a. |
เงินให้สินเชื่อ |
16,310.54
|
16,659.40 |
n.a. |
n.a. |
ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย
หมายเหตุ : ดัชนีราคาผู้บริโภค มีปีฐานคือ 2562 เงินฝาก/เงินให้สินเชื่อ มีหน่วยเป็น พันล้านบาท
อัตราการใช้กำลังการผลิต มีหน่วยเป็น ร้อยละดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม มีปีฐานคือ 2559
ดุลการค้า ดุลบัญชีเดินสะพัดมีหน่วยเป็นล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา
ภาวะอสังหาริมทรัพย์ เดือนมกราคม 2564
ด้านอุปทาน
- ที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เปรียบเทียบ ณ ม.ค. 63 กับ 64 มีรายละเอียดดังนี้
ปี
|
จำนวน(ยูนิต)
|
การเติบโต(%)
|
ณ ม.ค. 63
|
11,353
|
143.41
|
ณ ม.ค. 64
|
4,805
|
-57.68
|
ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
- ประเภทที่อยู่อาศัยที่มีการจดทะเบียน ณ ม.ค. 64 เรียงตามลำดับมีรายละเอียดดังนี้
ประเภท
|
จำนวน(ยูนิต)
|
สัดส่วน(%)
|
บ้านเดี่ยว
|
2,440
|
50.78
|
อาคารชุด
|
1,151
|
23.95
|
ทาวน์เฮ้าส์
|
798
|
16.61
|
อาคารพาณิชย์
|
302
|
6.29
|
บ้านแฝด
|
114
|
2.37
|
รวม
|
4,805
|
100.00
|
ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
ด้านอุปสงค์
- การโอนกรรมสิทธิ์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เปรียบเทียบ ณ ม.ค. 63 กับ 64 มีรายละเอียดดังนี้
ปี
|
จำนวน(ยูนิต)
|
การเติบโต(%)
|
ณ ม.ค. 63
|
11,791
|
15.63 %
|
ณ ม.ค. 64
|
8,578
|
-27.25 %
|
ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
- ประเภทที่อยู่อาศัยที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ ณ ม.ค. 64 เรียงตามลำดับมีรายละเอียดดังนี้
ประเภท
|
จำนวน(ยูนิต)
|
สัดส่วน(%)
|
อาคารชุด
|
3,932
|
45.84
|
ทาวน์เฮ้าส์
|
2,455
|
28.62
|
บ้านเดี่ยว
|
1,419
|
16.54
|
อาคารพาณิชย์
|
414
|
4.83
|
บ้านแฝด
|
358
|
4.17
|
รวม
|
8,578
|
100.00
|
ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
- สินเชื่อที่อยู่อาศัยปล่อยใหม่บุคคลทั่วไปของสถาบันการเงินทั้งระบบ
- สินเชื่อที่อยู่อาศัยปล่อยใหม่ ณ ไตรมาส 4 ปี 63 มีจำนวนทั้งสิ้น 172,310 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้น 0.62% จาก ณ ไตรมาส 4 ปี 62 ที่สามารถปล่อยสินเชื่อได้ 171,252 ล้านบาท
- สินเชื่อที่อยู่อาศัยคงค้างบุคคลทั่วไปของสถาบันการเงินทั้งระบบ
- สินเชื่อที่อยู่อาศัยคงค้างบุคคลทั่วไป ณ ไตรมาส 4 ปี 63 มีจำนวนทั้งสิ้น 4,254,730 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้น 6.10% จาก ณ ไตรมาส 4 ปี 62 ที่มียอดคงค้างทั้งสิ้นอยู่ที่ 4,010,235 ล้านบาท
- อัตราดอกเบี้ยที่อยู่อาศัยบุคคลทั่วไปลอยตัวเฉลี่ยของ 6 ธนาคารใหญ่ มีรายละเอียดดังนี้
ปี 63
|
อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย
6 ธนาคาร
|
อัตราดอกเบี้ยนโยบาย ธปท.
|
มกราคม
|
5.38
|
0.50
|
ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
หมายเหตุ: 6 ธนาคาร ประกอบ ธ.อาคารสงเคราะห์, ธ.กสิกรไทย, ธ.กรุงเทพ, ธ.กรุงศรีอยุธยา, ธ.กรุงไทย และ ธ.ไทยพาณิชย์
สรุปภาพรวมภาวะอสังหาริมทรัพย์เดือนมกราคม 2564
ภาพรวมของอุปทานมีการปรับตัวลดลง 57.68% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการ ฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังเป็นไปได้อย่างช้าๆ ท่ามกลางความผันผวนที่ยังมีอยู่มาก อีกทั้งการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่กลับมาระลอกใหม่ จึงทำให้ผู้ประกอบการชะลอการพัฒนาโครงการออกมา เพื่อรอดูสถานการณ์ให้มีความชัดเจนมากขึ้น ส่งผลให้อุปทานในตลาดมีทิศทางที่หดตัวลงมา ในขณะเดียวกันทางด้านอุปสงค์ก็มีทิศทางที่ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 27.25% เพราะกำลังซื้อของผู้บริโภคยมีแนวโน้มชะลอตัวอยู่ต่อไป ประกอบกับการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินยังมีความเข้มงวด เนื่องจากทิศทางของหนี้ด้อยคุณภาพมีการปรับตัวสูงขึ้น ทั้งนี้ที่อยู่อาศัยประเภทอาคารชุดยังมียอดการโอนกรรมสิทธิ์มากที่สุด รองลงมาคือ ทาวน์เฮ้าส์ และบ้านเดี่ยว ส่วนสินเชื่อที่อยู่อาศัยค่อนข้างทรงตัวตามความเข้มงวดของสถาบันการเงิน ส่งผลทำให้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อยที่ 0.62% ณ ไตรมาส 4 ปี 63 ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่อยู่อาศัยปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ 5.38% แต่อัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยทรงตัวอยู่ที่ 0.50% ตามลำดับ
วิเคราะห์ทิศทาง Deep Tech กับบริบทอนาคตของธุรกิจ*
ที่มาของภาพ : https://www.techworks.org.uk/wp-content/uploads/2017/08/IMAGE-2_WHAT-IS-DEEP-TECH-0.jpg
นักอนาคตศาสตร์ได้เริ่มมองฉากทัศน์อนาคตของการเกิดเทคโนโลยีที่จะสามารถสร้างผลกระทบคลื่นการเติบโตของวัฏจักรธุรกิจในยุคต่อไปจากนี้มากขึ้น แม้ว่านักเศรษฐศาสตร์จะมีความเข้าใจมาเป็นเวลาเกือบ 100 ปีมาแล้วว่า คลื่นวัฏจักรการขึ้นลงของเศรษฐกิจโลกจะมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับการเกิดขึ้นของเทคโนโลยีใหม่ที่ทำให้เกิดผลกระทบเชิงบวกให้กับการเติบโตของภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมอย่างมีนัยสำคัญ ที่รู้จักกันในนามของ “ทฤษฎีคลื่นยาว” ไม่ว่าจะเป็นคลื่นการเติบโตจากเทคโนโลยีเครื่องจักรไอน้ำ คลื่นจากเทคโนโลยีการผสมโลหะที่ทำให้สามารถผลิตเหล็กที่มีความทนทานสูงนำมาใช้สร้างเป็นรางรถไฟ ทำให้เกิดการคมนาคมและขนส่งในเส้นทางที่ยาวไกลได้เกินกว่าการใช้แรงงานจากสัตว์ คลื่นจากการเทคโนโลยีเคมีและไฟฟ้าที่ทำให้เกิดเครื่องใช้ในบ้านที่มีความสะดวกสบายในการใช้งานมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน คลื่นจากเทคโนโลยีเครื่องยนต์สันดาปภายในและเทคโนโลยีเชื้อเพลิงจากปิโตรเลียม มาจนถึงคลื่นของเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ ไอที อินเตอร์เน็ต และชีวเคมี ที่เกิดต่อเนื่องกันเป็นช่วงๆ มาจนถึงในปัจจุบัน
นักอนาคตศาสตร์ได้เริ่มมองฉากทัศน์อนาคตของการเกิดเทคโนโลยีที่จะสามารถสร้างผลกระทบคลื่นการเติบโตของวัฏจักรธุรกิจในยุคต่อไปจากนี้ และได้เริ่มเกิดการกล่าวถึงคำว่า “ดีพเทค” (Deep Tech) กันมากยิ่งขึ้น มีการให้คำนิยามว่า “ดีพเทค” ไม่ได้หมายความถึงการค้นหาเทคโนโลยีในเชิงลึกแต่เพียงอย่างเดียว แต่ยังมีขอบเขตในเชิงกว้างที่เกิดกับประเภทของเทคโนโลยีอย่างหลากหลายอีกด้วย
ลักษณะที่สังเกตได้ของ “ดีพเทคโนโลยี” คือ การเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน มีความก้าวหน้าขั้นที่สูงกว่าเทคโนโลยีล่าสุดที่มีใช้อยู่ในปัจจุบัน สามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญต่อธุรกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปพร้อมๆ กัน มีพลังเพียงพอที่จะสร้างตลาดใหม่ขึ้นมาเอง หรือสามารถ “ดิสรัป” ตลาดที่มีอยู่เดิมได้อย่างสิ้นเชิง และสามารถปกป้องการลอกเลียนแบบได้ในระดับที่จะสามารถสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันเชิงธุรกิจจากคู่แข่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในเชิงธุรกิจ ความพยายามที่จะค้นหา “ดีพเทค” ที่ประสบความสำเร็จ จะวัดกันที่ขนาดของผลตอบแทนทางธุรกิจที่จะเกิดขึ้น ระยะเวลาที่จะได้รับความนิยมให้คงอยู่ในตลาด และขนาดของการลงทุนและทรัพยากรที่ต้องใช้ โดยความรู้สึกปัจจุบันต่อ “ดีพเทค” ก็คือ จะให้ผลตอบแทนทางธุรกิจสูง คงอยู่ในตลาดได้ยาวนาน และต้องใช้การลงทุนค้นคว้าวิจัยในระดับสูง
มีผลการวิจัยที่แสดงว่า “ดีพเทค” ที่มีแนวโน้มจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ สามารถแยกออกได้เป็นกลุ่มเทคโนโลยีได้อย่างน้อย 7 สาขา ได้แก่
- วัสดุขั้นสูง (Advanced Materials)
- ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence)
- เทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology)
- บล็อกเชน (Blockchain)
- โดรนและหุ่นยนต์ (Drone and Robotics)
- อนุภาคแสงและอิเล็กทรอนิกส์ (Photonics and Electronics)
- เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ทำงานด้วยทฤษฏีควอนตัม (Quantum Computing)
ทั้ง 7 สาขาของ “ดีพเทค” สามารถแพร่กระจายเข้าสู่สาขาของธุรกิจและอุตสาหกรรมได้อย่างกว้างขวาง เช่น อุตสาหกรรมการบินและอวกาศ เกษตรกรรม ยานยนต์และยานพาหนะ ผลิตภัณฑ์เพื่อการอุปโภค บริโภค และการบริการ พลังงานและสาธารณูปโภค อาหารและเครื่องดื่ม สุขภาพและการดูแลสุขภาพ การผลิตและก่อสร้าง โลหะและการทำเหมืองแร่ อุปกรณ์สื่อสารและโทรคมนาคม การค้าปลีก การทำซอฟต์แวร์ การจัดการทรัพยากรน้ำ การกำจัดของเสีย เป็นต้น
ปัจจัยขับเคลื่อนที่จะผลักดันการพัฒนา “ดีพเทค” ให้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ได้แก่ ความแข็งแกร่งของเทคโนโลยีพื้นฐานในปัจจุบัน การกีดกันผู้เล่นหน้าใหม่ในธุรกิจที่ลดลง ความหลากหลายของธุรกิจทั้งในด้านขนาดและประเภทของธุรกิจที่มีเพิ่มมากขึ้น แหล่งเงินลงทุนที่กล้าเสี่ยงในธุรกิจเกิดใหม่ที่มีเพิ่มมากขึ้น การสนับสนุนจากนโยบายภาครัฐ และความท้าทายต่อปัญหาด้านต่างๆ ของโลกในที่เพิ่มมากขึ้นที่รอการแก้ไขจากเทคโนโลยีที่ดีขึ้น เป็นต้น
ส่วนปัจจัยเอื้อที่จะช่วยสนับสนุนการสร้าง “ดีพเทค” ก็คือระบบนิเวศธุรกิจที่ค่อนข้างจะแตกต่างไปจากระบบนิเวศของธุรกิจทั่วไป โดยระบบนิเวศธุรกิจ “ดีพเทค” จะประกอบด้วยปัจจัยสำคัญ เช่น การรวมกลุ่มของผู้สนใจที่หลากหลายและมีที่มาจากสาขาเทคโนโลยีที่แตกต่างกัน บริบทและสิ่งแวดล้อมที่ทำให้เกิดพลวัตสูง ลักษณะการบริหารการรวมตัวที่ยืดหยุ่น และกระบวนทัศน์ที่มีต่อการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน โดยกลุ่ม ผู้เล่นที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับระบบนิเวศธุรกิจ “ดีพเทค” มักจะได้แก่ สตาร์ทอัพ ธุรกิจขนาดใหญ่ สถาบันการศึกษา สถาบันวิจัย องค์กรภาครัฐ นักลงทุน และผู้นำทางความคิดที่จะทำหน้าที่ประสานงานระหว่างกลุ่มต่างๆ เพื่อให้เกิดความคล่องตัวที่จะต้องปรับเปลี่ยนไปตามระยะต่างๆ ของการพัฒนาเทคโนโลยีที่อาจทำให้ผู้เล่นบางกลุ่มจะมีความสำคัญเพิ่มขึ้นหรือลดลงตามผลลัพธ์ของการพัฒนา
โดยสรุปจะเห็นได้ว่าถึงแม้จะอยู่ในช่วงเริ่มต้นของวัฏจักรแห่ง “ดีพเทค” แต่ก็มีสัญญาณที่ดีของการเริ่มก่อตัวของระบบนิเวศและความคาดหวังว่ายุคที่รุ่งเรืองของ “ดีพเทค” จะเคลื่อนเข้ามาให้เห็นในระยะเวลาที่เร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้
วิเคราะห์เศรษฐกิจโลกกับวัคซีนป้องกันโควิด-19
แม้ทุกประเทศจะพยายามทุ่มทรัพยากรเต็มที่เพื่อแก้ปัญหา แต่ถึงขณะนี้การระบาดของโควิด-19 ก็ยังไม่หยุด และส่งผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจโลก ความหวังจึงมีอย่างเดียวคือ “วัคซีน” ที่จะหยุดการระบาดแล้วนำเศรษฐกิจโลกและชีวิตความเป็นอยู่ของคนทั่วโลกกลับสู่ภาวะปกติ ด้วยเหตุนี้ข่าวการรับรองวัคซีนป้องกัน โควิด-19 และการเริ่มนำวัคซีนมาฉีดให้กับประชากรกลุ่มเสี่ยงต่างๆ ในหลายประเทศ จึงเป็นข่าวดีทั้งต่อตลาดการเงินและเศรษฐกิจโลก ให้ความหวังว่าการระบาดอาจหยุดได้ ล่าสุดกองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือไอเอ็มเอฟได้ปรับประมาณการการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกปีนี้สูงขึ้นเป็นร้อยละ 5.5 สะท้อนความหวังนี้โดยมองสามปัจจัยที่จะช่วยให้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวปีนี้
1. โมเมนตัมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกปีที่แล้วที่ดีกว่าคาด คือ หดตัวน้อยกว่าที่ประเมินไว้ โดยเฉพาะช่วงครึ่งหลังของปี ที่การใช้จ่ายภาคครัวเรือนฟื้นตัวเข้มแข็งในไตรมาสสาม หลังหลายประเทศ ผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจกระเตื้องขึ้นอย่างชัดเจน แต่การฟื้นตัวแผ่วลงใน ไตรมาสสี่ เมื่อเกิดการระบาดรอบใหม่ในหลายประเทศ รวมถึงในเอเชียและประเทศไทย ไอเอ็มเอฟประเมินว่าเศรษฐกิจโลกปีที่แล้วหดตัวร้อยละ 3.5 เลวร้ายสุดคือประเทศอุตสาหกรรมที่หดตัวร้อยละ 4.9 เทียบกับประเทศตลาดเกิดใหม่ที่หดตัวร้อยละ 2.4
2. มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ออกมาเพิ่มเติมช่วงปลายปีที่แล้วโดยสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น ที่จะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจโลก รวมถึงมาตรการที่จะมาจากรัฐบาลใหม่ของสหรัฐอเมริกาในปีนี้ ที่มุ่งมั่นจะทำเต็มที่เพื่อหยุดการแพร่ระบาดและฟื้นเศรษฐกิจสหรัฐที่กำลังถดถอย มาตรการเหล่านี้จะทำให้เศรษฐกิจโลกมีศักยภาพที่จะฟื้นตัวได้ต่อเนื่องจากปีที่แล้ว และจะเข้มแข็งกว่าที่ประเมินไว้เดิม
3. วัคซีน โดยคาดว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศอุตสาหกรรมและในประเทศตลาดเกิดใหม่บางประเทศ จะฟื้นตัวได้มากขึ้นในปีนี้จากการชะลอตัวของการระบาดที่เป็นผลจากการฉีดวัคซีนที่ได้เริ่มมาตั้งแต่เดือนธันวาคมปีที่แล้ว ประมาณว่าการฉีดวัคซีนให้กับประชากรในประเทศเหล่านี้จะมีต่อเนื่องถึงปลายปี ซึ่งหมายถึงคนส่วนใหญ่จะได้รับการฉีดวัคซีน ขณะที่ประเทศตลาดเกิดใหม่ที่เหลือก็จะเริ่มฉีดวัคซีนในปีนี้เช่นกัน และจะใช้เวลาไปถึงปลายปีหน้า
ไอเอ็มเอฟมองว่าการมีวัคซีนและการฉีดวัคซีนอย่างกว้างขวางต่อเนื่องถึงปลายปีหน้า รวมถึงวิธีการรักษาที่ดีขึ้นจะส่งผลให้การระบาดของโควิด-19 ลดลง เอื้อให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาขยายตัว และกระตุ้นให้เศรษฐกิจทั่วโลกฟื้นตัว เป็นการฟื้นตัวที่ขับเคลื่อนด้วยความปลอดภัยของการใช้ชีวิตที่มาจากวัคซีน โดยประเมินว่าปีนี้เศรษฐกิจโลกจะขยายตัวร้อยละ 5.5 และที่จะขยายตัวมากสุด คือ กลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ รวมจีนและอินเดียที่จะขยายตัวร้อยละ 6.3 ปีนี้ อย่างไรก็ตามในระดับประเทศ ความสามารถในการขยายตัวจะต่างกัน ขึ้นอยู่กับสมรรถภาพของระบบสาธารณสุขของแต่ละประเทศ ความรวดเร็วในการเข้าถึงวัคซีน ประสิทธิภาพของนโยบายที่แต่ละประเทศใช้ในการฟื้นเศรษฐกิจ และความอ่อนแอของเศรษฐกิจที่ประเทศมีอยู่เดิม สำหรับกลุ่มประเทศอาเซียน ซึ่งรวมไทย ไอเอ็มเอฟประเมินว่าปีนี้จะขยายตัวร้อยละ 5.2 ต่ำกว่าอัตรารวมของเศรษฐกิจโลก
จากสามปัจจัยนี้ ชัดเจนว่าที่สำคัญสุดและเป็นตัวแปรจากปีที่แล้วก็คือ วัคซีน ที่จะทำให้การระบาดของโควิด-19 สามารถชะลอและ/หรือยุติลง นำเศรษฐกิจโลกและกิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ยิ่งถ้าวัคซีนพิสูจน์ผลออกมาว่ามีประสิทธิภาพ สามารถกระจายไปสู่พื้นที่ต่างๆ ของโลกได้เร็ว รวมทั้งประเทศตลาดเกิดใหม่ และการใช้วัคซีนถูกต่อยอดไปสู่วิธีการรักษาและป้องกันโควิด-19 ได้ดีกว่าที่มีขณะนี้ การระบาดของ โควิด-19 ทั่วโลกก็อาจจบหรือยุติลงเร็วกว่าคาด สร้างความเชื่อมั่นให้กับภาคธุรกิจและครัวเรือน นำมาสู่การ ฟื้นตัวของการบริโภค การลงทุนและการจ้างงาน สิ่งเหล่านี้เมื่อรวมกับการใช้จ่ายของภาครัฐที่จะมีอยู่ต่อไป บวกกับนโยบายทางการเงินที่ผ่อนคลาย ก็จะสร้างโมเมนตัมการฟื้นตัวที่เข้มแข็งให้เศรษฐกิจโลกกลับสู่การขยายตัว นี่คือ ความหวังที่มากับวัคซีน
อย่างไรก็ตามทุกอย่างมีความไม่แน่นอนและวัคซีนก็อาจเป็นปัจจัยลบต่อเศรษฐกิจได้ ถ้าผลพิสูจน์ออกมาว่าวัคซีนไม่สามารถป้องกัน หรือลดการระบาดได้อย่างที่หวัง คือไม่มีประสิทธิภาพ ทำให้การระบาดจะยังไม่หยุดง่ายๆ เพราะในทางการแพทย์ยังไม่ชัดเจนว่าผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนแล้วจะสามารถแพร่เชื้อไปสู่คนอื่นได้หรือไม่ ทำให้มีความเสี่ยงที่ผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีน อาจนึกว่าตัวเองปลอดภัยเลยใช้ชีวิตอย่างไม่ระวัง การ์ดตกในแง่การสวมหน้ากาก ล้างมือ รักษาระยะห่างและเดินทางไปทั่วรวมถึงต่างประเทศ โดยไม่ตระหนักว่าแม้วัคซีนจะช่วยป้องกันตนเองไม่ให้เจ็บป่วยถ้ามีการติดเชื้อ แต่เชื้อที่ตนมีอาจแพร่ไปสู่ผู้อื่นได้ ทำให้การระบาดจะไม่หยุดง่าย นี่คือเป็นประเด็นสำคัญที่ทางการแพทย์ยังไม่มีข้อสรุปและทุกฝ่ายกำลังรวบรวมข้อมูลเพื่อหาคำตอบ
ดังนั้นความเสี่ยงที่วัคซีนอาจไม่มีประสิทธิภาพพอ มีความล่าช้าในการแจกจ่ายและฉีดวัคซีนให้ประชากรรวมถึงการอุบัติขึ้นของเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ (strains) ใหม่ ที่วัคซีนที่ผลิตมาอาจต่อกรหรือปราบไม่ได้ เหล่านี้เป็นความเสี่ยงที่ทำให้การระบาดอาจจะยังไม่จบลงง่ายๆ รวมถึงผลที่จะมีต่อเศรษฐกิจ ที่สำคัญถ้าการระบาดลากยาว ผลต่อเศรษฐกิจ ต่อธุรกิจ และต่อความเป็นอยู่ของประชากรก็จะลากยาวตามไปด้วย สร้างความเสี่ยงเพิ่มเติมให้กับเสถียรภาพของภาคธุรกิจ เสถียรภาพของระบบการเงิน และเสถียรภาพของสังคม และในประเทศที่สถานการณ์การเมืองของประเทศอ่อนไหว ความยืดเยื้อดังกล่าวก็จะมีผลต่อความเชื่อมั่นที่ประชาชนมีต่อภาครัฐและต่อสถานการณ์การเมืองของประเทศ
ท่ามกลางข่าวดีของวัคซีน ซึ่งต้องถือว่าเป็นข่าวดีจริง เพราะย้อนกลับไปหกเดือนคงไม่มีใครกล้าบอกว่าโลกจะพัฒนาวัคซีนป้องกันโควิด-19 ได้เร็วขนาดนี้ จึงต้องตระหนักถึงความไม่แน่นอนต่างๆ ที่ยังมีอีกมาก ทำให้การทำนโยบายของประเทศต้องไม่ประมาทและต้องเตรียมพร้อมกับความเป็นไปได้ที่สถานการณ์การระบาดจะยืดเยื้อ และกระทบกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่อเนื่อง ในบริบทนี้นอกเหนือจากการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางในสังคมที่ได้รับผลกระทบ สิ่งที่นโยบายของประเทศต้องให้ความสำคัญคือ รักษาความเข้มแข็งของระบบสาธารณสุข สร้างงานให้คนในประเทศทำเพื่อให้มีรายได้ และสนับสนุนการปรับตัวของภาคธุรกิจเพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันให้กับประเทศในเศรษฐกิจโลกหลังยุคโควิดต่อไป
กลุ่มวางแผนกลยุทธ์และงบประมาณ
ฝ่ายยุทธศาสตร์และวางแผนธุรกิจองค์กร
แหล่งที่มาของข้อมูล : เรวัต ตันตยานนท์ Knowledge Community SMEs